พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 13.2 : ผู้ช่วยของนัมเก
โดย : พงศกร
พยับฟ้าพโยมดิน นวนิยายจากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อน้องชายฝาแฝดหายตัวไปอย่างลึกลับในหมู่บ้านกลางหุบเขาของภูฏาน เขาจำเป็นต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อตามหาก่อนที่จะสายเกินไป เขาต้องยอมรับความช่วยเหลือจากนารีญาหญิงสาวที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาตั้งแต่แรกเจอพ่วงไปด้วย เธอคนนี้อาจเป็นคนเดียวที่ไขปริศนาต่างๆ และพาเขาไปพบกับน้องชายได้
สนธยาคลี่คลุมรอบบริเวณอย่างรวดเร็ว รอบกายของลิ่วลมมืดสนิท มืดเหมือนกับมีใครเอาหมึกสีดำสาดลงไปทั่วแผ่นฟ้า ก้อนเมฆหนาหนักบดบังทำให้มองไม่เห็นดวงดาวเหมือนเมื่อคืนที่ผ่านมา
ความชื้นที่กระจายตัวในอณูอากาศ ทำให้ลิ่วลมรู้สึกหนาวกว่าที่ควรจะเป็น เยชิและคินซาช่วยกันก่อไฟ พวกเขาทั้งสองหาฟืนมาได้มากพอจะใช้เป็นเชื้อเพลิงไปจนถึงเช้า
เยชิแบ่งลูกหาบออกเป็นสองกลุ่ม ยูเยนและเทนซิลถูกสั่งให้อยู่ประจำแคมป์พักแรม แม้จะมีเหรียญสลักชื่อครุ ชุนดูที่บรรดาปีศาจร้ายต่างกลัวนักหนาคอยคุ้มกัน ทว่าเยชิก็อยากจะให้แน่ใจว่าทุกคนจะปลอดภัยจากนยาลาเดียมจริงๆ ลูกหาบทั้งสองจะไม่นอน แต่จะเฝ้ายามจนถึงเช้า
“ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ หรือมีใครเรียกชื่อพวกคุณ ห้ามออกมาจากเต็นท์เด็ดขาดนะครับ” เยชิกำชับลูกทัวร์ของเขา ขณะส่งปืนพกกระบอกหนึ่งให้กับลิ่วลมและบอกว่า “พกเอาไว้ครับ ไม่รู้หรอกว่าเราอาจจะได้ใช้มันหรือเปล่า แต่พกเอาไว้ให้อุ่นใจดีกว่า”
คินซานั่งลงกับพื้นหน้าเต็นท์ที่ปูพรมหนังสัตว์หนานุ่ม เธอใช้ด้ายที่ติดมาถักถุงขนาดเล็ก ภายในบรรจุเหรียญที่สลักชื่อท่านครุ ชุนดู แล้วนำไปห้อยเอาไว้ที่หน้าเต็นท์
“พระนามของท่านครุ จะป้องกันไม่ให้ผีร้ายกล้าเข้ามาในบริเวณที่เราพัก” คินซาว่า “แต่มันอาจใช้วิธีล่อเราออกไปแทน”
นัมเกและวังโมนั้นจับคู่กันไปจัดการต้นไม้ใหญ่ที่ล้มขวางทาง
ลิ่วลมไม่เห็นนัมเก เยชิเห็นสายตาสงสัยของชายหนุ่มก็รีบบอกว่านัมเกไปรออยู่ที่ต้นไม้แล้ว วังโมเดินไปสมทบ เขาถือเลื่อยไปด้วยสองอัน แต่ต้นไม้ที่ล้มลงมาขวาง มีขนาดใหญ่มากเสียจนเยชิอดกังวลไม่ได้ว่า นัมเกและวังโมจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะสามารถเลื่อยออกเป็นท่อนเล็กๆ เพื่อขยับให้พ้นทาง
ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งหนาวเย็น ลิ่วลมได้ยินแม้กระทั่งเสียงน้ำค้างหยดลงบนพื้นหญ้า
นอกจากแสงสว่างจากกองไฟแล้ว เปลวไฟที่เต้นเริงในความมืดยังให้ความอบอุ่นสบายกับทุกคนในคณะเดินทางด้วย
ท่ามกลางความมืดสนิทของยามราตรี เปลวไฟสีส้มดูจะสุกสว่างเป็นพิเศษ
เต็นท์ที่พักแรมมีสามหลัง
