ก่อนฟ้าสาง บทที่ 3 : อาจจะถึงเวลาเริ่มต้น

ก่อนฟ้าสาง บทที่ 3 : อาจจะถึงเวลาเริ่มต้น

โดย : ม.มธุการี

Loading

ก่อนฟ้าสาง นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ เรื่องราวโดย ม.มธุการี เมื่อ ‘เจียง’ เลือกพาครอบครัวหนีความเดือดร้อนมาพักพิงยังแผ่นดินไทย แต่แผ่นดินแห่งนี้จะเป็นที่พักพิงที่ปลอดภัยให้กับเขาได้จริงๆ หรือ เจียงยังจะต้องฝ่าฟันอะไรอีกมากมาย อาจจะมีเพียง ‘ใกล้รุ่ง’ หญิงสาวผู้อ่อนโยนคนนั้นที่เป็นความหวังของเขา

ธงเอารถที่ซ่อมเสร็จแล้วมาส่งให้ตอนเย็นและถามไปถึงไอ้พวกนั้น

“กูเห็นพวกมันวนไปวนมาเมื่อตอนสายแล้วก็ไม่เห็นอีก“ พลว่า

“กูว่ามันเล่นมึงแน่อีท่านี้นะ  คอยโอกาสเท่านั้นเอง  งั้นคืนนี้กูนอนเป็นเพื่อน  ปืนติดตัวมารึเปล่า“

พลเปิดเอวโชว์ปืนที่เหน็บเอาไว้

“นั่นแหละ  ถ้ามันบุกเข้ามาก็ซัดมันเลย  ป้องกันตัวไม่ผิดอยู่แล้ว“

“ไม่รู้เมื่อไหร่พ่อจะกลับ  พ่อรู้ไม่ได้เลยนะเรื่องนี้“

นั่งคุยปรึกษากันเงียบๆในโรงรถ  พี่สาวขายผักหมดก็ขลุกอยู่ข้างบน  ฝ่ายนั้นจะรู้

ไม่ได้เช่นกัน…

ดึงปืนพกออกมาพลิกกลับไปมาในฝ่ามือ  ไม่เคยยิงใครมาทั้งชีวิต  จริงหรือที่เขาจะต้องใช้มันในตอนนี้

“มึงเก็บไว้ดีกว่า“ ส่งคืนให้เพื่อน

“ทำไม“ ธงมองแต่ไม่รับคืน

“กูว่ากูยิงใครไม่ได้หรอก“

“เออ  ถ้าถึงเวลาแล้วมึงก็จะรู้ว่าได้หรือไม่ได้  พวกห่านั่นมันเอามึงถึงตายแน่รอบนี้ มันหมาหมู่มึงก็รู้  แล้วอย่านึกว่าจะมีใครเขามาช่วยมึงอย่างวันนั้น“

“นี่กูยังสงสัยอยู่ว่าใคร“

“คงจะนักเลงพอตัว  เล่นเสียหมอบ  แล้วอย่าคิดว่ามันจะมาปรากฎตัวบ่อยนัก  ถึงบอกให้เก็บปืนเอาไว้“

จากหน้าต่างชั้นบนใกล้รุ่งมองเห็นน้องชายพกปืนกระบอกเล็กๆเหน็บเข้าที่บั้นเอว ใจหายวาบแค่มองเห็นภาพนั้น  เกิดอะไรขึ้น  ทั้งชีวิตน้องชายไม่เคยเล่นปืน  พ่อเคยห้าม ขาดเพราะกลัวจะไปมีเรื่องมีราวจนเกิดเรื่องคอขาดบาดตาย พอพ้นจากวัยเรียนมันดูเหมือน ฝ่ายนั้นจะห่างไกลเรื่องชกต่อยกับนักเลงหัวไม้ไปได้บ้าง  จนพ่อเริ่มเบาใจ

แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นมาอีก….

