โหงลำโขง บทที่  10 : ก่อนฟ้าสาง (1)

โหงลำโขง บทที่ 10 : ก่อนฟ้าสาง (1)

โดย : ทศพล

Loading

โหงลำโขง โดย ทศพล กับเรื่องราวของ “คูน” ชายหนุ่มผู้อาภัพ บิดามารดาถูกฆาตกรรม เขาจึงเติบโตโดยการฟูมฟักจากแม่เฒ่าต้วน ผู้หวังว่าสักวันหนึ่งคูนจะกลับไปล้างแค้นให้กับบิดามารดา และทำให้ครอบครัวของฆาตกรนั้นอยู่อย่างตายทั้งเป็น หากแต่แผนการและหัวใจสวนทางกัน คูนจะทำอย่างไร นวนิยายคุณภาพที่อ่านเอานำมาให้คุณอ่านใน anowl.co

ผ้าดำโพกหัวทับด้วยกุบเสิก (1) สวมเสื้อดำบางแขนกุดไม่มีกระดุม นุ่งผ้าเตี่ยวรัดแน่นด้วยเชือกที่สะโพก สองมือเกี้ยวพันด้วยผ้าแดงก่ำ มีดาบคู่ลงมนตร์คาถาไขว้ขัดกันอยู่ทางด้านหลัง และรอบตัวเต็มไปด้วยลายยันต์ลงอาคมให้แคล้วคลาดจากภยันตราย นี่เป็นชุดออกรบของเหล่าบรรดาพ่อชายที่สวมใส่กันก่อนจะขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังม้าอย่างอาจหาญ

ท้าวคำมั่นขี่ม้าวนรอบกองกำลังเหล่านักรบบนหลังม้าจำนวน 60 คน โดยแบ่งออกเป็น 20 กอง กองละ 3 คน และทุกคนจะได้รับม้วนกระดาษที่เขียนเส้นทางที่กลุ่มตนต้องไป

ท้าวพาขี่ม้ามาใกล้ๆ ท้าวคำมั่น แล้วยื่นม้วนกระดาษหนึ่งแผ่นใหญ่ที่วาดเส้นทางทุกเส้นเอาไว้ในแผ่นเดียวให้ดู “แน่ใจเด้อว่าสิบ่ไปถล่มรังมันเลย ขืนยังปล่อยเอาไว้ กะมีแต่คอยรังควานเผ่าเฮาอยู่เรื่อย”

“สิถล่มตอนไหนกะได้ แต่ตอนนี้คนของเฮายังบ่พอที่สิไปถล่มถึงรังของพวกมัน” ท้าวคำมั่นปิดม้วนกระดาษออกมากวาดสายตาดูเส้นทางต่างๆ ที่ท้าวพาวาดขึ้นจากการนั่งทางใน “ครั้งนี้ช่วยคนของเฮาให้รอด สักมื้อหนึ่ง…กูสิพาไปถล่มรังมันเอง”

“เอาตามนั้นกะได้” ท้าวพาขี่ม้ากลับเข้าไปประจำกองตัวเองที่มีเก้ออยู่ร่วมกองด้วย

ท้าวคำมั่นขี่ม้ามาอยู่ด้านหน้าสุดของกองกำลังเหล่านักรบ เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่กลับมาเป็นปกติเช่นเคย แสงของพระจันทร์ที่นวลผ่องบนฟากฟ้า เป็นสัญญาณอันดีว่าการออกรบครั้งนี้จะมีชัยเหนือศัตรูแน่นอน และก่อนที่จะออกรบ เขาได้เอ่ยบางอย่างกับทุกคนว่า…

“ก่อนฟ้าสาง พวกเจ้าทั้งหลาย ต้องพาแม่หญิงทุกคนกลับมาให้รอดปลอดภัยกันทุกคน และอย่าปล่อยให้โจรชั่วพวกนั้นมีลมหายใจอยู่ร่วมโลกกับพวกเฮาอีกเป็นอันขาด”

เสียงเฮของเหล่านักรบดังกึกก้องทั่วฟ้าก่อนที่จะพากันควบม้ากระจายตัวออกไปตามเส้นทางบนแผนที่ของกองตัวเอง ในขณะเดียวกัน เหล่าบรรดาแม่หญิงที่ยืนอยู่ใต้ถุนเฮือน ต่างพากันสวดมนต์ภาวนาให้เหล่านักรบทั้งหมดมีชัยชนะและรอดชีวิตกลับมากันทุกคน

คูนปล่อยให้กลุ่มตัวเองออกตัวไปก่อน ส่วนเขากวาดสายตามองหาจำปาแต่ไม่เจอ เห็นแต่จำปีที่ยืนส่งยิ้มมาให้ เขาจึงส่งยิ้มตอบกลับไปก่อนที่ควบม้าตามคนอื่นๆ ออกไป

