โหงลำโขง บทที่ 5 : แสกเต้นสาก (2)

โหงลำโขง บทที่ 5 : แสกเต้นสาก (2)

โดย : ทศพล

Loading

โหงลำโขง โดย ทศพล กับเรื่องราวของ “คูน” ชายหนุ่มผู้อาภัพ บิดามารดาถูกฆาตกรรม เขาจึงเติบโตโดยการฟูมฟักจากแม่เฒ่าต้วน ผู้หวังว่าสักวันหนึ่งคูนจะกลับไปล้างแค้นให้กับบิดามารดา และทำให้ครอบครัวของฆาตกรนั้นอยู่อย่างตายทั้งเป็น หากแต่แผนการและหัวใจสวนทางกัน คูนจะทำอย่างไร นวนิยายคุณภาพที่อ่านเอานำมาให้คุณอ่านใน anowl.co

3 ปีถัดมา ชาวบ้านร่วมกันจัดงานพิธีกินเตดเดนดังที่จัดในทุกปี

แม่จำปูนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่ชาวบ้านจัดเตรียมไว้ให้นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ คนตาบอดเช่นนางทำได้เพียงแค่นั่งฟังเสียงผู้คนรื่นเริงกับการแสดงแสกเต้นสาก

แม่เฒ่าต้วนเห็นแม่จำปูนนั่งอยู่เพียงลำพัง แม่เฒ่าจึงเดินชักไม้เท้าเข้าไปหาก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ข้างๆ พร้อมกับถอนลมหายใจออกมา

“แค่ลมหายใจ ข่อยกะฮู้แล้วว่าเป็นแม่เฒ่า” แม่จำปูนพูดขึ้นตามความรู้สึก “แม่เฒ่าอุตส่าห์มานั่งเป็นเพื่อน แทนที่สิไปรื่นรมย์คือคนอื่นๆ คงสิมีเรื่องหยังมาพูดแม่นบ่”

“สมกับเป็นแม่ใหญ่ของเฮาอีหลี แม่นแล้ว…ข้ามีเรื่องที่สิพูดอย่างที่แม่ใหญ่เข้าใจ” แม่เฒ่าพูดไปพร้อมกับมองดูจำปีและคูนที่กำลังเต้นสากอยู่เบื้องหน้าด้วยความสนุกสนาน “ลูกสาวฝาแฝดของแม่ใหญ่นี่ ยิ่งโตกะยิ่งงามหลาย โดยเฉพาะจำปี ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส งานบ้านงานเฮือนกะเก่ง เหมาะแก่การออกเรือนกับหลานชายของข้าหลายเด้อ”

“จำปีเพียบพร้อมทุกอย่างกะแม่นอยู่ แต่ผู้ที่สิมาเป็นสามีกะย่อมต้องเพียบพร้อมกว่า หวังว่าแม่เฒ่าคงเข้าใจ ลูกสาวของข่อยต้องแต่งงานกับคนที่คู่ควรเท่านั้น”

ในมุมมองของแม่จำปูนนั้น ผู้ที่จะมาแต่งงานกับลูกสาวของเธอ ต้องเป็นผู้ที่มีชนชั้นสูงขึ้นมาหน่อย ตั้งแต่ระดับเจ้าเมืองหรือบุตรชายเจ้าเมืองต่างๆ ไม่ใช่พ่อชายธรรมดาทั่วไป มิเช่นนั้นฐานะทางสังคมของลูกสาวอาจถูกกดให้ลดลงตามไปด้วย หากบุตรสาวระดับหัวหน้าชนเผ่าต้องไปแต่งงานกับคนที่มีระดับต่ำกว่า และถ้าเกิดขึ้นจริงคงได้เป็นเรื่องโจษขานกันเซ็งแซ่เป็นแน่