มารู้ความจริงทั้งหมดเมื่อพ่อโทรมาคืนนั้น

“พ่อนายธงเขาโทรมาบอก  ว่าพลไปมีเรื่องมีราวชกต่อยกับนักเลงพวกนั้นจนหัวร้างข้างแตก  พอดีมีคนไปช่วยเอาไว้  แล้วเป็นไงมั่งน้องเราตอนนี้  อยู่บ้านรึเปล่า“

“อยู่พ่อ  รุ่งเห็นหัวแตกมาเมื่อวาน  ถามเข้าก็ว่าอุบัติเหตุนิดหน่อย“

“นั่นแหละ  ไปมีเรื่องมีราวกับกุ๊ยพวกนั้นเข้าอีก  ดูแลน้องให้ดีก็แล้วกันอย่าให้ไปไหน  ยังไงพ่อจะรีบกลับ“

ไม่กล้าเล่าให้พ่อฟังเกี่ยวกับเรื่องปืน  พ่อจะร้อนใจขนาดไหนถ้ารู้เข้า…

คืนนั้นหล่อนได้ยินน้องชายคุยกับเพื่อนอยู่จนดึก  ธงเป็นเพื่อนสนิทที่รักใคร่กันมากับน้องชายตั้งแต่วัยเด็ก  เคยมานอนค้างที่บ้านเป็นประจำ  พ่อของฝ่ายนั้นเป็นตำรวจและคงเป็นเจ้าของปืนกระบอกนั้นนั่นเอง

นอนหลับๆ ตื่นๆ และฝันร้ายตลอดทั้งคืน  เป็นฝันร้ายที่จับต้นชนปลายไม่ถูก  มาสะดุ้งตกใจตื่นตอนรุ่งสาง  ความวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องน้องชายนั่นเอง  รีบลุกไปยืนเฝ้ามองที่หน้าต่างเช่นทุกวัน  จวบจนร่างสูงในชุดวอร์มสีคล้ำวิ่งผ่านถนนสายเดิมท่ามกลางสายหมอกขาวโพลน  เขาจะมาแวะซื้อผักอีกไหมนะ…คงเป็นครอบครัวใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาในท้องถิ่นนี้  น้องชายหน้าเหมือนเขาราวกับแกะกันออกมา มองตามจนร่างนั้นลับหายไปจากสายตา  มันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่หล่อนเอง ไม่ได้ตั้งใจสักนิด…

ลงไปเปิดแผงขายผักแต่เช้าหลังจากทำอาหารเช้าให้สองหนุ่ม  จนสายก็มีลูกค้าเข้ามาประปราย  แต่ไม่มีวี่แววของเขาคนนั้นหรือแม้กระทั่งน้องชาย

ธงเดินเรียบเคียงมาดู

“ขายดีไหมพี่“ ถามไปก็หยิบผักขึ้นดู

“หมดทุกวัน“ ใกล้รุ่งว่า

“แม่ค้าสวยๆ ก็ยังงี้แหละน้า…” ทำตาเชื่อมเข้าใส่  หน้าคล้ำสนิทบอกแววเพิ่งจะแตกพานและคงจะเพิ่งหัดจีบสาว

“เสียดายไม่มีตังค์  ไม่งั้นช่วยซื้อหมดร้าน…”

ใครบางคนเดินเข้ามา  เด็กหนุ่มคนเมื่อวานกลับมาอีกครั้ง  เดินเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงดูผักบนแผง  เลือกหยิบที่ตัวเองต้องการจากนั้นก็เดินมาส่งให้  ใบหน้าขาวจัดมีสีเข้มที่สองข้างแก้ม  เหมือนคนผิวบางที่ถูกแดดจัดนานๆ  กำเงินออกจากกระเป๋า และนับเงินส่งให้หล่อน  ก่อนจะรับถุงผักที่ใกล้รุ่งแถมผลไม้สุกงอมให้อีกจนเต็มถุง ธงอึ้งไปอึดใจ  จวบจนฝ่ายนั้นเดินลับจากไปจึงหันมาถามหล่อน

“คนใหม่หรือพี่  ไม่เคยเห็น“

“สงสัยเพิ่งย้ายมา  ขาประจำทุกวัน“

“ก็พี่เล่นทั้งขายทั้งแถมแบบนี้ไม่มาได้ไง  แล้วนี่  น้อยหน่าสุกที่หมายตา ไว้ให้เขาไปหมดแล้ว“

