เพลงเงาดอกงิ้ว บทที่ 3 : บ้านหลังใหม่

เพลงเงาดอกงิ้ว บทที่ 3 : บ้านหลังใหม่

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

เพลงเงาดอกงิ้ว นวนิยายรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ ๓ โดย คีตาญชลี แสงสังข์ ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวของศัลยแพทย์หนุ่มที่ถูกใส่ร้ายให้กลายเป็นฆาตกรโหด เขาจะหาความจริงเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ไหม หากว่าไม่…ชีวิตเขาต้องเปลี่ยนไป พร้อมกับสูญเสียหญิงสาวที่รักที่สุดไปด้วย

บ้านพักที่วัสสาน์หรือครูแนทพาคิมหันต์ไปดูนั้นเป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูง หน้าตาโบราณเหมือนบ้านพักข้าราชการในหนังย้อนยุค เหมือนขนาดไหน ก็ขนาดที่ทำให้เขาแทบจะแว่วยินเสียงมโหรีปี่พาทย์ สมัยที่พวกขุนน้ำขุนนางนิยมอุปถัมภ์วงดนตรีออกมาจากผนังบ้านทีเดียว

บ้านหลังนี้มีสองห้องนอน ตรงกลางเป็นโถงรับแขกและมีชานบ้านเหมาะแก่การวางกระถางไม้ดัดสักสองสามกระถาง ครัวและห้องกินข้าวอยู่ชั้นล่าง ติดกระจกรอบซึ่งน่าจะต่อเติมขึ้นในภายหลัง ส่วนด้านข้างนั้นเป็นสนามรกเรื้อ มองเห็นต้นสักสามต้นปลูกเป็นแนวริมรั้ว หน้าต้นสักเป็นเพิงสังกะสี คงเอาไว้สำหรับจอดรถ

คิมหันต์ถูกใจบ้านหลังนี้ เพราะหลังบ้านมีคลองสายเล็กๆ ไหลผ่าน ติดอยู่อย่างเดียวตรงหน้าบ้านนั้นติดถนนอย่างเกินพอดี อันน่าจะมาจากการขยายถนนเมื่อไม่นานมานี้

อย่างไรก็ตามเขาตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่ในเวลาต่อมา โดยมีนายสมและวัสสาน์เข้ามาช่วยทำความสะอาด การที่นายสมเข้ามาช่วยนั้นคิมหันต์ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องแปลก แต่การที่วัสสาน์เข้ามาช่วยด้วยอีกคนคิมหันต์รู้สึกตะขิดตะขวงใจ แต่เมื่อเขาเอ่ยเรื่องนี้กับนายสม ชายหน้ายับอารมณ์ดีผู้นั้นกลับมองเขาด้วยสายตาประหลาด นายสมถามกลับว่า

“แล้วมันไม่ดียังไงครับหมอ”

“เปล่าไม่ดี ผมแค่เกรงใจ”

นายสมหัวเราะกว้าง “บ้านพักของครูเขาอยู่ใกล้แค่เนี้ย…” นายสมชี้มือเข้าไปในกำแพงวัด “แถมหมอก็ช่วยรักษาลูกศิษย์เขาด้วย เสาร์อาทิตย์ครูเขาว่าง เขาก็คงอยากแสดงน้ำใจกับคุณหมอ อย่าไปคิดมากเลยครับ”

“งั้นเหรอ” คิมหันต์ทำเหมือนเชื่อ แต่ก็ไม่ได้เชื่อ เขาโตขึ้นมาในเมือง ทุกอย่างต้องใช้เงินซื้อ เขาเคยได้ยินมาว่าคนต่างจังหวัดมีน้ำใจ แต่ก็ยังทำความเข้าใจเรื่องพวกนี้ไม่ได้อยู่ดี

