พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 14.2 : อันตรายที่มองไม่เห็น

พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 14.2 : อันตรายที่มองไม่เห็น

โดย : พงศกร

Loading

พยับฟ้าพโยมดิน นวนิยายจากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อน้องชายฝาแฝดหายตัวไปอย่างลึกลับในหมู่บ้านกลางหุบเขาของภูฏาน เขาจำเป็นต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อตามหาก่อนที่จะสายเกินไป เขาต้องยอมรับความช่วยเหลือจากนารีญาหญิงสาวที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาตั้งแต่แรกเจอพ่วงไปด้วย เธอคนนี้อาจเป็นคนเดียวที่ไขปริศนาต่างๆ และพาเขาไปพบกับน้องชายได้

แม้ดวงหน้าของ ‘นัมเก’ ตัวปลอมจะมีริ้วรอยแห่งวัยปรากฏให้เห็น หากทว่าไม่อาจบดบังความคร้ามคมสันลงได้ ลิ่วลมคิดว่าตอนเป็นหนุ่ม เขาต้องเป็นคนหน้าตาดีมาก

ผมของเขาตัดสั้น คิ้วหนาพาดเหนือดวงตาเรียวยาว แม้จะอยู่ในยามราตรี หากทว่าลิ่วลมพอจะมองเห็นว่าผิวของชายผู้นั้นดูคล้ำแดด

“ผมจำเป็นต้องมา…เพราะพวกคุณกำลังตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง” เขายังไม่ตอบว่าเขาคือใคร หากทว่าอธิบายถึงเหตุผลที่ร่วมเดินทางมาด้วย

“หมายความว่าอย่างไร” ลิ่วลมนิ่วหน้า

“คุณคิดว่าเหตุร้ายที่เกิดขึ้นที่วิหารฟ้าคะนอง และที่พิพิธภัณฑ์ของเคซัง เป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ” นัมเกตัวปลอมย้อนถาม

“ไม่” ลิ่วลมส่ายหน้า “มันแปลกเกินกว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ”

“พวกมันจงใจทำแบบนั้น คนร้ายที่บุกรุกสถานที่ทั้งสอง คือคนร้ายกลุ่มเดียวกัน…”

“ถ้านายรู้รายละเอียดของผู้ร้ายมากขนาดนี้ ทำไมไม่แจ้งตำรวจ” ลิ่วลมนึกสงสัย

“ผมแจ้งความแล้ว ตำรวจก็กำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อจับคนร้าย แต่พวกมันไหวตัวทัน รีบเดินทางออกจากทิมพูมาแล้ว”

เขาถอนใจยาวก่อนจะเล่าต่อไปอีกว่า

“พวกมันบุกไปที่วิหารฟ้าคะนองและพิพิธภัณฑ์เคซัง ลุนดรัป เพราะทั้งสองแห่งมีของสำคัญที่คนร้ายต้องการเหมือนกัน คุณเดาได้ไหมว่าอะไร”

“เบาะแสของดอกอุทุมพร” ลิ่วลมพึมพำ “ต้องใช่แน่ๆ”

ใช่…ต้องเป็นเบาะแสของดอกอุทุมพรแน่ๆ

ที่วิหารฟ้าคะนอง พวกมันทำร้ายพระแล้วชิงเอากล่องไม้โบราณไป ส่วนที่พิพิธภัณฑ์ของเคซัง พวกมันรื้อค้นไปทุกที่…แต่ไม่ได้เอาอะไรไปเลย…

“จะว่าอย่างนั้นก็คงไม่ผิด” ชายคนนั้นถอนใจ น้ำเสียงของเขาเหมือนยังแฝงความนัยอะไรบางอย่างที่ยังไม่เปิดเผยออกมาตรงๆ “คนของผมบอกว่าพวกมันได้กล่องไม้ที่มีภาพวาดของดอกอุทุมพรจากวิหารฟ้าคะนองไปแล้ว แต่พวกมันยังไม่ได้แผนที่…”

