บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 7 : ลำจวนกับฮุน

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

ที่บริเวณหน้าศาลาชั่วคราวซึ่งใช้ตั้งศพ ตรงลานระหว่างศาลากับเมรุเฉพาะกิจของชาวบ้าน  การแสดงเสภากำลังดำเนินไปอย่างสนุกสนาน ญาติโยมคนตาย ชาวบ้านชาวสวน ชาววัด ต่างนั่งยืนล้อมชมดูการแสดงกันอย่างหนาแน่นคึกคัก

พระบุญลือเดินเข้ามาเลียบเคียง ร่วมชมการแสดงอยู่ห่างๆ  ไม่เข้ามาเบียดเสียดปะปน

ต่างจากลำจวนที่ต้องมุดผ่านผู้คนผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหลาย เข้าไปโผล่ดูตรงหน้าสุด

เสภาเล่นในท้องเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนช้างกำลังจะฆ่าพลายงาม

ฝ่ายขุนช้างหมางจิตรให้คิดแค้นลูกขุนแผนมั่นคงไม่สงสัย
เมื่อกระนั้นเหมือนกูครั้นดูไปก็กลับไพล่เหมือนพ่ออ้ายทรพี
อีแม่มันวันทองก็สองจิตรช่างประดิษฐ์ชื่อลูกให้ถูกที่

คณะขับเสภาประกอบด้วยผู้ขับชายระดับครู น้ำเสียงเสนาะหวาน ลูกคอพราว ล้นปรี่ด้วยอารมณ์สนุกสนานสะเทือนใจ เสียงตีกรับรับ ก้องกังวานเร้าอารมณ์ คนจากวงปี่พาทย์คณะที่เล่นให้นายสุ่น ก็เล่นอย่างชำนาญในการชักนำความรู้สึกต่างๆ ของตัวละครในเรื่องและคนดู อย่างถึงใจพระเดชพระคุณ

ลำจวนตาโตโพลงไม่กะพริบ เช่นเดียวกับคนดู ที่เอาใจช่วยพ่อพลายน้อย

เรียกพ่อพลายคล้ายผัวอีตัวดีทุกราตรีตรึกตราจะฆ่าฟัน
พอวันทองน้องป่วยลงด้วยเคราะห์มาจำเพาะจะวิโยคให้โศกศัลย์
ฟังเสียงเงียบระงับหลับกลางวันพลายงามนั้นนั่งกับพ่อที่หอกลาง
ขุนช้างเห็นเป็นทีไม่มีเพื่อนแกล้งชี้เชือนชักพาลงมาล่าง
ให้ขี่หลังนั่งบ่าแล้วว่าพลางไปชมช้างกวางทรายมีหลายพรรค์

ขณะนั้นเอง เจ้าฮุน และสหายศิษย์คงแป๊ะสองคน หอบบรรดาหม้อ ไหก้นดำๆ มากมายจากโรงครัววัด ตั้งใจจะไปท่าน้ำ ได้ยินเสียงดนตรีปี่พาทย์ กับเห็นผู้คนมากมายที่งานศพ เมื่อมองหน้ากัน ก็พยัดพเยิดชักชวนกันเดินเลี้ยวเข้าไปดู

การแสดงเสภากำลังเข้าด้ายเข้าเข็มพอดี

ทั้งนกยูงฝูงหงส์มันลงเกลื่อนจับไก่เถื่อนมาเลี้ยงฟังเสียงขัน
พูดให้เพลินเดินพลางกลางอรัญแกล้งให้หมั่นดูแลฝูงแกกา
โพระดกนกงั่วกระตั้วเต้นกระแตเล่นไม้โจนโผนผวา
เจ้าพลายงามถามพ่อพูดจ้อมาขุนช้างพาเลี้ยวไปปะไม้ซุง
เห็นลับลี้ที่สงัดขัดเขมรสะบัดเบนเบือนเหวี่ยงลงเสียงผลุง

ลำจวนตื่นเต้นจนตัวเกร็ง เช่นเดียวกับเหล่าพ่อแม่พี่น้องทั้งหลายที่ต่างเคลิบเคลิ้ม โกรธ แค้น ไปกับบทกลอน

ฮุนและพวกมุดเข้ามาถึงตอนหน้า นั่งยองลงต่ำ เพื่อจะได้ไม่บังใคร

เด็กหนุ่มจีนก็ยังตื่นเต้นสนุกสนานไปกับเรื่องราว ลีลาขับเสภา และเสียงตีกรับอันสุดเร้าใจ