 

ป่าเขาลำเนาไพรช่างกว้างใหญ่ ทำให้การออกไล่ล่าในยามกลางคืนเป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่งนัก แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับนักรบบนหลังม้าชาวบ้านพาน พวกเขานั้นต่างเลื่องลือเรื่องการออกรบในความมืดมิด ราวกับมีตาทิพย์กันทั้งคนและม้าเลยทีเดียว

ตอนนี้กลุ่มโจรได้กระจายตัวออกไปคนละทิศละทาง แต่พวกมันมีปลายทางเดียวกันคือรังนอน ดังนั้น เหล่านักรบชาวบ้านพานต้องรีบไล่ล่าและช่วยแม่หญิงแต่ละคนให้ทันก่อนที่พวกมันจะไปถึงรัง

ท้าวพาควบม้าตามโจร 2 คนไปติดๆ ก่อนที่เขาจะส่งสัญญาณมือให้เก้อและพ่อชายอีกคนรีบควบม้าไปอีกทางเพื่อดักหน้าของพวกมัน มนตร์สะกดของพวกมันยังคงทำให้แม่หญิงทั้งสองคนยังหลับใหล โดยไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลย

เก้อและพ่อชายอีกคนดักทางไว้ได้ จนม้าของพวกมันตกใจกลัวยกขาหน้าขึ้นสูง ทำให้โจรและแม่หญิงไหลตกลงมากระแทกเข้ากับพื้นดิน

โจรแค่ 2 คน เก้อสามารถรับมือได้อย่างสบายมาก เขาได้ใช้กระบวนท่าของวิชาดาบอาทมาฏต่อสู้กับโจรจนเสียชีวิตลงไปในระยะเวลาอันรวดเร็ว

หลังจากจัดการกับโจรเสร็จ เขาตัดสินใจรีบวิ่งเข้าไปดูแม่หญิงคนที่นอนแน่นิ่งอยู่นั่น แล้วเรียกชื่อออกมา “บัวเพียง” เขานำบัวเพียงมาไว้ในอ้อมแขนก่อนพยายามปลุกเธอให้ตื่น แต่ไม่ได้ผลจึงหันไปหาพ่อที่กำลังปลุกแม่หญิงอีกคนอยู่ “พ่อ…เฮ็ดแนวใดต่อขอรับ นอนหลับบ่ตื่นเลย”

ท้าวพาใช้นิ้วหัวแม่มือกดลงไปที่กลางหน้าผากของแม่หญิงคนนั้น ไม่นานแม่หญิงคนดังกล่าวก็ลืมตาตื่นขึ้น มันได้ผลจึงหันไปบอกลูกชาย “ใช้นิ้วโป้งกดกลางหน้าผาก มนตร์กะสิคลายออกไปเอง”

เก้อทำตามที่พ่อบอก เขาใช้นิ้วหัวแม่มือกดลงไปตรงกลางหน้าผากของบัวเพียง หลังจากนั้นไม่นาน บัวเพียงก็ลืมตาตื่นขึ้นด้วยความงุนงง

“อ้ายเก้อ อ้ายมาเข้าฝันข่อยแม่นบ่” บัวเพียงยิ้มออกมาด้วยความสุขและกำลังคิดว่านี่คงเป็นความฝัน จึงรีบสวมกอดเก้ออย่างแนบแน่นพร้อมกับจูบปากหนึ่งที

เก้อผลักร่างของบัวเพียงออกให้ห่างตัว “บ่แม่นฝัน แต่มันคือเรื่องจริง น้องถูกโจรลักพาตัวมา” หัวใจของเก้อเต้นไม่เป็นจังหวะ ก่อนรีบลุกยืนขึ้นไปความมึนงงนิดหน่อย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกแม่หญิงจูบปาก

บัวเพียงหันมองดูรอบด้าน เห็นแต่ป่าและความมืด เธอหยิกแก้มตัวเองจนร้องโอ๊ยออกมา “นี่มันเป็นความจริงอีหลี บ่แม่นความฝันนี่นา”

ท้าวพาเห็นลูกชายตัวเองถูกแม่หญิงจูบปากเข้า ก็รีบลุกยืนขึ้นแล้วเดินไปหาม้าของตัวเอง “พวกมึงสองคนพาแม่หญิงกลับหมู่บ้านกันก่อนเด้อ ส่วนกูสิตามไปดูคนอื่นๆ ต่อ”

“ให้ข่อยนั่งม้ากับบัวเพียงนี่นะ” เก้อส่ายหัวปฏิเสธก่อนวิงวอนพ่อ “ให้ข่อยไปกับพ่อเด้อ ข่อยยังบ่อยากกลับตอนนี้”