“แล้วไผล่ะสิคู่ควรกับจำปี ในชนเผ่าเฮานี้ ข้าคิดว่าหลานข้านี่ละเหมาะสมที่สุดแล้ว อีกอย่าง…ถ้าแม่ใหญ่ได้เห็นแววตาของจำปีและคูนที่มีให้กันนั้น สิฮู้ได้ทันทีว่าทั้งสองคนนั้น…ฮักกัน”

“น่าเสียดายที่ข่อยมองบ่เห็น เลยบ่เชื่อว่าสองคนนั้นฮักกัน…”

“แล้วถ้าข้าช่วยให้แม่ใหญ่กลับมามองเห็นได้ล่ะ” แม่เฒ่ารีบพูดสวนขึ้นทันใด ทั้งที่แม่จำปูนยังพูดไม่จบประโยค “แม่ใหญ่สิยอมให้จำปีกับคูนหลานข้า แต่งงานกันบ่”

แม่จำปูนหันหน้าไปหาแม่เฒ่าต้วนด้วยความประหลาดใจ แม้จะมองไม่เห็นก็รู้สึกได้ว่าแม่เฒ่านั่งอยู่ด้านซ้ายมือของเธอ “แม่เฒ่าช่วยได้ติ”

“ช่วยได้…แต่แม่ใหญ่ต้องยอมให้ลูกสาวแต่งงานกับหลานข้าเพียงผู้เดียว มันคือสิดีหลาย ถ้าแม่ใหญ่ได้กลับมามองเห็นอีกครั้ง สิบแปดปีที่แม่ใหญ่จมอยู่แต่ในความมืดมิด คงสิทุกข์ทรมานหลาย”

ความรู้สึกที่อยากจะกลับมามองเห็นอีกครั้ง มันคุกรุ่นอยู่ภายในใจของแม่จำปูนเป็นอย่างมาก แต่อีกใจหนึ่งกลับไม่เชื่อว่าแม่เฒ่าจะช่วยรักษาให้หายได้เลย เนื่องจากเธอนั้นได้ผ่านการรักษามาหลายวิธีทางแล้ว ก็ไม่เห็นจะได้ผลดีขึ้นมาเลย

“บ่มีทางหรอก” แม่จำปูนหัวเราะออกมาพร้อมส่ายหัว “ยังไงแม่เฒ่ากะรักษาดวงตาข่อยบ่ได้”

“ได้…ข้าสามารถรักษาให้แม่ใหญ่กลับมามองเห็นได้ภายในมื้ออื่นยังได้เลย” แม่เฒ่าต้วนลุกยืนขึ้นก่อนมองไปยังจำปีที่กำลังยืนหัวเราะอยู่กับคูนท่ามกลางชาวบ้านจำนวนมาก “ถ้าข้าเฮ็ดให้แม่ใหญ่กลับมามองเห็นบ่ได้ กะถือเสียว่าข้าบ่เคยมาเอ่ยขอลูกสาวของแม่ใหญ่…มาเป็นหลานสะใภ้กะแล้วกัน” เหลียวหน้าไปมองแม่จำปูน “ว่าอย่างไรล่ะ แม่ใหญ่เห็นนำกับข้าอยู่บ่”

“ได้…ข่อยตกลง” แม่จำปูนตอบกลับออกไปโดยไม่ไตร่ตรอง เพราะเธอไม่เชื่อว่าแม่เฒ่าจะรักษาคนตาบอดให้กลับมามองเห็นได้ อีกทั้งแม่ใหญ่ยังมีข้อแม้ตอบกลับไปเป็นการแลกเปลี่ยน “ถ้ารักษาบ่ได้ หลานของแม่เฒ่าต้องห้ามเข้าใกล้จำปีหรือจำปาเป็นอันขาด”

“ได้สิ…มองเห็นเมื่อไหร่ อย่าเฮ็ดเป็นลืมเรื่องงานแต่งงานไปก่อนกะแล้วกัน” สีหน้าและน้ำเสียงอันหนักแน่นของแม่เฒ่าต้วนดูแล้วช่างมั่นอกมั่นใจเหลือเกินว่าจะรักษาให้กลับมามองเห็นได้ “อีกสามมื้อ ข้าสิไปหาแม่ใหญ่ กินข้าวปลาอาหารให้เรียบร้อยเด้อ”