วัสสาน์เข้ามาช่วยนายสมด้วยเสื้อผ้าทะมัดทะแมง หล่อนมากับเด็กหญิงตัวเล็กๆ หล่อนบอกเขาว่าเด็กน้อยชื่อแจน เป็นน้องสาวของเจ้าหนูเจมคนที่เป็นคนไข้ของเขา ทั้งครูและลูกศิษย์มาช่วยทำงานจริงๆ ทั้งปัดกวาดเช็ดถูและย้ายข้าวของ เมื่อทำงานเสร็จแล้วก็กลับไปง่ายๆ ไม่ได้อยู่อ้อยอิ่งพูดคุยกันกับเขา

 

เพียงหนึ่งสัปดาห์คิมหันต์ก็รู้สึกคุ้นเคยกับบ้านเช่าหลังนั้น มันให้ความสงบยามค่ำคืนและความสดชื่นในยามเช้า พอย่างเข้าสัปดาห์ที่สามซึ่งเป็นกลางเดือนตุลาคมช่วงที่เรียกว่าปลายฝนต้นหนาว ก็มีฝนตกหนักเหมือนทิ้งทวน น้ำจำนวนมากไหลจั้กๆ จากหลังคาลงสู่สนามข้างบ้าน ชุ่มไปทั้งสวน คิมหันต์ได้ยินเสียงน้ำจากคลองหลังบ้านชัดเจนอย่างไม่น่าเชื่อ เสียงนั้นทำเขาจินตนาการได้ถึงจำนวนและความแรงที่กำลังเกิดขึ้นในลำน้ำเล็กๆ สายนั้น

เช้าหลังคืนฝนกระหน่ำมีหมอกจำนวนมากไหลจากภูเขาเข้าท่วมเมือง ทุกสิ่งทุกอย่างถูกพรางอยู่ในม่านสีขาว สิ่งที่ตาต้องดูหม่นหมองทว่าสุดแสนโรแมนติก คิมหันต์ลองเปิดหน้าต่าง เขาได้ยินเสียงนกรำพันแทรกสลับกับเสียงดนตรีไทยจากที่ไหนสักแห่ง และเช้าของสัปดาห์ที่สามนั้นเองที่เขารับรู้ถึงความงดงามของทุ่งฉลองขึ้นมาเป็นครั้งแรก

เขาทำทุกๆ อย่างช้าลง แปรงฟันช้าลง เคี้ยวอาหารช้าลง เพราะใจมัวเพลินกับอากาศและเสียงเสนาะรอบข้าง กว่าจะรู้ว่าตัวเองนิ่งและสงบลงไปมาก เขาก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จโดยที่ไม่ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไถดูเรื่องราวในโลกออนไลน์เลย

วันนั้นอากาศเย็นสบาย คนไข้มีไม่มากและเขาไม่ต้องขึ้นเวรกลางคืน ราวห้าโมงเย็นคิมหันต์จึงเดินทอดน่องกลับบ้านพัก

เขานึกถึงมื้อเย็น อยากจะลองทำอาหารไทยง่ายๆ กำลังนึกว่าในตู้เย็นที่บ้านนั้นพอจะมีสิ่งใดเหลืออยู่บ้าง แต่ไม่ทันจะตัดสินใจได้ เขาก็สังเกตเห็นว่าหน้าบ้านมีคนกำลังรอเขาอยู่

ศัลยแพทย์หนุ่มต้องประหลาดใจ เมื่อได้พบผู้ชายผิวน้ำผึ้ง ตัวสูง ที่เคยเข้าใจผิดว่าเป็นเจ้าของรถเหมาอีกครั้ง

คราวนี้หมอนั่นสวมชุดสีกากีมีเครื่องหมายติดบนไหล่และหน้าอกเต็มยศ ขายาวๆ นั่งคร่อมรถจักรยานยนต์โดยมีครูแนทยืนอยู่ด้านข้าง