เสียงรถมอเตอร์ไซด์ดังกระหึ่มมาตามถนนหน้าบ้าน  มีรถสามคันวิ่งตามกันมาจนฝุ่นตลบ  ใกล้รุ่งหันมองเกือบจะพร้อมกันกับธง

หล่อนเห็นน้องชายเดิน ออกมาและโบกมือเรียกเพื่อนให้กลับไปที่โรงรถ  มีการพูดคุยอะไรกันก่อนที่ธงจะเดินไปปิดประตูรั้วเข้าหากัน  เสียงรถห่างไกลออกไปทุกทีและเงียบเสียงไปในที่สุด

ใกล้รุ่งลอบถอนใจหนักหน่วง  เริ่มมองเห็นมรสุมร้ายก่อตัวขึ้นที่นี่  ในวาระที่พ่อไม่อยู่เสียด้วย…

——–

เจียงกระชับคอเสื้อขึ้นสูงและดึงฮูดมาหลุบหน้า เมื่อรถมอเตอร์ไซค์สามคันแล่นแซงผ่านเขาไป  แน่ใจว่าถ้าไม่ใช่ไอ้กลุ่มนักเลงที่เคยปะทะกับเขามาวันนั้นก็น่าจะพวกเดียวกัน

เสื้อแจ็คเก็ตที่ด้านหลังเป็นรูปหัวกระโหลกไขว้คือสัญลักษณ์ของพวกมัน  มีนักเลงหัวไม้ผุดขึ้นมาทุกหัวระแหง  ก่อตั้งองค์กรของตนเอง  จัดระบบระเบียบของตนเอง โลกอยู่ยากขึ้นทุกวันเมื่อเกิดการฮึกเหิม  ทางเดียวคือต้องหาทางหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด

ที่สำคัญคือมันเสี่ยงมากเกินไปสำหรับความปลอดภัยของเขาและแม่กับน้อง  ที่นี่คือแหล่งกบดานที่ดีที่สุดของเขาในตอนนี้…

เดินเรื่อยมาถึงตลาดใหญ่  ตลาดนัดยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คน  เดินดูราคาผักที่แพงจนจับไม่ลง  พวกเขาอาจจะอดตายถ้าไม่ได้ผักผลไม้จากแผงใกล้บ้าน  ที่ดินเล็กๆ ที่เช่าอยู่ตอนนี้น่าจะปลูกอะไรได้มั่ง  ชั่วคราวก็ยังดี  ชีวิตที่ระเหระหนทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะ วางแผนชีวิตอะไรมาก  เพราะอีกไม่นานเขาก็คงต้องระเหระหนเรื่อยไปไม่รู้จบเหมือนเดิม…

เข้าตลาดและแวะดูร้านขายเครื่องก่อสร้าง  ต้องการแค่ตาปูเพื่อเอาไปซ่อมแซม สร้างหลังคาที่พังจากพายุฝน  มันเป็นร้านที่ดูจะขายทุกสิ่งที่เกี่ยวกับการก่อสร้างเลยทีเดียว  มีกระทั่งฝาเรือนที่เขาเดินไปลูบคลำไปมาหลายที  มันจะทดแทนฝาไม้ไผ่ผุพังได้เป็นอย่างดี  แม้แต่ลวดลายก็เป็นคล้ายไม้ซุงที่ตอกทับกันเอาไว้  แต่ความเบาของมันนี่สิ…

เจียงลองยกดูสองสามที  ติดใจกับความเบาและทานทนของมัน  แต่พอเห็นราคาก็ต้องถอนใจ  จนพนักงานที่กำลังทำงานในบริเวณนั้นหันมามอง  ผู้ชายคนนั้นดูมีอายุ  ตัวใหญ่ล่ำสันและหัวล้านทั้งหัว  เดินเช็ดมือกับผ้าคาคเอวตรงมาที่เขา

“เป็นไง  สนใจไหม  ขายดีนะลวดลายนี้  คนสั่งกันเข้ามาจม  เบามาก  ทนไฟด้วย“

ขยับแผ่นไม้ไปมาให้เขาดู

“อยากได้ไปทำฝาเรือน…แต่คงต้องรอไปก่อน…” เจียงถอนใจ

“ทำไม…ใช้เครดิตได้ที่นี่  มีเครดิตการ์ดใช่ไหมล่ะ“

เจียงอ้ำอึ้ง

“รึจะเปิดเครดิตใหม่กับเราก็ได้“ ฝ่ายนั้นรีบพูด “มีงานทำรึเปล่าล่ะ…”