หลังจากนั้นแม่เฒ่าต้วนก็ค่อยๆ เดินจากไปก่อนสวนทางกับจำปาที่กำลังเดินกางร่มแดงตรงเข้ามาหาแม่ของเธอเพื่อพากลับเฮือน หางตาของแม่เฒ่าชายตาแลจำปาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นและไม่คิดที่จะหยุดสนทนาด้วย ไม่เหมือนกับจำปีที่แม่เฒ่าจะมักชวนพูดคุยและถามไถ่ทุกครั้งที่เจอกัน

จำปาได้แต่สงสัยในใจที่เห็นแม่ตัวเองพูดคุยกันกับแม่เฒ่าต้วนอยู่นาน แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามผู้เป็นแม่ เพราะเกรงว่าอาจจะโดนดุได้

“แม่จ๊ะ ได้เวลากลับเฮือนกันแล้วจ้ะ” จำปาช่วยประคองผู้เป็นแม่ลุกยืนขึ้น

“พิธีใกล้เสร็จแล้วเบาะ แล้วจำปีล่ะสิกลับเฮือนตอนไหน”

ใบหน้าของแม่จำปูนแสดงออกถึงความเป็นห่วงจำปีเป็นอย่างมาก จนจำปารู้สึกน้อยใจอยู่หน่อยๆ ที่แม่เอาแต่ถามถึงจำปีไม่คิดจะถามไถ่เรื่องของเธอบ้างเลย

“พิธีใกล้เสร็จแล้วจ้ะ ส่วนเอื้อยจำปีน่าสิรอเต้นสากอีกรอบ”

แม่จำปูนพยักหน้าเจ้าเข้าใจ “พอไปส่งแม่ที่เฮือนแล้ว ลูกช่วยย้อนกลับมาบอกพ่อด้วยว่า อย่ากลับเฮือนค่ำเป็นอันขาด แม่มีเรื่องสำคัญที่สิพูดนำ เข้าใจที่แม่บอกบ่”

“เข้าใจจ้ะ”

จำปาหันไปมองพ่อและท้าวพาที่กำลังนั่งพูดคุยกับคนสำคัญอยู่ในศาลาด้วยความเคร่งเครียด แม่ของเธอคงไม่อยากให้เข้าไปยุ่มย่าม จึงบอกให้เธอค่อยเดินย้อนกลับมาบอกอีกที เมื่อเธอกลับมาคงจะพูดคุยเสร็จและแยกย้ายกันแล้ว หลังจากนั้นเธอค่อยๆ ประคองผู้เป็นแม่กลับเฮือน นี่กลายเป็นหน้าที่ของเธอไปแล้วที่ต้องดูแลแม่อย่างใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลา แถมยังถูกใช้ให้ไปทำงานต่างๆ มากมายอยู่เรื่อย ซึ่งผิดแผกไปจากจำปีที่มักจะมีเวลาได้อยู่กับเพื่อนๆ และมีอิสรภาพมากกว่า ความรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมเช่นนี้ถูกสะสมเอาไว้มาเป็นระยะเวลานานหลายปี

 

คูนชำเลืองตามองไปยังจำปาที่กำลังประคองแขนแม่จำปูนกลับเฮือน จำปีเห็นการกระทำของคูนเข้า จึงคิดหาทางชักชวนคูนไปเต้นสากด้วยกันอีกรอบ

“อ้ายคูนจ๊ะ เฮาไปเต้นสากกันอีกรอบเถอะจ้ะ” จำปีออดอ้อนคูนด้วยน้ำเสียงแสนไพเราะ

“ได้สิจ๊ะ” คูนตอบกลับพร้อมคลี่ริมฝีปากยิ้มหวานชวนใจสั่น

หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เข้าไปเต้นสากด้วยกันอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางเสียงดนตรีขับขานประสานกับเสียงเชียร์ของผู้คนจำนวนมากที่พากันเอาใจช่วยไม่ให้พวกเขาถูกไม้สากมากระทบขาได้