เมื่อหญิงสาวเห็นเขาก็ยื่นหม้อใบหนึ่งให้ เธอพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพและมีไมตรีว่า “แกงเขียวหวานไก่ค่ะคุณหมอ ไม่แน่ใจว่าจะเผ็ดเกินไปหรือเปล่า อ้อ…” วัสสาน์หันไปยังชายผู้นั้น “ครูคิดค่ะหมอ  ครูคิดคะ นี่หมอคิมหันต์ค่ะ” ครูสาวแนะนำ คิมหันต์ไม่รู้ว่า ‘คิด’ มาจาก สมคิด หรือคิดที่แปลว่าเด็กกันแน่ รู้เพียงแต่ว่าหมอนั่นมองเขาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป จากที่มีแววเยาะกลายเป็นไม่ไว้วางใจ

คิมหันต์ลอบยิ้ม เสือผู้หญิงอย่างเขาดูออกว่าชายผิวสองสี ใบหน้าโดดเด่นด้วยสันจมูกโด่งสูงและรูปปากอิ่มกว้างกำลังหึงเขาอยู่

คิมหันต์ไม่ใช่คนที่จะใส่ใจคนรอบข้างนัก แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาอย่างนี้ เขาก็อดที่จะหยอดครูสาวคนสวยไม่ได้

“ถ้าครูแนทเป็นคนทำ เผ็ดยังไงผมก็กินข้าวอร่อยครับ” เขาว่า หญิงสาวหัวเราะขัน

รอยยิ้มของเธอสุภาพอ่อนโยน ถึงอย่างนั้นเขาก็แน่ใจว่าไม่ได้ชอบเธอ แม้ว่าจนถึงบัดนี้เขายังไม่พบคนในทุ่งฉลองที่สวยกว่าเธอ แต่ที่เขาทำไปทั้งหมดก็เพราะอยากทำให้ชายหนุ่มปากกว้างหัวเสีย และเขาก็ทำสำเร็จ

การแกล้งครูคิดนั้นคิมหันต์ทำอีกหลายครั้ง ก็ไม่มีอะไรมาก แค่เวลาที่บังเอิญพบกับอย่างพร้อมหน้า เขาก็ตั้งใจฟังวัสสาน์มากขึ้น ดูแลหล่อนมากขึ้น อาจจะหยิบเศษใบไม้ทิพย์ออกจากเรือนผมหล่อน หรือไม่ก็ทำเป็นห่วงเวลาหล่อนเข้ามาเดินในสนามข้างบ้านแฉะๆ ซึ่งมันก็บังเอิญได้พบกันพร้อมหน้าบ่อยเสียด้วย เพราะบ้านของเขาอยู่หลังวัดและโรงเรียนก็ดันตั้งอยู่ในวัด

แต่อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของเขาคือทำให้ไอ้ครูปากกว้างหึง ไม่ได้ต้องการจะได้ครูสาวบ้านนอกมาเป็นแฟนจริงๆ สิ่งที่คิมหันต์ทำกับวัสสาน์จึงลุ่มๆ ดอนๆ ไม่มีความสม่ำเสมอ แน่ละว่าเขาไม่รู้และไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าวัสสาน์จะรู้สึกอย่างไร แต่ที่รู้แน่ๆ คือเขาสะใจ  เหตุผลน่ะหรือ อาจจะดูไร้สาระ แต่เขาเกลียดสายตาและรอยยิ้มมุมปากของครูคิดอะไรนั่น มันทำให้เขารู้สึกว่าการสวมนาฬิการาคาเหยียบแสน รองเท้าหนังคู่ละหมื่น กลายเป็นการสวมเครื่องแต่งกายแพรวพราวของพระเอกลิเกไปเสียอย่างนั้น