หลังหนึ่งมีขนาดใหญ่สุดเป็นของอัญญาวีร์และนารีญา หลังหนึ่งเป็นของเขา อีกหลังเป็นเต็นท์ของเยชิและคินซา แต่ดูเหมือนทั้งสองตั้งใจว่าจะไม่นอน แต่นั่งคอยเติมฟืนเพื่อให้แน่ใจว่ากองไฟจะให้ความอบอุ่นกับทุกคนจนถึงยามเช้า
เข้าไปพักผ่อนในเต็นท์ แต่เพราะในหัวมีเรื่องให้คิดมากมาย ลิ่วลมจึงนอนไม่หลับ
เดินทางมาถึงตรงนี้ เข้าใกล้ซัมเซมากกว่าเดิม ลิ่วลมจึงลองหลับตานิ่ง ทำใจให้เป็นสมาธิและสื่อถึงล่องเมฆ หากปลายทางยังคงไม่มีคำตอบ
ว่างโหวง…ว่างเปล่า
ส่งจิตเรียกหาแค่ไหนแต่ปลายทางก็ยังยิ่งเงียบ
ล่องเมฆอยู่ที่ไหนกันแน่
เหตุใดเขาจึงสื่อสารกับน้องไม่ได้เหมือนเดิม
ยิ่งคิดยิ่งกลัดกลุ้ม ลิ่วลมจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกจากเต็นท์ไปเพื่อยืดเส้นยืดสาย ก่อนจะเดินออกไปเขาไม่ลืมหยิบปืนพกกระบอกที่เยชิมอบให้เอาไว้ป้องกันตัวเหน็บเอวไปด้วย
คินซาและเยชิคงจะง่วงแล้ว ทั้งสองจึงกลับไปพักผ่อนที่เต็นท์ของตน เหลือเพียงเทนซิลและยูเยนยังนั่งเฝ้ายามตามหน้าที่ ถัดจากทั้งสองลิ่วลมเห็นวังโมนั่งอยู่ด้วย
“อ้าว” เขาอดแปลกใจไม่ได้ “ไม่ได้อยู่ช่วยนัมเกเลื่อยต้นไม้หรอกหรือ”
“ไม่ได้ช่วยครับ” วังโมส่ายหนา ท่าทางของเขาดูซื่อๆ “นัมเกบอกให้ผมมาพัก”
“เลื่อยอยู่คนเดียว…ถึงตอนเช้า จะเคลื่อนย้ายต้นไม้เสร็จหรือเปล่าก็ไม่รู้สินะ” ลิ่วลมถอนใจเบาๆ เขาตั้งใจพึมพำเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้ลูกหาบเข้าใจว่ากำลังบ่นอะไร
“ไม่ต้องห่วง” วังโมพูดโดยซื่อ “นัมเกบอกว่าประเดี๋ยวจะมีเพื่อนมาช่วย”
“เพื่อน” ลิ่วลมทำตาโต “กลางป่าแบบนี้เนี่ยนะ มีเพื่อนมาช่วย”
“ฮื่อ” วังโมพยักหน้า “เขาว่ายังงั้น”
“อือ” ลิ่วลมพยักหน้าบ้าง ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยความสงสัย
“คุณจะออกไปไหน” ยูเยนทำหน้าสงสัย
“เปล๊า” ลิ่วลมทำเสียงสูง “ผมแค่นอนไม่หลับ เลยออกมาเดินเล่น นี่ก็ว่าจะกลับแล้ว”
“ดี” เทนซิลพยักหน้า “คืนนี้ระวังตัวให้มากๆ เอาไว้ก่อนดีกว่าครับ”
เขาแสร้งเดินย้อนกลับไปทางเต็นท์ที่พัก แต่ความจริงแล้วลิ่วลมกลับเดินอ้อมไปอีกทาง มุ่งหน้าไปยังบริเวณที่ต้นไม้ใหญ่ล้มขวางทางจนรถผ่านไปไม่ได้ อยากรู้ว่า ‘เพื่อน’ ของนัมเกหน้าตาเป็นอย่างไร เหตุใดลูกหาบผู้ลึกลับคนนี้จึงมีเพื่อนมาหา มาช่วยเหลือในยามวิกาล สัญญาณโทรศัพท์มือถือก็ไม่มี แล้วนัมเกติดต่อเพื่อนของเขาได้อย่างไร
คำถามมากมายผุดพรายขึ้นในหัว ไม่มีทางใดที่ดีไปกว่า…ไปดูให้เห็นด้วยตาตัวเองเสียเลย
ถึงเยชิจะห้ามเด็ดขาด แต่เขาทนอยู่แบบไม่รู้ต่อไปไม่ไหวแล้ว
จากจุดตั้งเต็นท์พักแรม ไปถึงจุดที่ต้นไม้ล้มขวางถนน ห่างกันราวหนึ่งกิโลเมตร
ทั้งที่เป็นคืนเดือนหงาย ทว่ารอบกายของลิ่วลมกลับมืดสนิทเพราะต้นไม้ที่ขึ้นกันเบียดแน่น จนใบไม้ประสานกันหนาทึบเสียจนแสงส่องผ่านลงมาแทบไม่ได้ ลิ่วลมใช้ไฟฉายขนาดพกพาในมือส่องนำทาง และค่อยๆ เดินมุ่งไปข้างหน้าด้วยความระมัดระวัง