“พยับ…เอ้อ” ลิ่วลมเกือบจะหลุดปากออกไปอยู่แล้ว หากสะกดลิ้นตัวเองไว้ได้ทัน

“นั่นแหละ” ชายลึกลับหัวเราะเสียงแผ่วต่ำ “พยับฟ้าโพยมดิน…มันไม่ใช่ผ้าปักลายธรรมดา แต่เป็นแผนที่นำไปสู่หุบเขาที่ยังมีอูดุมบารา…”

เขาออกเสียงอุทุมพรว่าอูดุมบารา ตามแบบคนภูฏานแท้ๆ

“เคซังน่าจะซ่อนพยับฟ้าโพยมดินเอาไว้ดีมากจนพวกมันตามหาไม่พบ” ลิ่วลมแสร้งหัวเราะ

“พวกมันไม่พบพยับฟ้าโพยมดิน เพราะพยับฟ้าโพยมดินอยู่กับคุณน่ะสิ” ชายผู้นั้นเอ่ยเสียงหนักแน่น ดวงตาคู่คมจ้องเขม็งมาที่ลิ่วลม

“นายรู้…” ลิ่วลมตกใจ

“พวกคนร้ายก็รู้” ประโยคนั้นของชายลึกลับทำให้ลิ่วลมรู้สึกเย็นยะเยือก “คุณคิดว่าต้นไม้ที่ล้มขวางทางรถ…โค่นลงมาเองตามธรรมชาติอย่างนั้นหรือ”

“ไม่” ลิ่วลมส่ายหน้า “เยชิบอกว่า…มีคนเลื่อยให้มันล้ม”

“พวกเขาจงใจล้มต้นไม้ เพื่อชะลอพวกคุณเอาไว้” เขาเอ่ยอย่างมั่นใจ ดวงตาคู่คร้ามคมจ้องมองเยติทั้งสามที่ลากต้นไม้ใหญ่ออกไปพ้นทางเป็นที่เรียบร้อย

“ขอบใจนะคินกา ขอบใจ ขอบใจ” เขาผิวปากเป็นท่วงทำนองและโบกมือให้กับเยติทั้งสามที่ค่อยๆ หายตัวไปในเงามืดของยามราตรี

สายหมอกสีขาวขุ่นลอยอวลและม้วนร่างสูงใหญ่ของเยติทั้งสามให้หายไปในที่สุด…

ลิ่วลมมองภาพตรงหน้าด้วยความอัศจรรย์ใจชนิดที่ไม่อาจจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เขารอจนทุกอย่างกลับมาสงบนิ่งดังเดิม จึงหันกลับไปทางชายลึกลับแล้วพึมพำว่า

“ตกลงมันยังไงกันแน่…พวกเขาล้มต้นไม้เพื่อขวางทางรถ ไม่ให้เราเดินทางต่อไปได้”

ลิ่วลมขมวดคิ้วมุ่น

“ถูกต้อง พวกเขาจงใจให้พวกคุณติดอยู่ในนยาลาลัมให้นานที่สุด ถ้าเราไม่รีบออกเดินทางต่อตอนรุ่งเช้า รับรองพวกคุณได้เดือดร้อนแน่” เขาส่ายหน้า “คนร้ายมีด้วยกันสองชุด…ชุดแรกลงมือโค่นต้นไม้ลงมาเพื่อใช้ขวางทาง รอให้กลุ่มที่สองตามมาจัดการกับพวกคุณ…ตอนนี้พวกมันชุดแรกเดินทางนำหน้าพวกคุณอยู่ประมาณหนึ่ง พวกมันต้องการไปให้ถึงซัมเซก่อนหน้าพวกคุณ”

“พวกมันก็คือ ฝรั่งที่มีตัวอย่างดอกอุทุมพรแช่ในน้ำยาเคมีใช่ไหมครับ” ลิ่วลมเม้มริมฝีปากแน่น

