โหงลำโขง บทที่  10 : ก่อนฟ้าสาง (3)

โหงลำโขง บทที่ 10 : ก่อนฟ้าสาง (3)

โดย : ทศพล

Loading

โหงลำโขง โดย ทศพล กับเรื่องราวของ “คูน” ชายหนุ่มผู้อาภัพ บิดามารดาถูกฆาตกรรม เขาจึงเติบโตโดยการฟูมฟักจากแม่เฒ่าต้วน ผู้หวังว่าสักวันหนึ่งคูนจะกลับไปล้างแค้นให้กับบิดามารดา และทำให้ครอบครัวของฆาตกรนั้นอยู่อย่างตายทั้งเป็น หากแต่แผนการและหัวใจสวนทางกัน คูนจะทำอย่างไร นวนิยายคุณภาพที่อ่านเอานำมาให้คุณอ่านใน anowl.co

5 วันผ่านไป

ยามบ่ายตะวันคล้อยต่ำ ร่างกายของติ้วได้รับการฟื้นฟูจนกลับมาแข็งแรงเป็นปกติ เธอเดินกางร่มเฉิดฉายอยู่กลางถนนเพื่อสำรวจเส้นทางในหมู่บ้าน กิริยาวาจาของเธอเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ก่อนหน้านี้เธอค่อนข้างเก็บตัวเงียบ ไปไหนมาไหนก็ต้องมีแม่ไปด้วยเสมอ แต่วันนี้เธอกลับเดินคนเดียวกลางถนนด้วยความมั่นใจอย่างมาก ไม่กลัวแสงแดดและยังเป็นมิตรกับทุกคนที่เดินผ่าน พอเธอเห็นชาวบ้านเธอก็ยิ้มแย้มทักทาย ทั้งยังยกมือขึ้นไหว้และโบกมือให้ จนใครหลายคนที่พบเจอต่างแปลกใจไปตามๆ กัน เพราะไม่เคยเห็นติ้วเป็นแบบนี้มาก่อน

จำปีและบัวเพียงที่กำลังเดินถือตะกร้าผ้าสวนทางผ่านมาเห็นติ้วเข้าพอดี ทั้งสองคนดีใจมากจึงวิ่งเข้าไปทักทายติ้วทันที

“เอื้อยติ้วหายดีแล้วบ่จ๊ะ ถึงได้มาเดินเล่นได้ เมื่อวานน้องกับแม่ไปเยี่ยม ป้าจำเนียนบอกว่าเข้าไปเยี่ยมบ่ได้ ย้อนเอื้อยยังบ่หายดีคัก” จำปีเอ่ยถามขึ้นก่อนสำรวจร่างกายของติ้วตั้งแต่หัวจรดเท้า “ดูแล้วคือสิหายดีคักแล้ว เอื้อยบ่มีบาดแผลตามร่างกายเลย ผิวพรรณกะยังขาวผ่องงดงามเหมือนเดิมเลยนะจ๊ะ”

“ขอบใจจ้ะ เอื้อย” ติ้วยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ “ว่าแต่…เจ้าคือใคร”

“แม่นหยังเอื้อย นี่จำน้องจำปีบ่ได้แล้วเหรอ” จำปีคิ้วขมวดด้วยความสงสัย

ติ้วเอาหลังมือซ้ายขึ้นไปแตะที่กระหม่อมซ้ายแสร้งว่าตนเวียนหัว “สงสัยความจำเอื้อยสิยังบ่ดี สงสัยหัวต้องไปกระแทกของหนักมาแน่ๆ ตอนนี้เลยจำใครบ่ได้เลย”

“สงสัยเอื้อยติ้วคือสิจำข่อยบ่ได้” บัวเพียงชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “ข่อยชื่อบัวเพียงเด้อ”

“เอาเถอะๆ” ติ้วยกมือห้ามจำปีและบัวเพียง “ไว้เอื้อยหายดี คือสิจำทุกอย่างได้เองนั่นละ” เหลือบหันไปมองตะกร้าผ้า “นั่นผ้าอิหยังกัน ลายคืองามหลาย”