วัสสาน์คือจุดอ่อนของหมอนั่น และเขาแสนโชคดี เพราะนอกจากครูสาวจะเอื้ออาทรต่อหมอคนใหม่อย่างเขาแล้ว เธอก็ยังนิยมชมชอบเขาอย่างเปิดเผยเมื่อรู้ว่า ทั้งโรงพยาบาลมีแพทย์อยู่เพียงสามคน และทั้งสามคนต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนขึ้นเวรเช้า-บ่าย-ดึก เธอก็ถึงกับปรารภออกมาว่าอาชีพหมอช่างเป็นอาชีพที่เสียสละ

“ถึงจะได้ค่าตอบแทนสูง แต่ฉันไม่เชื่อว่าหมอที่ยอมมาอยู่โรงพยาบาลเล็กๆ และห่างไกลอย่างทุ่งฉลองจะเลือกเรียนแพทย์เพราะเห็นแก่เงินหรอกค่ะ ฉันได้ยินมาว่าผู้อำนวยการโรงพยาบาลอยู่ที่นี่มายี่สิบปีแล้ว ต้องเป็นคนดีขนาดไหนกัน ถึงจะเสียสละได้ขนาดนี้”

“แต่สำหรับผม อาจจะไม่ได้เป็นอย่างหมอธนินก็ได้นะครับ” คิมหันต์พูด ตอนนั้นเป็นเวลาเย็น เขายืนอยู่กับเธอในสนามโรงเรียน ที่เขามักเข้ามาเดินเล่นในวันว่าง

ครูสาวส่ายหน้า “ไม่ว่าเหตุผลของหมอคืออะไร แต่หมอก็คือคนที่เห็นประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ฉันอยากให้หมอรู้ไว้ว่าอาชีพของหมอสำคัญ โดยเฉพาะกับพื้นที่ในป่าในเขาอย่างที่นี่”

“ครูรู้จักประโยคนี้ด้วยหรือครับ”

“รู้จักสิคะ รู้จักดีเลยละค่ะ”

ยิ้มของครูแนทเรียกได้ว่ายิ้มพิมพ์ใจ แวบหนึ่งมันมีความลึกล้ำซ่อนอยู่ คิมหันต์ที่บังเอิญได้เห็นก็ถึงกับหัวใจเต้นแรง

“แล้วครู…มาเป็นครูที่นี่เพราะเหตุผลเดียวกับหมอธนินหรือเปล่าครับ” คิมหันต์ถาม

หญิงสาวผ่อนลมหายใจ “ถ้าหมอสักคนอยากเป็นหมอเพราะอยากรักษาคน ฉันเองก็มาเป็นครูเพราะเหตุผลเพื่ออยากจะทำเพื่อคนอื่น โดยเฉพาะเด็กๆ แต่ถ้าหมอสักคนอยากเป็นหมอชนบทด้วยความเห็นอกเห็นใจคนไข้เพราะรู้ว่าการเดินทางเข้าเมืองเป็นเรื่องยากลำบาก การมาเป็นครูที่นี่ของฉันคงจะคนละเหตุผลกัน ฉันไม่ใช่คนดีอะไรนักหรอกค่ะ ดังนั้นเหตุผลของฉันจึงเป็นคนละเหตุผลกับหมอธนิน”

“แต่ตอนนี้คุณก็มาสอนอยู่ที่นี่แล้ว ไม่ว่าจะมาด้วยเหตุผลอะไร ผมก็เห็นว่าคุณเป็นครูที่ทุ่มเทคนหนึ่ง” เขาพูดเพราะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

“คุณเองก็ด้วยค่ะ ไม่ว่าเหตุผลอะไรก็ตามที่ทำให้คุณมาที่นี่ ตอนนี้คุณก็เป็นหมอที่ดีคนหนึ่งเหมือนกัน”

เธอว่า เขารู้สึกอิ่มใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จะว่าไปแล้วมันก็คล้ายกับอารมณ์ที่ทุกคนในเมืองนี้ทำให้เกิดขึ้นกับเขา โดยเฉพาะนายสม

บัดนี้นายสมถือเขาเป็นสหายคนหนึ่ง โดยที่ไม่อินังขังขอบว่าเขาจะรู้สึกแบบนั้นกับนายสมด้วยหรือไม่