เจียงเงียบอีก  ไม่สบตาผู้สูงวัยกว่า  ถึงขั้นจะให้เขาเปิดเครดิตแสดงว่า คงไม่ใช่คนงานธรรมดา  อาจจะเป็นเจ้าของ…

“แต่ถ้าไม่มีงานทำ  เรามาคุยกันได้ อยากทำงานไหม…ว่าแต่มีใบทำงานรึเปล่า“

เจียงเงียบสนิท  ลอบถอนใจลึก

“คือไม่มีอะไรเลย…” พูดหน้าตาเฉย  จากนั้นก็หัวเราะ  แววตาเอื้ออารีจนเจียงอุ่นใจขึ้นมาบ้าง

“ผมแค่จะมาซื้อตะปูไปซ่อมบ้าน…”

“เอางี้…เรามาคุยกัน…” ดึงแขนเขาเลี่ยงลูกค้าคนอื่นๆ ไปซอกมุมหนึ่งของร้าน

“ถ้าอยากได้อะไรที่นี่  จะมาทำงานแลกเป็นรายวันเราก็ไม่ว่า  รายได้ต่ำสุด  ไม่มีข้อแม้  ไม่ถามประวัติที่มา  ออกได้ทุกเมื่อ  เดินเข้าทำงานได้ทุกเมื่อ  ว่าไง…ข้อเสนอนี้ไม่ให้ใครบ่อยหรอกนะ  เห็นท่าทางเป็นคนดีเชื่อถือได้นี่…”

“ผม…ผมขอคิดได้ไหมครับ“ เจียงดีใจแต่ก็ยังลังเล“พรุ่งนี้ผมมาให้คำตอบ“

“เอ้า  งั้นพรุ่งนี้มาเลย  โทรมานัดก่อนเผื่อไม่อยู่  ลุงชื่อกิจ  เธอชื่ออะไรล่ะ“

“เจียงครับ  แต่ผมไม่มีโทรศัพท์“

“งั้นมาตอนเที่ยงๆ จะรออยู่ละกัน“ เดินเข้ามาตบหลังตบไหล่เขาเป็นเชิงให้กำลังใจ

สัมผัสแรกแห่งมิตรภาพที่เขายังไม่เคยได้รับมันจากใครเลย…

เส้นทางตอนขากลับเจียงใช้เวลาเดินนานกว่าปกติ  เพราะเขากำลังใช้ความคิดหนัก เข้าตลาดเพื่อมาหาซื้อแค่ตาปูตอกบ้าน  แต่สิ่งที่เขาได้รับคือการเสนอให้งานทำชนิดที่เขาไม่ต้องขอ  งานที่ไม่มีข้อแม้อะไรมากมายสำหรับคนที่ไม่มีอะไรเลยอย่างเขา  เข้าเมืองมาก็ผิดกฎหมาย  การถูกไล่ล่ายังไม่จบสิ้นถ้าเขาประมาท  การทำงานคือการรู้จักผู้คนมากกว่าเดิมและสุ่มเสี่ยงต่อการถูกจับได้มากกว่าเดิม  แต่ถ้าไม่ทำงานแม่กับน้องก็อาจจะอดตายในไม่ช้า  จริงหรือที่เขาไม่มีทางเลือกอะไรอีกแล้ว…

มอเตอร์ไซค์กลุ่มเดิมเวียนกลับมาอีก  เบิ้ลเครื่องคำรามลั่นราวกับเป็นเจ้าถนนก่อนที่จะลับหายไปและทิ้งไว้แต่ฝุ่น  นั่นคือกลุ่มนักเลงเจ้าถิ่นที่เขาจะต้องพยายามเลี่ยงให้มากที่สุด  วันนั้นเขาพลาดไปเพราะลืมตัว  และเขาก็จะไม่ให้มันเกิดขึ้นมาอีก…

————

พ่อกลับมาตอนดึกของวันนั้น  รวดเร็วจนใกล้รุ่งคิดไม่ถึง  อาจจะความห่วงน้องชายนั่นเอง  เพราะพอมาถึงก็รีบถามถึงทันที