“ผ้าซิ่นลายพญานาคจ้ะ สิเอาไปไว้ใส่ในงานแห่พระ” บัวเพียงหยิบผ้าซิ่นออกมาจากตะกร้าของจำปีมาผึ่งให้ติ้วดู “ลายนี้เฮ็ดยากหลายเด้อเอื้อย มีทั้งนาคใหญ่ นาคน้อย ลอยเล่นน้ำอยู่กลางลำโขงจ้า”

ติ้วมองลายผ้าซิ่นด้วยความสนใจ แต่พอพูดถึงลำน้ำโขง เธอกลับแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา “งามหลายจ้ะ ไว้เจอกันใหม่เด้อ เอื้อยมีแนวต้องไปแล้ว”

จำปีเห็นติ้วดูหน้าซีดๆ “ใบหน้าเอื้อยดูเหลืองๆ นะจ๊ะ เอื้อยเป็นหยังไป”

“บ่เป็นหยังจ้ะ” ติ้วส่ายหน้าปฏิเสธว่าเธอไม่เป็นอะไรก่อนหันไปบอกบัวเพียง “รีบเก็บผ้าเถอะ ผ้างามหลายแบบนี้ เดี๋ยวฝุ่นสิมาเกาะนะจ๊ะ”

หลังจากนั้นบัวเพียงก็พับผ้าซิ่นเข้าไปไว้ในตะกร้าตามเดิม แต่แล้วไม่นานคูนควบม้าผ่านมาเห็นพอดี จึงแวะเข้ามาพูดคุยด้วย โดยที่เขายังคงนั่งสง่างามอยู่บนหลังม้า

ติ้วจ้องมองคูนจนดวงตาแทบไม่กะพริบ เธอตกเข้าไปอยู่ในภวังค์แห่งความปรารถนาพ่อชายคนนี้เข้าเสียแล้ว ด้วยความอยากรู้ว่าเขาคือใคร จึงเอ่ยถามออกไป “พ่อชายรูปงามคนนี้ มีนามว่าหยังจ๊ะ”

คูนแปลกใจมาก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ติ้วชวนเขาพูดก่อน “นี่น้องติ้วจำอ้ายบ่ได้บ่”

จำปีกลั้นขำก่อนเงยหน้าขึ้นไปพูดกับคูน “อ้ายคูนจ๊ะ เอื้อยติ้วยังจำพวกข่อยบ่ได้เลยจ้ะ”

“แม่นอีหลีเด้ออ้าย ความจำเอื้อยติ้วยังบ่ทันฟื้นคืนมาเลยจ้ะ” บัวเพียงพูดเสริมเพื่อให้คูนเชื่อ

“หายไวๆ เด้อน้องติ้ว” คูนพูดกับติ้วเสร็จ เขาก็ยื่นมือลงไปหาจำปี “น้องจำปีจ๊ะ อ้ายเห็นต้นดอกจำปีแล้ว ขึ้นมาสิจ๊ะ เดี๋ยวอ้ายพาไปเก็บมาทัดผม”

“จ้ะอ้าย” จำปียื่นตะกร้าผ้าซิ่นให้บัวเพียงถือ “ฝากด้วยเด้อ ข่อยสิไปเก็บดอกจำปีกับอ้ายคูน”

บัวเพียงรับตะกร้าผ้ามาถือไว้ก่อนยิ้มให้อย่างรู้ใจ “เก็บเผื่อข่อยนำเด้อจำปี ข่อยกะอยากมีมีดอกไม้งามมาทัดผมคือกัน ถ้าสิเอาดอกบัวมาปักหัว ย่านคนเขาสิยกมือไหว้ ย้อนคิดว่าเป็นฮ้านพระ”

ติ้วยืนทำหน้างุนงงเมื่อเห็นจำปีถูกคูนดึงตัวขึ้นไปนั่งบนหลังม้า แถมมือของพ่อชายยังโอบกอดเอวของแม่หญิงด้วย สงสัยวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามคงจะเลือนหายไปแล้วแน่ๆ พอคูนควบม้าออกไปได้ไกลพอสมควร เธอก็อดคิดไม่ได้ที่จะถามบัวเพียง “เดี๋ยวนี้แม่หญิงกับพ่อชายแตะเนื้อต้องตัวกันด้วยเหรอจ๊ะ”

บัวเพียงยิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิใจที่จะได้เล่าให้ฟัง เพราะเธอเข้าใจว่าความจำของติ้วเสื่อมอยู่ “เอื้อย…จำปีกับอ้ายคูนเป็นคู่หมั้นคู่หมายกันจ้ะ หลังจากงานแห่พระข้ามโขงเสร็จสิ้นลง ทั้งสองคนกะสิแต่งงานกัน แล้วกะคงสิมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง เอื้อยคิดว่าจำปีมันโชคดีอยู่บ่…ที่ได้อ้ายคูนมาเป็นผัว ทั้งขี่ม้าเก่ง ฟันดาบเก่ง บ่ว่าสิทำอะไรอ้ายคูนกะเก่งหลายกว่าพ่อชายคนอื่นๆ มาก ข่อยล่ะออนซอนแทนมันหลายคักเด้อ”

“แล้วบัวเพียงล่ะ มีผัวแล้วบ่”

“บ่มี…ย้อนฮักเขาฝ่ายเดียว พ่อชายที่ข่อยมักมันตาบอด มองบ่เห็นความงามในตัวข่อย” บัวเพียงพ่นลมออกมาด้วยความสลดใจ “ข่อยคิดอยู่ว่าสิลงไม้ลงมือจัดการลากเอามาเฮ็ดผัวเลยดีบ่” เธอหัวเราะพร้อมกับส่ายหัวช้าๆ “แต่ข่อยกะเฮ็ดแบบนั้นบ่ได้หรอก คนงามๆ อย่างข่อยต้องงามด้วยความเด่นดี ต้องฮักศักดิ์ศรีของความเป็นแม่ย่าแม่หญิงจ้ะ”

“ชั่วคัก เป็นคนดีหลาย…กะไปออกบวชเสียเด้อ” ติ้วพูดขึ้นเสียงดัง จนบัวเพียงรู้สึกอึ้งเป็นครั้งแรก “เกิดมาเป็นแม่หญิงแล้ว อยากได้ใครเป็นผัวกะรีบไปมัดใจมัดกายเลย ขืนอ่อนแอชักช้าแบบนี้ หมามันคงคาบไปก่อน เดี๋ยวสิหาว่าเอื้อยคนนี้บ่เตือน”

พอติ้วพูดจบ เธอก็รีบเดินหน้าสำรวจหมู่บ้านต่อ ปล่อยให้บัวเพียงยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น หายอึ้งเมื่อไหร่คงจะเดินทางกลับเฮือนได้ ในขณะที่เธอเดินอยู่นั้น ในหัวของเธอก็เต็มไปด้วยภาพใบหน้าของคูน เธอคิดในใจว่า ‘กูต่างหากที่สิต้องได้แต่งงานกับอ้ายคูน’ จากนั้นเธอก็หัวเราะชอบใจกับตัวเอง

การรอดชีวิตกลับมาของติ้วครั้งนี้ ทุกอย่างของเธอดูผิดเพี้ยนจากเดิมไปมาก จากคนชักช้าอืดอาดกลายมาเป็นคนกระฉับกระเฉง อีกทั้งความทรงจำก็เสื่อม ไม่สามารถจดจำใครได้เลย ยังไม่รวมถึงพฤติกรรมที่แสดงออกมา มันไม่เหมือนเมื่อก่อนเลย เมื่อก่อนเธอก็ไม่ใช่คนที่เห็นพ่อชายรูปงามแล้วจะอยากได้มาครอบครองแบบนี้ แต่นี่ถึงขั้นคิดจะแย่งพ่อชายที่กำลังจะแต่งงาน สงสัยต้องมีอะไรบางอย่างในลำโขงเข้าไปกระทบกระแทกเข้ากับสมองของเธอเป็นแน่

 



Don`t copy text!