เรื่องระหว่างคิมหันต์กับนายสมนั้นไม่มีอะไรมาก มันแค่เริ่มมาจากเขาทำเสื้อเชิ้ตตัวหนึ่งเลอะยาโพวิโดนไอโอดีน ซึ่งเป็นยาฆ่าเชื้อภายนอกที่ขายกันในบรรจุภัณฑ์สีส้ม บางยี่ห้อก็บรรจุมาในขวดสีเหลือง แม้เมื่อซักอย่างดีแล้วก็ยังคงเหลือคราบเหลืองจางๆ ติดอยู่บนเนื้อผ้า คิมหันต์ซึ่งแต่งตัวเนี้ยบตลอดเวลาทนใส่มันไม่ได้ ชายหนุ่มจึงเอาเสื้อตัวนั้นใส่ถุงกระดาษเอาไว้เตรียมทิ้ง วันเดียวกันนั้นนายสมซึ่งมาช่วยตัดหญ้าที่บ้านบังเอิญโดนหินกระเด็นใส่หัวคิ้ว คิมหันต์จึงคว้าเสื้อตัวนั้นมาห้ามเลือดเพราะเห็นว่ามันสะอาดและอยู่ใกล้มือ นายสมซึ่งตอนหลังมาเห็นว่าเสื้อตัวนั้นเปื้อนเลือดตัวเองก็ถึงกับเอาไปคุยฟุ้งว่า หมอคิมหันต์เป็นคนดี ไม่ได้หยิ่งอย่างที่ใครๆ ว่า เพียงเพื่อจะช่วยห้ามเลือดคนงานอย่างเขา ชายหนุ่มถึงกับสละเสื้อราคาแพงเอามาซับเลือดให้

ตั้งแต่วันนั้นมาความเป็นกันเองอย่างที่เขาไม่เคยได้รับจากที่ไหนก็เกิดขึ้นในที่ทำงาน และสายตาของนายสมก็ภักดีต่อเขาอย่างเปิดเผย แรกๆ เขาก็อึดอัด เกือบจะนึกรำคาญ แต่สังคมแคบๆ และสายตาที่มองเขาอย่างไว้วางใจจนเกือบจะเป็นรักใคร่ ก็ทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่นที่เกิดขึ้นในหัวใจของตัวเอง

ดังนั้นพอเข้าสัปดาห์ที่ 4 ก็ช่วยไม่ได้ที่คิมหันต์จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของทุ่งฉลองไปเสียแล้ว

ที่นี่เขาเป็นที่ต้องการ ได้รับการยอมรับนับถือ โดยที่ไม่ต้องอาศัยลูกล่อลูกชนในการเข้าสังคมหรือความพยายามใดๆ เลย

เรื่องในชีวิตของคิมหันต์ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ดำเนินไปอย่างช้าๆ เวลาของที่นี่เดินเคียงเขาไปเสมอ ตอนนี้คิมหันต์ไม่ต้องพึ่งพาครีมจัดแต่งทรงผม ไม่ต้องเสียเวลาหน้ากระจกยาวนาน เขาใช้เวลายามเช้าไปกับการออกไปจ็อกกิงเพื่อดูดวงอาทิตย์ขึ้นมาจากเหลี่ยมเขา และถ้ามีโอกาสในตอนเย็น เขาก็จะใช้เวลาดูดวงอาทิตย์ตกลงไปยังเหลี่ยมเขาอีกด้าน

คนที่นี่ไม่สนว่าเขาจะใส่เสื้อยี่ห้ออะไร ไม่สนใจว่าเข็มขัดของเขาเป็นของจริงหรือของทำเลียนแบบ ขอแค่เขาเป็นหมอนั่งอยู่ในห้องตรวจ ถามพวกเขาอย่างใส่ใจเรื่องความป่วยไข้ ก็เพียงพอสำหรับทุกสิ่งแล้ว