“ฟังกูเด้อ มึงรีบพาบัวเพียงกลับเดี๋ยวนี้ ก่อนที่ยายของมันสิเป็นลมไปอีกรอบ” ท้าวพากระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังม้าของตัวเองก่อนชี้นิ้วไปที่ลูกชายและพ่อชายอีกคน “ห้ามขัดคำสั่งกูเด็ดขาด” หลังจากนั้นเขาก็ควบม้าออกไปทันที

เก้อถอนลมหายใจออกมาด้วยความสลดใจก่อนบ่นพึมพำเบาๆ “โชคชะตาหรือเวรกรรมกูน้อ”

“อ้ายเก้อ” บัวเพียงลุกยืนขึ้นก่อนค่อยๆ เดินเข้าไปยืนข้างหลังเก้อด้วยความดีใจที่จะได้อยู่ใกล้ชิดแบบตัวติดกันเป็นครั้งแรก “กลับหมู่บ้านกันเถอะอ้าย ป่านนี้ยายคงเป็นห่วงข่อยแล้ว ข่อยสัญญาว่าสินั่งนิ่งๆ ในอ้อมกอดของอ้ายเด้อ”

“สาธุ” เก้อสาวเท้าไปหาม้าของตัวเองก่อนกระโดดขึ้นไปนั่งด้วยใบหน้าอันบึ้งตึง “มา…ขึ้นมานั่งได้แล้ว” เขายื่นแขนออกไปให้บัวเพียงจับ แล้วดึงร่างของเธอขึ้นมานั่งบนหลังม้าด้วย

บัวเพียงลืมไปเลยว่าตัวเองถูกโจรจับตัวมา เธอมีความสุขมากที่ได้ตกมาอยู่ในสถานการณ์ไม่คาดฝันอย่างนี้ การได้มาอยู่ในอ้อมกอดของพ่อชายที่ตนรักมันรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเธอถึงเริงร่ามากกว่าทุกข์ใจ เพราะเก้อคือพ่อชายเพียงคนเดียวที่เธอแอบรักมาโดยตลอด ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้ว่าเก้อจะคิดกับเธอแค่น้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น

 

ใกล้รุ่งสาง

ตอนนี้เหล่าบรรดานักรบต่างช่วยเหลือแม่หญิงเอาไว้ได้ทันท่วงที เกือบทุกคนอยู่ในความปลอดภัยและเริ่มทยอยพาแม่หญิงควบม้ากลับหมู่บ้านกันทันทีที่ฆ่าโจรได้สำเร็จ

แต่ยังเหลือแม่หญิงอยู่คนหนึ่งที่เข้าช่วยเหลือได้ยากลำบากมาก ซึ่งคูนกำลังควบไอ้นวลในความเร็วที่เขาไม่เคยบังคับแบบนี้มาก่อน จนพ่อชายอีก 2 คนควบม้าวิ่งตามไม่ทัน

ไอ้นวลเป็นม้าที่รู้ใจเจ้านายไปเสียทุกเรื่อง มันไม่ย่อท้อที่จะตามม้าตัวข้างหน้าให้ทัน แม้จะเจออุปสรรคจำพวกท่อนไม้และเครือเถาวัลย์คอยขัดขวาง แต่มันก็สามารถกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางได้อย่างโฉบเฉี่ยวและสง่างาม เป็นที่น่าประหลาดใจมากที่ม้าสีดำตัวข้างหน้ามีความเร็วเหนือชั้นกว่ามาก ทั้งๆ ที่ชายชุดดำที่ควบม้าอยู่นั้นต้องประคองร่างของแม่หญิงอยู่ด้านหน้าด้วย แล้วไฉนถึงคล่องตัวในการหนีมากเช่นนี้

แสงของพระอาทิตย์เริ่มทอประกายขึ้นทางด้านทิศตะวันออก บริเวณโดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาจนแทบมองไม่เห็นลำน้ำโขง พอแสงสว่างเริ่มทอประกายชัดเจน คูนกลับมองไม่เห็นชายชุดดำที่กำลังไล่ล่า เขาจึงค่อยๆ ลดความเร็วของไอ้นวลลงก่อนมาหยุดนิ่งที่บริเวณลานกว้างของทุ่งหญ้า เพื่อตริตรองสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ว่าเกิดอะไรขึ้น

แต่แล้วชายชุดดำก็ปรากฏตัวขึ้นอยู่หน้าเขา ก่อนที่มันจะโยนร่างของแม่หญิงลงไปยังพื้นหญ้า แล้วควบม้าหนีกลับเข้าป่าไปทันที คูนกระโดดลงจากม้าแล้วรีบวิ่งไปดูแม่หญิงคนนั้นก่อนเผยให้เห็นว่าเป็น ‘ติ้ว’ ที่ยังคงนอนหลับใหลอยู่