“เป็นไงมั่งเจ้าพล  เห็นว่าโดนเข้าหนักนี่  แล้วนี่อยู่บ้านรึเปล่า“

“เข้านอนไปแล้วพ่อ  ธงมานอนค้างด้วย“ รีบบอกไป  มองหน้าพ่อที่ดำหมองจากการเดินทางไกล

“ขับรถกลับมาก่อน  แม่เราเขาอยู่เป็นเพื่อนพี่  ก็เพราะห่วงเจ้าพลนี่แหละ  สั่งแล้วไงว่าไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับไอ้พวกนั้น  มันเอาคนถึงตายมาหลายรายแล้วแก๊งนั่นจับมือใครดมไม่ได้ด้วยเพราะลูกพี่มันใหญ่เสียอย่าง“ พ่อเดินกลับไปกลับมา  บ่นไปด้วยอย่างรุ่มร้อนใจ“ แล้วนี่ไปลากใครมาเป็นพวกด้วยเห็นพ่อนายธงเขาบอก…มันชักจะไปกันใหญ่  น้องเราไม่เล่าอะไรมั่งหรือ ไปตีกันมาจนหัวร้างข้างแตก“

“ไม่เลย  แถมมาโกหกว่าเกิดอุบัติเหตุ“

“งั้นพรุ่งนี้จะเรียกมาสอบปากคำ  ไม่ไหวจริงๆ ต้องส่งไปอยู่กับพี่สาวเราสักพัก“

พ่อบอกแค่นั้นก่อนเข้านอน  ท่าทางพ่อจริงจังกับเหตุการณ์ครั้งนี้จนน่าแปลก  คงไปรู้อะไรมาจากพ่อของธงที่เป็นตำรวจนั่นเอง  หรือไม่พ่อก็คงเอือมระอากับการวิ่งขึ้นโรงพักเพื่อประกันตัวน้องชาย  หรือไม่ก็คอยตามส่งโรงพยาบาล  มันเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนสมัยที่พลยังเรียนอยู่ช่างกล…

———

พลตกใจเมื่อถูกพ่อเรียกมานั่งสอบถามแต่เช้า  ใครคิดว่าพ่อจะกลับมาเร็วขนาดนี้แถมดูจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วอย่างดีจากพ่อของธงนั่นเอง

“ฉันเคยสั่งไว้แล้วว่าไม่ให้ไปมีเรื่องชกต่อยกับไอ้แก๊งนั่น  ฟังกันมั่งไหม“ พ่อเดินบ่นอย่างโกรธจัด “แล้วไปดึงใครมาเข้าแก๊งด้วย  เห็นว่าซัดกันให้นัว“

“ไม่ได้ดึงพ่อ  ไม่รู้จักกัน  เขาแค่เข้ามาช่วย  ช่วยแล้วก็ไป“ พลรีบแก้

“ใคร  นักเลงแถวนี้รึเปล่า“

“ไม่ทันเห็นหน้า  กำลังเลือดเข้าตา“ พลแตะแผลตัวเองไปด้วย “เห็นอีกทีก็ไอ้สามตัวนอนหายใจแหม็บๆ เลือดเต็มหน้า“

“ลูกผู้การพิสุทด้วยรึเปล่า“

“นั่นก็ด้วย  แต่คนน้อง“

“เกิดมันมาเอาคืน  ไอ้ตัวพี่ยิ่งร้าย“ พ่อบ่นกลัดกลุ้ม “ไปอยู่กับพี่ที่กรุงเทพฯ สัก พักดีไหม  ให้เรื่องมันเงียบ“

“ไม่ได้ทำผิดไรนี่พ่อ  มันมารวนกันเอง  ก็เหมือนทุกครั้ง“ พลเถียง

“ทุกครั้งมันไม่เจ็บตัวกันไง  ครั้งนี้แกดันมีผู้ช่วย  อยากรู้ว่านักเลงหัวไม้ย่านไหนโผล่เข้ามา  แล้วจำหน้ามันได้ไหม“