อันที่จริงเขาไม่ทันได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง จนกระทั่งปลายเดือนพฤศจิกายนที่ฤดูหนาวเดินทางมาถึงอย่างเต็มตัว และแม่ขับรถจากกรุงเทพฯ มาคนเดียวด้วยความเด็ดเดี่ยวนั่นแหละ เขาจึงเริ่มเห็นว่าสิ่งต่างๆ ในตัวเขาเปลี่ยนแปลงไปมากมายเหลือเกิน

 

ฐานิดา ภัทรประพาพงศ์ เป็นผู้หญิงวัยหกสิบที่ยังสวยเฉียบ ใบหน้าคมเหมือนเหยี่ยวและรูปร่างงามระหง แน่นอนว่าความงดงามนั้นได้รับการดูแลจากคลินิกความงามในกรุงเทพฯ แต่ก็ต้องยอมรับว่า นอกเหนือจากโบท็อกซ์และร้อยไหม คือของแท้ที่เธอมีติดตัวมาตั้งแต่เกิด

วันที่ฐานิดามาถึงนั้น คิมหันต์ต้องอยู่เวรบ่ายควบดึก แต่เวรดึกของเขาในทางปฏิบัติแล้วมันกลายเป็นเวรออน คอล (on call) คือนอนอยู่กับบ้าน รอพยาบาลซึ่งเข้าเวรอยู่ด้วยกันโทร.มาตามในกรณีที่มีความเร่งด่วนหรือยากเกินกว่าที่พยาบาลจะจัดการเองได้ ซึ่งก็ว่ากันตามจริงอีกเหมือนกัน ถ้าเพื่อนร่วมงานอย่างพยาบาลเหล่านั้นจะไม่ช่วยเหลือหมอทั้งสามคนในโรงพยาบาลแบบนี้ การเข้าเวรเพื่อทำงานตลอด 24 ชั่วโมงของคนเพียงสามคน ก็คงจะเกินกำลังที่มนุษย์สักคนหนึ่งจะทำ

คืนนี้ก็เหมือนๆ กันกับคืนที่ผ่านมา อากาศหนาวจนฟันกระทบกันกึกๆ และการขึ้นเวรของเขาคือการนั่งเล่นโทรศัพท์ไปจนราวๆ สี่ทุ่มครึ่ง จึงมีเคสปวดท้องประจำเดือนเข้ามาเคสหนึ่ง

อาจเพราะทุ่งฉลองมีเวลาหลับใหลก็เป็นได้ เคสต่างๆ ทั้งหนักทั้งเบาจึงมักเกิดขึ้นในเวลากลางวัน

หลังเที่ยงคืน คิมหันต์ซึ่งหนาวจนมือชาเดินออกจากประตูโรงพยาบาลเพื่อกลับบ้านพัก แสงจากโคมไฟบนเสาไฟฟ้าส่องสว่างจนเห็นลมหายใจของเขาพุ่งออกมาเป็นควัน อากาศนอกตัวอาคารเย็นจนขาของหมอหนุ่มแข็งจนก้าวไม่ค่อยออก

คิมหันต์พบวัสสาน์ซึ่งเพิ่งกลับจากร้านสะดวกซื้อ เธอสวมเสื้อนวมสีหวาน จมูกแดงเหมือนผิวชมพู่ เมื่อพบเขาระหว่างทางเธอก็ชวนเขานั่งซ้อนท้ายกลับมาด้วยกัน

บนถนนเงียบร้าง มีเพียงรถจักรยานยนต์ของวัสสาน์เพียงคันเดียว เขานึกเดาเอาว่าเพราะเธอเป็นคนมาจากที่อื่น จึงกล้าออกมากลางค่ำคืนอันเปลี่ยวเปล่าเพียงลำพัง