ปะเตะซ้ำต้ำผางเข้ากลางพุงถีบกระทุ้งถองทุบเสียงอุบโอย
พลายงามร้องสองมือมันอุดปากดิ้นกระดากถลากไถลร้องไห้โหย
พอหลุดมือรื้อร้องวันทองโวยหม่อมพ่อโบยตีฉันแทบบรรลัย
ไม่เห็นแม่แลหาน้ำตาตกขุนช้างชกฉุดคร่าไม่ปราศรัย

 

ลำจวนน้ำตาไหล ด้วยความรู้สึกร่วมกับตัวละครในเรื่อง

พระบุญลือชะเง้อมอง เห็นน้องสาวร้องไห้กระจองอแงราวกับเป็นพลายงามเสียเอง ก็อมยิ้มด้วยเมตตาปรานี

ฮุนนั้นตาลุกโพลงตื่นเต้นนัก จนเมื่อเพื่อนคนหนวดโง้งสะกิดเตือน ก็ไม่อยากจะฟัง

“ไปกันเถิด ชักเพลิน เดี๋ยวไม่ทัน ไปๆๆ”

ศิษย์คงแป๊ะคนหนวดงาม ถึงกับต้องลากคอเจ้าคนสักขาดำและเจ้าจีนฮุนที่ฮึดฮัด ต่อต้าน สู้แรงจนแทบจะตีกันออกไปจากวงจนได้

ความเคลื่อนไหวก่อกวนเล็กน้อยนั้น ดึงความสนใจให้ลำจวนหันไปมอง ครั้นเด็กหญิงเห็น

ฮุน เจ้าผมเปียตัวโปรดถูกใครมาลากไปอยู่ตรงนั้น ลำจวนจำเขาได้ดี อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาถูกคนรังแกอีกแล้วหรือนั่น

 

ที่ริมคลอง ฮุนและศิษย์พี่ๆ นั่งที่บันไดท่าน้ำสำหรับคนในวัดใช้งานกัน ช่วยกันขูดเขม่าจากก้นหม้อข้าว หม้อแกง ไห กระทะประดามี เก็บรวบรวมใส่อ่างดิน เสียงดนตรีจากการแสดงขับเสภา ยังดังตามมาทำนองโศกเศร้ากำศรวลครวญคร่ำ

ฮุนเงี่ยหูฟัง ยังอาลัยอาวรณ์อยากดูเสภา

“สนุกดีหนาขอลับ”

เขารำพึง

“ลื้อรู้จักเรื่องขุนช้างขุนแผนด้วยรือ”

พี่หนวดสงสัย

เด็กหนุ่มส่ายหัว ผมเปียแกว่งไกว

“ไม่รู้เรื่อง แต่ก็สนุก เช่นนั้นรือ”

คนสักขาลายเห็นขัน

ฮุนพยักหน้าหงึกๆ  ทำให้ทั้งสองหัวเราะกัน

พลันเสียงแหลมๆ ของเด็กหญิง ดังแหวๆ ชัดถ้อยชัดคำมาจากบนฝั่ง

“เขาบีบบังคับให้มาล้างหม้อหรือ”

กลุ่มชายหนุ่มนานาชาติพันธุ์ที่สรวลสันต์กันอยู่หันขวับไปดู

เด็กหญิงลำจวนยืนเท้าสะเอว ท่าทางเอาเรื่องอยู่ตรงนั้น

ฮุนจำเด็กหญิงคนเก่งแก่นกะโหลกได้ไม่เคยลืม

“มิล่าย” เขารีบบอก

พี่หนวดอธิบายให้อย่างอารมณ์ดี

“ไม่ใช่ นี่ช่วยกันขูดเขม่า จะเอาไปทำสี”

ลำจวนตาโพลงโตทันที เธอรีบวิ่งลงไปดูใกล้ๆ อย่างสนใจ

“ทำสีอย่างไร”

“ทำสีดำ เอาไว้วาดรูปอย่างไรเล่า”

คนสักขาลาย ยกอ่างดินที่มีผงเขม่าดำกองอยู่ที่ก้นอ่างให้ดู

“อ๋อ…”

เด็กหญิง ‘อ๋อ’ ไปอย่างนั้นเอง แต่ก็ยังงงๆ

ฮุนยิ้มกว้างให้ลำจวน แล้วก้มลงขูดเขม่ารวบรวมต่อ ตั้งใจให้เด็กหญิงดูเป็นเยี่ยงอย่าง ตั้งใจ เอาจริงเอาจัง

 

บริเวณวัดใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ พวกช่างเขียนสามสี่กลุ่มที่มาทำงานเขียนผนังโบสถ์ ต่างจับจองมุมของตนเพื่อสร้างเพิงหรือศาลาชั่วคราวขึ้น เป็นที่เก็บอุปกรณ์ต่างๆ  อย่างสี แปรง พู่กัน จาน ชาม ขวด โหล หม้อ กะลา

ที่หน้าเพิงของกลุ่มคงแป๊ะ ศิษย์บางคนนั่งทุบรากต้นลำเจียก และเปลือกต้นกระดังงาแช่น้ำ เพื่อทำแปรง

บ้างกำลังละลายยางไม้เพื่อผสมสี

ฮุนนั่งบดเขม่าที่ขูดมาให้เป็นผงดำ

เด็กหญิงลำจวนเดินดูสิ่งต่างๆ  พลางคุยกับครูพุด บุรุษร่างเล็กแต่แกร่ง ที่แคร่ ราวกับสนิทสนมกับท่านเต็มที่

“พู่กันทำจากรากต้นลำเจียกบ้าง เปลือกต้นกระดังงาบ้างรือขา บ้านอิฉันมีต้นลำเจียกริมน้ำ วันหลัง อิฉันจักถอนมาให้”

“พวกนี้ เอาไว้กระทุ้งทำลายใหญ่ๆ พวกภาพต้นไม้”

ครูพุดหยิบเศษๆ กระดาษสา ที่พับๆ ม้วนๆ สำหรับลองสีมาคลี่ เอาแปรงจากเปลือกต้นกระดังงามา แตะสี แล้วกดๆ ลงในกระดาษให้ดู

“อ๋อ…” ลำจวนกระจ่าง

จากพู่กันขนาดใหญ่ที่สุดนั้น ครูพุดหันไปหยิบพู่กันขนาดเล็กจิ๋วที่สุดมาให้ดู

“พู่กันสำหรับตัดเส้น…อันเล็กๆ นี้ เรียกว่าพู่กันหนวดหนู”

“หนวดหนู!”

ดวงหน้าขาวแจ่ม และดวงตาเต็มไปด้วยเรื่องราวสีสรรพ์ส่องแสงเจิดจ้า

“ต้องไปจับหนูมาตัดหนวดรือคะ”

ไม่มีใครไม่หัวเราะ

“ความสัจจริง คือมิได้ทำมาจากหนวดหนู หากทำมาจากขนในหูวัว”

ครูพุดทำเสียงให้น่าสนุกยิ่งขึ้นไปอีก

“พู่กันหนวดหนู ทำมาจากขนหูวัว!”

เด็กหญิงอุทานสุดเสียง แล้วหัวเราะชอบใจ ความมีชีวิตชีวาสดใสของเด็ก ทำให้พวกผู้ใหญ่พลอยสนุกสนานเริงรื่นไปด้วย

“นี่คือสิ่งใดคะ”

ลำจวนสนใจยางไม้สีเหลืองเป็นก้อน ที่พี่หนวดกำลังพยายามละลายในน้ำอุ่นที่เทจากกาต้มน้ำมาพักไว้

“ยางมะฝิด” พี่หนวดบอก

“มะขวิดค่ะ”

เด็กหญิงแย้งทันที

“เหมือนกันแหล มะฝิด มะขวิด เอามาละลายน้ำอุ่น แล้วใช้ผสมกับสี…อย่างเขม่าที่เจ้าฮุนมันกำลังบดอยู่นั่นแหล แล้วจึงนำไปเขียนผนังได้”

ลำจวนหันขวับ แล้วพุ่งเข้าไปหาฮุนทันที

ฮุนหันมาพยักหน้า ขยับ ชวนให้ดูว่าตนกำลังทำสิ่งไร พลางร่วมอธิบาย

“สีลำ…สีลำ”

ลำจวนขมวดคิ้ว มองรอบๆ ว่ามีใครฟังอยู่หรือไม่ แล้วยื่นหน้าเข้าไปกระซิบเบา อย่างจริงจังแกมตำหนิ

“ยังพูดไม่ชัดอีก สีดำ ไม่ใช่สีลำ ไหนพูดซิ”

ฮุนอึ้ง พยายามเต็มที่

“สี…ลำ”

“สีดำ! ดำ! ดำ! ดำ!”

ฮุนตั้งใจพูดตามเต็มความสามารถ

“ลำ!”