“เร็วมากพ่อ  ยังกะฟ้าแล็บ  มันต้องเป็นมวย“

“ยังไงก็แล้วแต่  ไอ้พวกนั้นมันรู้จักก็แต่แก  มันเอาคืนถึงตายแน่  ก็รอดูท่าที  ไม่ไหวจจริงๆ แกต้องเข้ากรุงเทพฯด่วนเลย“

พ่อจบคำพูดแค่นั้น  และพลก็ไม่กล้าเล่าถึงเรื่องที่พวกมันเริ่มขับมอเตอร์ไซค์มาป่วนบ้าน  มันเอาเขาตายแน่อย่างที่พ่อว่าไว้จริงๆ  และไอ้คนช่วยก็กลับลอยลำหนีหาย อุ่นใจที่มีปืนพกเอวอยู่  ถึงเวลาจริงๆ เขาอาจจะต้องพึ่งมันก็ได้ใครจะรู้…

——–

เจียงไปที่ร้านแห่งนั้นตอนเที่ยงตามนัดหลังจากนอนคิดอยู่ทั้งคืน  ไม่ใช่เรื่องง่ายที่งานจะมาหาเขาในลักษณะนี้  ที่สำคัญเขาต้องการเงินเพื่อที่จะหาเลี้ยงแม่และน้องโดยเร็วที่สุดก่อนที่จะอดตายกันทั้งบ้าน

ต้องไปยืนรอที่หน้าห้องทำงานของฝ่ายนั้นเพราะเลขาบอกเขาว่า

“เสี่ยกิจกำลังยุ่ง  คุณมีนัดรึเปล่าล่ะ“

เจียงพยักหน้ารับ  มองหาเก้าอี้นั่งคอยอยู่แถวนั้น  มีเสียงพูดคุยโต้เถียงกันในนั้นและดังยิ่งขึ้นทุกที  ครู่เดียวประตูก็ถูกผลักออกมาโครมคราม  ผู้ที่ก้าวออกมาอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์  หน้าตาบอกบุญไม่รับ  คนข้างในเดินตามออกมาและตะโกนด่าไล่หลัง

“มึงไสหัวออกไปเลย  ลูกเหี้ยๆ แบบนี้  เอาเงินมาคืนไม่ได้มึงอย่ากลับมา“

หน้าขาวแดงก่ำอย่างโกรธจัด  พอดีเหลือบมาเห็นเขาเข้าก็รีบพยักหน้าให้เดินตามเข้าไปภายใน  แอร์ภายในห้องทำให้อากาศเย็นจนหนาว  เสี่ยกิจชี้ให้เขานั่งที่เก้าอี้ตรงข้าม  หน้าตายังไม่ทุเลาความเดือดดาลขณะถามออกมาว่า

“แต่งงานรึยังล่ะ“

“ยังครับ“

“ดี  อย่าไปมีมันลูกเมีย  มีแล้วมันยุ่ง  แล้วขับรถเป็นรึเปล่า“

“เป็นครับ“

“แต่ไม่มีใบขับขี่“  คำพูดที่ตามติดมาเหมือนจะอ่านใจเขาออกไปเสียทุกสิ่ง

“เอาเป็นว่าตอนนี้ก็ช่วยขนของยกของในร้านมั่ง  กับขนของลงจากรถ  เอาแค่นั้นไปก่อน…มีพนักงานก่อสร้างเป็นคนงานเมียนมา  ก็อย่าไปยุ่งเกี่ยวกัน  สรุปคืออย่าพยายามไปยุ่งกับใครเลย  เริ่มงานแปดโมงเช้า  เลิกห้าโมง  อาหารสามมื้อรายได้ขั้นต่ำ  จ่ายรายวัน  ใบสมัครงานอยู่นี่…” เลื่อนใบสมัครมาไว้ตรงหน้าเขา “เอากลับไปกรอกที่บ้าน  อะไรที่กรอกไม่ได้ก็ไม่ต้องใส่  เริ่มงานพรุ่งนี้เลย“

แค่นั้น  แค่นั้นจริงๆ สำหรับงานครั้งนี้ของเขา  เจียงยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่าก่อนที่จะ ออกจากที่นั่น  นี่คือใครบางคนที่ต้องการจะช่วยเหลือเขาอย่างไม่มีข้อแม้…



Don`t copy text!