เมื่อถึงหน้าบ้าน แม่ซึ่งคงแปลกที่จนนอนไม่หลับและยังไม่คุ้นเคยกับเสียงหรีดหริ่งของธรรมชาติออกมายืนรอเขาที่ระเบียง เมื่อเห็นเขากับวัสสาน์ แม่ก็ยืนตัวแข็งทื่อ ลอบมองวัสสาน์ตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะลงมาเปิดประตูให้ ถึงจะรับไหว้และทำเป็นมีมารยาทชวนเข้าบ้าน แต่หลังจากที่ครูสาวปฏิเสธแล้วขับรถเข้าวัดไปแล้ว แม่ของเขาก็หันกลับมาเล่นงานคิมหันต์อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

“นั่นใคร” เสียงเย็นๆ ของแม่ทำให้คิมหันต์รู้ทันทีว่า แม่มองว่ามีสิ่งไม่น่าไว้วางใจเกิดขึ้นที่นี่แล้ว

“คุณครูคนที่คิมเล่าให้ฟังว่าช่วยเรื่องบ้าน เรื่องอะไรต่อมิอะไรไงแม่” เขาอธิบาย แม่พยักหน้าครุ่นคิด  มือก็แกว่งแก้วน้ำซึ่งใส่ไวน์เอาไว้เกือบครึ่ง เสียวไส้ว่ามันจะกระฉอกออกมาจากปากแก้ว

“มีอะไรหรือเปล่าแม่” คิมหันต์ถาม ฐานิดานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเย็น

“ฉันเลี้ยงแกมาฉันรู้ดี ถึงแกจะหน้ามืดยังไง แต่ก็ไม่มีทางไปคว้าคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า หรือไปคว้าสาวชาวบ้านมาแน่ๆ ต่อให้สวยอย่างกับนางฟ้าก็เถอะ…ฉันบอกแกเสมอว่าแกมันคือมงกุฎ แกจะต้องมองหาเพชรยอดมงกุฎ ไม่ใช่ไปหากรวดหาทรายอะไรมาปะไว้บนหัว”

“คิมรู้นะว่าแม่หมายถึงอะไร แต่มันไม่มีอะไร” คิมหันต์พูดความจริง ฐานิดาถอนหายใจยาว ปรับสีหน้าอารมณ์ใหม่ ส่งเสียงอ่อนหวาน

“แม่รู้ หมอคิม…แม่ไว้ใจแก ไว้ใจมาตลอด” และนั่นมักเป็นประโยคปิดท้าย ซึ่งคิมหันต์รู้ดีว่าแม่พยายามระงับความรู้สึกบางอย่างและกำลังใช้จิตวิทยาขั้นสูงสุด

คิมหันต์ไม่ต่อคำ เขาเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ฐานิดาคือผู้หญิงสวย แกร่ง และฉลาดเอามากๆ เธอก็เหมือนคนที่มีหัวทางธุรกิจโดยทั่วไปที่คิดคำนวณตัวเลขเป็นกำไรขาดทุน และสามารถมองเห็นตัวเลขในทุกภาคส่วนของชีวิต

เธอสอนคิมหันต์เสมอเรื่องการลงทุน ไม่ว่าเรื่องเรียน เรื่องเที่ยว หรือการคบเพื่อน เวลานาทีของฐานิดามีราคาค่างวด และเธอไม่เคยปล่อยทิ้งไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ดังนั้นเธอจึงเป็นคนที่ประเมินสถานการณ์ได้เก่งกาจ และถ่ายทอดความเก่งกาจนั้นมาไว้ในตัวของคิมหันต์

ตลอดมาฐานิดาทำให้คิมหันต์ตระหนักถึงมูลค่าของตัวเอง และรู้จักการเพิ่มมูลค่าให้ตัวเอง คำหวานที่เธอป้อน จิตวิทยาที่เธอใช้ ทำให้คิมหันต์เชื่อในสิ่งเดียวกับเธอ ที่ผ่านมาเขาจึงวางตัวเองไว้สูง ผู้หญิงที่เขาจีบจะต้องมีบางอย่างที่พิเศษ ไม่ใช่แค่ความสวย เธอเหล่านั้นถ้าไม่ฉลาดและพร้อมที่จะก้าวหน้าเอามากๆ ก็ต้องรวยมากๆ