ทุกคนหันมาดู และหัวเราะสนุก

ไม่คาด เด็กหญิงลำจวน หันมามองกราด ถลึงตาดุดัน

“มีอันใดน่าขันรือขา คนพูดไม่ชัดเพราะเขาไม่มีใครสอน ควรจะช่วยกันสอนเขา ไม่ใช่มาหัวเราะเยาะเย้ย”

ทุกคนยังฮิๆ ฮะๆ  หาได้ถือสาความแก่แดดของเธอไม่

“มันพูดไม่ได้ดอก แม่หนู มันเป็นเจ๊กเปียยาว จักพูดชัดได้อย่างไร”

ครูพุดมีแก่ใจบอกกล่าว

ลำจวนขมวดคิ้วขัดใจ อาการนั้นไม่ผิดนายโรงสุ่นยามสั่งสอนเคี่ยวเข็ญลูกวง

“ต้องได้สิคะ”

เด็กหญิงนั่งปักหลักลงตรงหน้าเจ้าเปียอย่างจริงจัง จ้องตาเด็กหนุ่มกำกับไปด้วย

“เจ้าต้องหัดพูดให้ชัดเจนเช่นชาวสยามที่มีความรู้ เจ้าจึงจะมีสง่า น่านับถือ ผู้คนจะได้ไม่หัวเราะ

เยาะอีก”

คำว่าสยาม เป็นคำที่ชาวต่างชาติใช้เรียกคนไทยที่เด็กหญิงจงใจใช้ เพราะตีความว่าคนจีนนั้นเป็นคนต่างชาติ จึงพยายามใช้คำอย่างที่คนคนนั้นใช้ เพื่อจะได้มีความรู้สึกร่วม

เด็กหญิงชี้นิ้ว สำทับ อย่างนายโรงสุ่น ยามกำกับการแสดงสั่งสอนชาวคณะ

“เจ้าต้องมีความอุตสาหะ มานะ พากเพียร จึงจะทำการต่างๆ สำเร็จ จำไว้!”

ฮุนถึงแก่หน้าซีดเซียวเพราะถูกดุ

ผู้ใหญ่อื่นๆ แอบขำ เอ็นดู

แต่แล้ว บุคคลที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะผ่านมาใกล้ๆ เพิงนี้ในยามนี้ คือ…เนตร ให้มีอันจะเดินจากท่าน้ำไปสู่พระอุโบสถ โดยใช้ทางลัดที่สุด

เสียงหัวเราะมีความสุขของคณะศิษย์คงแป๊ะ ทำให้เนตรอดเหลือบมามองอย่างรังเกียจเหยียดหยามไม่ได้ แต่แล้วก็ถึงกับนิ่งงัน

นางเด็กลำจวน น้องสาวคนเล็กของเขามิใช่หรือนั่น ที่ไปสาระแนแร่แรดอยู่ท่ามกลางเหล่าบุรุษล้วนประหลาดๆ ที่ดูไร้หัวนอนปลายตีนสิ้นเชิง

ไฟโทสะพลันฟาดวาบดุจสายฟ้าแลบ

เนตรเดินอาดๆ  บุกเข้าไปในเพิงนั้น กระชากคอเล็กๆ ของลำจวนจากด้านหลังอย่างไร้ปรานี ด้วยเงื้อมมือใหญ่แข็งดุจเหล็ก พลางขู่กรรโชกด้วยเสียงโกรธเกรี้ยว

“นางลำจวน มาทำอะไรที่นี่”

“โอ๊ย…” เด็กหญิงร้องอย่างเจ็บปวด

บรรดาชายที่แปลกประหลาดเหล่านั้นทุกคน ตื่นตกใจ

“พ่อเนตร พ่อจักทำอะไรเด็ก”

ครูพุดผู้ร่างเล็กกว่าเนตรเกือบครึ่ง กระโดดออกมาขวางทาง

เนตรคำรามตอบ

“เด็กที่ไหน ลำจวนมันน้องสาวฉัน”

เขาลากลำจวนหลุนๆ ไปตามทางเดินแคบๆ  พลางดุว่าไปตลอดทาง ขณะที่ทุกคนได้แต่มองอยู่กับที่

“นังลำจวน กลับบ้าน จะค่ำแล้ว มาเที่ยวตะลอนๆ ในหมู่ผู้ชายพายเรือคนแปลกหน้า เดี๋ยวพี่จะ

เฆี่ยนให้ตายคามือเลย”

“พี่เนตร ปล่อยฉัน เจ็บ…โอ๊ย!”

ลำจวนร้องอุทธรณ์ดัง ดิ้นรน

เจ้าหนุ่มฮุนยืนมองตามไปอย่างหมดปัญญา ทุกข์และว้าวุ่นใจใหญ่หลวง

 



Don`t copy text!