ละไอหมอกขาวขุ่นลอยเรี่ยพื้นปกคลุมอยู่เหนือทางเดิน ยิ่งเดินใกล้ตำแหน่งที่ต้นไม้ล้มขวาง ลิ่วลมได้ยินเสียงครืดคราดเหมือนใครบางคนกำลังลากของที่มีน้ำหนักมากๆ ไปตามพื้น สายลมที่พัดผ่านหอบเอากลิ่นสาบสางของอะไรบางอย่างมาด้วย
ลิ่วลมขนลุกเกรียว สัญชาตญาณบอกให้ระวังตัว
เขาลดไฟฉายในมือลง ดวงตาของลิ่วลมเหลือบมองไปรอบๆ ด้วยความระแวดระวัง ใจหนึ่งบอกให้กลับไปที่เต็นท์ อีกใจหนึ่งบอกให้เดินหน้าค้นหาความจริง ทำไมนัมเกจึงต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ตลอดการเดินทาง ลูกหาบของเยชิพยายามหลบหน้าหลบตาทุกคนจนผิดสังเกต
ยิ่งเดินใกล้รถที่ที่จอดทิ้ง กลิ่นสาบสางยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตำแหน่งที่ต้นไม้ล้มขวาง เรือนยอดของต้นไม้แหว่งเป็นวง ทำให้แสงจันทร์สามารถส่องแสงสลัวรางลงมาได้รางเลือน
ท่ามกลางแสงสีเงินยวงของดวงจันทร์นั่นเอง ลิ่วลมแลเห็นร่างสูงใหญ่ของใครบางคนกำลังช่วยกันลากต้นไม้ที่ถูกเลื่อยออกเป็นท่อนอย่างเอาเป็นเอาตาย
เป็นร่างที่สูงใหญ่เกินมนุษย์ปกติ และบนลำตัวของมันมีขนสีขาวปกคลุมจนดูเหมือนลิงยักษ์
พวกมันตั้งอกตั้งใจทำงานกันจนไม่ได้สังเกตว่ามีคนแปลกหน้ากำลังบุกเข้าไป ลิ่วลมค่อยๆ ย่องไปดูใกล้ๆ ไม่เคยเห็นตัวประหลาดที่ดูคล้ายคน แต่ไม่ใช่คน ทั้งยังมีขนาดใหญ่กว่าคนราวสองถึงสามเท่า และมีขนยาวหนาปกคลุมทั้งร่าง
“เยติ…”
ลิ่วลมครางเสียงแผ่วในลำคอ
ถึงไม่เคยเห็นแต่เขาพอจะเคยอ่าน เคยรู้เรื่องราว ไม่ผิดแล้ว นี่ต้องเป็นเยติ…มนุษย์หิมะในตำนานของเทือกเขาหิมาลัยแน่ๆ…
หัวใจของเขาเต้นแรง ด้วยไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์มาปรากฏขึ้นตรงหน้า
ใครจะเชื่อว่าเยติสามตน…กำลังช่วยกันยกต้นไม้ที่ขวางทางรถออกให้
พอตั้งสติได้ ลิ่วลมก็ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นเพื่อเตรียมบันทึกภาพเยติ เพื่อเอากลับไปให้อาจารย์อัญญาวีร์และนารีญาดู และจังหวะนั้นเองที่แสงไฟจากมือถือส่องวูบวาบและมนุษย์หิมะหนึ่งในสามก็เลยรู้สึกตัว และหันมา
เยติตัวแรกส่งเสียงคำราม ลิ่วลมเห็นเขี้ยวแหลมราวฟันเลื่อย ขณะที่เยติอีกสองตัวพากันหันกลับมา ทั้งสามจ้องมองมาเขม็ง
ลิ่วลมค่อยๆ ขยับถอยหลัง มือยกขึ้นแตะปืนพกที่ข้างเอวตามสัญชาตญาณ
แล้วก่อนที่เขาจะทันได้ทำอย่างไรต่อไป มือแข็งแรงของใครคนหนึ่งก็ล็อกตัวเขา และลากเข้าไปในพุ่มไม้หนาตรงนั้นอย่างรวดเร็ว!
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 18.2 : ปรับแผนเดินทาง
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 18.1 : สี่เทพผู้พิทักษ์
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 17.2 : ภาพนิมิต
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 17.1 : Linn Plant Company
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 16.2 : ผิดแผน