หมอชาช่าแฟนคนล่าสุดที่เขาเพิ่งเลิกไปก็น่าจะพิสูจน์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

แล้วทำไมครูสาวบ้านนอก ถึงมาสร้างความหวั่นหวาดให้ผู้หญิงอย่างฐานิดาได้ แม่ของเขาเห็นอะไรในตัวครูแนทกัน

หรืออาจจะเป็นเรื่องของหมอนัท…

ใช่…เขายอมรับว่าเขาพลาด แต่ถ้าจะนับกันจริงๆ หมอนัทก็ยังอยู่ในเงื่อนไขของผู้หญิง สวย รวย เก่ง และมีหนทางก้าวหน้า ถ้าไม่ติดเรื่องที่เธอมีสามีแล้วและเขาดันมีแฟนเป็นตัวเป็นตน เขาคิดว่าแม่ที่มีกฎเฉียบขาดเรื่องการคุ้มทุน ไม่มีทางรังเกียจผู้หญิงที่ถึงจะมีอายุมากกว่าเขา 10 ปี แต่มีครบสูตรอย่างหมอนัทแน่ๆ

“วันนี้ฉันไปเดินสำรวจในตลาด” แม่ของเขาเปลี่ยนเรื่อง “ที่นี่แกสามารถทำเงินได้นะถ้าเปิดคลินิก ฉันว่าคนที่นี่รวยพอสมควร ยินดีจ่ายเพื่อความสะดวกสบายแน่ๆ หรือไม่ก็ขายเครื่องสำอาง อาหารเสริม ฉันว่าแกจะทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ” แม่ลูบใบหน้าของเขา “ผิวแบบนี้ ใครจะไม่อยากมี”

“แม่รู้ได้ยังไงว่าพวกเขามีเงิน” คิมหันต์ถาม นึกถึงใบหน้าเหี่ยวๆ ของนายสมและบรรดาคนไข้ที่เขาพบ

ฐานิดายิ้มอย่างคนชนะ เขารู้ดีว่าแม่ของเขาเสพติดความสำเร็จ และเธอก็ภาคภูมิใจในความฉลาดของตัวเอง

“ร้านทอง” ฐานิดาเฉลย พลางยกแก้วขึ้นจิบไวน์ “เมืองเล็กนิดเดียว มีร้านทองตั้งสามร้าน ถ้าเปิดแล้วไม่มีคนซื้อ มันคงไม่มีเยอะขนาดนี้หรอกหมอคิม”

คิมหันต์นิ่ง เขาเห็นด้วยกับแม่ เรื่องที่คนที่นี่อาจจะมีเงินอย่างที่แม่คิด แต่เขารู้สึกเหนื่อยล้าและไม่แน่ใจว่า คนมีเงินทุกคนจะพร้อมจ่ายให้ผิวเนียนเด้งอ่อนกว่าวัยอย่างแม่หรือเปล่า

“รอให้อะไรเข้าที่เข้าทางเดี๋ยวค่อยคิดนะแม่” เขาแบ่งรับแบ่งสู้

“แล้วจะรอถึงเมื่อไร แกอยู่ที่นี่มาจะสองเดือนแล้ว แกจะรอปรับตัวอะไรกันหนักหนา แต่…เดี๋ยวนะ” ฐานิดาเดินเข้ามาจับใบหน้าลูกชาย “ฉันรู้สึกแปลกๆ มาตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว เมื่อกี้ฉันก็สงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่าระแวงแม่ครูสาวบ้านนอกไปทำไม ฉันว่าตอนนี้ฉันรู้แล้ว…”

 



Don`t copy text!