“ติ้วตื่น” คูนสะกิดร่างของติ้วพร้อมกับตรวจดูลมหายใจแล้วพบว่ายังหายใจอยู่ จึงรู้สึกโล่งออกมา

จู่ๆ ชายชุดดำที่อำพรางตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าคนนั้นก็เดินถือดาบคู่ออกมาพร้อมกับพรรคพวกอีกราวสี่สิบกว่าคน ทุกอย่างเป็นแผนการของพวกโจรที่หลอกล่อให้คูนมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ตัวคนเดียว

คูนปล่อยให้ติ้วนอนหลับต่อไป เขาลุกยืนขึ้นพร้อมกับชักดาบคู่ออกมาอยู่ในท่ากุมหรือท่าสามขุม เพื่อตั้งรับกับศัตรูเบื้องหน้าโดยไม่มีท่าทีของความหวาดกลัว ก่อนสู่ด้วยกระบวนท่าแม่ไม้อีก 3 ท่า อันได้แก่ ท่าคลุมไตรภพ ตลบสิงขร และย้อนฟองสมุทร เขาจู่โจมชายชุดดำด้วยการมุ่งฟันข้อต่อของร่างกายด้วยความรวดเร็วและรุนแรง และตามด้วยการวาดดาบอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังโจมตีคู่ต่อสู้ด้วยลูกไม้ต่างๆ ที่เคยร่ำเรียนมา

ดูเหมือนว่าคูนเพียงคนคงต้องใช้เวลาปราบคู่ต่อสู้นานสักหน่อย แต่ยังไม่ทันจะท้อถอย เขาก็หันไปเห็นจำปาและต๋องในชุดนักรบ ทั้งสองคนต่างกระโดดลงจากหลังม้าก่อนรีบวิ่งเข้ามาช่วยคูนฟาดฟันกับชายชุดดำอย่างชำนาญ

คูนฟาดฟันคู่ต่อสู้ไปเรื่อยๆ ก่อนจะพยายามนำตัวเองเข้าไปใกล้จำปา “นี่น้องมาได้ยังไง”

“อย่าเพิ่งถาม รีบฆ่ามันก่อนที่มันสิฆ่าเฮา” จำปาสะบัดกุบเสิกพร้อมกับผ้าโพกออกจากหัว เผยให้เห็นเส้นผมยาวสลวยพลิ้วไสวไปตามความรวดเร็วของร่างกายที่ต่อสู้กับชายชุดดำ

“ได้เลย” คูนมีพลังกายและพลังใจเพิ่มขึ้นมาก เขาฟันคู่ต่อสู้โดยไม่ยั้งมือกันเลยทีเดียว จนจำนวนชายชุดดำลดจำนวนลงไปมากในระยะเวลาอันรวดเร็ว

ท้าวคำมั่น ท้าวพา และพ่อชายอีกจำนวนหนึ่งพากันควบม้ามาเห็นสถานการณ์เข้าพอดี ทั้งสองต่างตกใจมากเมื่อเห็นจำปาและต๋องกำลังใช้วิชาดาบอาทมาฏกำจัดคู่ต่อสู้ช่วยคูนอย่างคล่องแคล่ว จนพวกเขาไม่จำเป็นต้องเข้าไปช่วยก็ได้ เพราะชายชุดดำนับสามสิบคนนอนตายราบเป็นหน้ากลอง

ทุกคนต่างจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ทำให้ไม่ทันได้สังเกตว่าติ้วถูกชายชุดดำคนหนึ่งอุ้มขึ้นไปนั่งบนหลังม้าก่อนจะควบหนีออกไป คูนจัดการชายชุดดำคนสุดท้ายเสร็จพอดีก็เหลือบหันไปเห็นเข้า เขาจึงเป่าปากเสียงนกหวีดเรียกไอ้นวลออกมาก่อนที่จะกระโดดขึ้นไปนั่งแล้วควบตามต่อไปในทันที

จำปาและต๋องเก็บดาบเข้าในฝักก่อนพากันวิ่งไปเอาม้าของตัวเอง จำปาเหลือบหันไปเห็นท้าวคำมั่นและท้าวพาเข้าพอดี แต่เธอกลับไม่มีทีท่าตกใจเลยสักนิดก่อนรีบพาตัวเองขึ้นไปนั่งบนหลังของม้าแล้วควบตามคูนไป

 

เชิงอรรถ :

(1) กุบเสิก เป็นหมวกทรงกลมมียอดแหลม ใช้สำหรับใส่ออกรบของทหารโบราณทางล้านนา ล้านช้าง และไทใหญ่

 



Don`t copy text!