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 16.1 : วันฟ้าหลัว
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 15.2 : ความทรงจำ
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 15.1 : ไม่ใช่นัมเก
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 14.2 : อันตรายที่มองไม่เห็น
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 14.1 : ผู้พิทักษ์ขุนเขา
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 13.2 : ผู้ช่วยของนัมเก
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 13.1 : นยาลา เดียม
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 12.2 : ช่วยด้วย
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 12.1 : นยาลาลัม
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 11.2 : ฤดูแห่งดวงดาว
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 11.1 : อ้อมกอดแห่งขุนเขา
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 10.2 : วิหารม้าเทวดา
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 10.1 : ออกเดินทาง
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 9.2 : Orchid Hunter
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 9.1 : เหตุร้าย
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 8.2 : นิมิตของลิ่วลม
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 8.1 : พยับฟ้าโพยมดิน
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 7.2 : Til the Earth through the Heavens
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 7.1 : เบาะแสของดอกไม้ทิพย์
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 6.2 : พิพิธภัณฑ์ผ้าเคซัง
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 6.1 : ภัณฑารักษ์จาก The MET
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 5.2 : ท่านครุ
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 5.1 : วิหารฟ้าคะนอง
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 4.2 : เกาตัน ซับบา
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 4.1 : ฝากไว้
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 3.2 : เธอคือแสงตะวัน
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 3.1 : ความทรงจำเหมือนม่านหมอก
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 2.2 : วันฟ้ากระจ่าง
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 2.1 : มีเมฆบ้างเป็นบางวัน
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 1.2 : ไม่มีเสียงตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 1.1 : Udumbara - อุทุมพร ดอกไม้สวรรค์
- READ พยับฟ้าโพยมดิน : บทนำ