“คุณคิดว่าใช่ไหมล่ะ” แทนคำตอบเขากลับถาม

“ผมว่าใช่” ลิ่วลมยังคงเม้มริมปาก “พวกมันมีอาวุธมาด้วยหลายชนิด ทั้งปืน ทั้งระเบิด ทำอย่างกับจะไปออกรบหรือต่อสู้กับสัตว์ร้ายอย่างนั้นละ”

ลิ่วลมมัวแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จนไม่ทันสังเกตแววตาที่เปลี่ยนไปของชายลึกลับ

“คนร้ายกลุ่มที่สองกำลังไล่ตามหลังพวกคุณมา เป้าหมายหลักของพวกมันคือพยับฟ้าโพยมดิน” เขาเล่าต่อ

“พวกมันรู้ว่าผ้าอยู่กับผมได้อย่างไร” ลิ่วลมไม่เข้าใจ

“คนร้ายกลุ่มนี้เป็นมืออาชีพ” ชายผู้นั้นถอนใจ “พวกมันเฝ้าจับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกคุณมาตลอด…พวกคุณแวะไปที่พิพิธภัณฑ์ของเคซังตอนกลางวัน ส่วนพวกมันบุกไปตอนกลางคืนและพบว่าพยับฟ้าโพยมดินหายไปแล้ว ต่อให้เป็นเด็กอมมือก็รู้ว่าผ้าอยู่กับพวกคุณ…นี่ถ้าคนของเยชิไม่หลอกล่อเอาไว้ให้มันหลงไปทางอื่นละก็…ป่านนี้มันคงตามพวกคุณมาทันแล้ว”

“เยชิรู้เรื่องนี้ด้วยหรือ” ลิ่วลมนิ่วหน้า

“รู้สิ ถ้าไม่รู้ผมจะปลอมตัวเป็นนัมเก ร่วมเดินทางมาได้อย่างไร” ชายผู้นั้นพยักหน้า แสงจันทร์ส่องให้เห็นไรหนวดเขียวครึ้มที่ขึ้นอยู่เหนือริมฝีปากบาง “เยชิและคินซา…ทั้งสองคือหัวหน้าไกด์ที่จะพาคุณไปตามหาน้องชาย ผมจำเป็นต้องบอกให้พวกเขารู้เรื่องนี้ จะได้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา และป้องกันพวกคุณจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ”

“แล้วนายช่วยพวกเราทำไม” ลิ่วลมถามตรงๆ

“เพราะผมรักบ้านของผม รักแผ่นดินถิ่นเกิดของผม” น้ำเสียงของเขาติดจะหม่นเศร้า “ผมมีพันธะสัญญากับใครบางคนว่าจะปกป้องบ้านเรือน ดอกไม้ใบหญ้า ป่าเขา…ทุกสิ่งในหุบเขาที่บ้านของผมเอาไว้ด้วยชีวิต”

“ตกลงคุณเป็นใครกันแน่ ” ลิ่วลมย้อนกลับมาถามคำถามแรกอีกครั้ง และคราวนี้ชายผู้นั้นก็นิ่งไปนาน ก่อนจะพึมพำเสียงแผ่ว

“ผมเป็นใครไม่สำคัญ”

“สำคัญสิ ถ้าจะไปกันต่อ ผมต้องมั่นใจว่าจะเชื่อใจคุณได้” ลิ่วลมมองหน้าอีกฝ่ายแน่วนิ่ง “วิธีการพูดจาของคุณ…สำเนียงของคุณ…ไม่ธรรมดา คุณไม่ได้เป็นแค่พนักงานป่าไม้ลูกน้องของเยชิ…คุณ – คือ – ใคร…”

นัมเกตัวปลอมยังคงเม้มริมฝีปากแน่น บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดเสียจนได้ยินเสียงน้ำค้างหยดกระทบพื้นหญ้า…แล้วก่อนที่ลิ่วลมหรือชายผู้นั้นจะพูดอะไรออกมา เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดรอบกาย

น้ำเสียงนั้นอาจจะแผ่วเบา ทว่าเป็นกังวานได้ยินแจ่มชัด

“บอกลิ่วลมไปสิคะว่า…คุณ – คือ – ใคร…”



Don`t copy text!