 

พอกลับถึงเฮือน จำปาก็รีบพาแม่และตัวเองไปเปลี่ยนชุดในห้องนอนเป็นผ้าเบี่ยงสีขาวไม่มีลายและนุ่งผ้าซิ่นหมี่คั่น จากนั้นเธอก็พาผู้เป็นแม่ลงมานั่งบนแคร่ใต้ถุนเฮือน เพื่อพับดอกกุหลาบจากใบเตยต่อจากที่เหลือให้แล้วเสร็จ

หลังจากจัดท่าทางให้แม่นั่งพับเพียบได้อย่างสบาย จำปาจึงเอ่ยพูดขึ้น “เรียบร้อยแล้วจ้ะ งั้นข่อยรีบไปบอกพ่อให้รีบกลับเฮือนนะจ๊ะ”

“ดีจ้ะ ลูกกะรีบไปรีบกลับ เย็นนี้แม่อยากกินแกงสายบัวที่ป้าจำเนียนเอามาให้เมื่อวาน”

“ได้จ้ะ…งั้นระหว่างทางข่อยสิแวะไปเก็บยอดผักอีฮุมมาใส่แกงเด้อจ้า”

จำปูนพยักหน้ารับทราบก่อนคลำหาใบเตยมาพับเป็นดอกกุหลาบต่อให้แล้วเสร็จ

หลังจากนั้นจำปาก็รีบเดินขึ้นไปบนเฮือนเพื่อหยิบเอาตะกร้าหวายมาคล้องใส่แขนพร้อมกับหยิบร่มแดงขึ้นมากางก่อนก้าวเท้าลงจากเฮือนไปพบพ่อที่ศาลเจ้าโอ้งมู้ ส่วนรองเท้าที่เธอสวมใส่นั้นเป็นรองแตะสานหวายที่พ่อทำมาให้ใส่เพื่อสะดวกในการเดินไปมา ซึ่งโดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่ที่นี่มักจะเดินเท้าเปล่า

 

ขณะนี้ก็จวนจะเที่ยงแล้ว แดดแรงเช่นนี้จำปามักพกร่มติดตัวไว้ทุกครั้งที่ต้องออกจากเฮือน เพื่อรักษาผิวให้คงความขาวผ่อง

ถนนหนทางภายในหมู่บ้านส่วนมากเป็นดินดำที่ผ่านการเหยียบจนแน่นหนา สองข้างทางโอบล้อมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่เรียงรายอยู่เต็มข้างทาง พอที่จะให่ร่มเงาได้อยู่บ้าง

เมื่อจำปามาถึง พิธีกินเตดเดนก็เสร็จสิ้นแล้ว ชาวบ้านก็กำลังพากันแยกย้ายกลับเฮือน ภายในบริเวณศาลเจ้าโอ้งมู้คงเหลือเพียงท้าวคำมั่นและลูกน้องไม่กี่คนที่ต้องเก็บอุปกรณ์เต้นสากไปเก็บไว้ที่ศาลากลางบ้านให้เรียบร้อยก่อนถึงจะพากันกลับเฮือนไปพักผ่อนได้

จำปาพับเก็บร่มก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาท้าวคำมั่นที่กำลังยืนพูดคุยกับท้าวพาและพ่อชายแก่ๆ อีก 2 คน เธอไม่หันไปทักทายคูนและจำปีที่ยืนอยู่แถวนั้นเลยสักนิด เธอมักจะเย็นชาเช่นนี้เสมอมานานหลายปี จนคูนรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก

ทุกครั้งที่คูนจ้องจำปา จำปีมักแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา จนบัวเพียงที่ยืนอยู่ข้างๆ พลอยแสดงท่าทางไม่พอใจไปด้วย

 



Don`t copy text!