โหงลำโขง บทที่ 8 : พิธีล้างดวงตา (2)

โหงลำโขง บทที่ 8 : พิธีล้างดวงตา (2)

โดย : ทศพล

Loading

โหงลำโขง โดย ทศพล กับเรื่องราวของ “คูน” ชายหนุ่มผู้อาภัพ บิดามารดาถูกฆาตกรรม เขาจึงเติบโตโดยการฟูมฟักจากแม่เฒ่าต้วน ผู้หวังว่าสักวันหนึ่งคูนจะกลับไปล้างแค้นให้กับบิดามารดา และทำให้ครอบครัวของฆาตกรนั้นอยู่อย่างตายทั้งเป็น หากแต่แผนการและหัวใจสวนทางกัน คูนจะทำอย่างไร นวนิยายคุณภาพที่อ่านเอานำมาให้คุณอ่านใน anowl.co

แม่จำปูนยืนมองจำปีและจำปาตั้งแต่หัวจรดเท้า นี่เป็นครั้งแรกของผู้เป็นแม่ที่เห็นใบหน้าของลูกสาวฝาแฝดได้อย่างชัดเจน เธอแยกออกได้ทันทีว่าใครเป็นใครจากความรู้สึกที่คุ้นเคย เธอหันขึ้นไปมองใบหน้าของจำปี “จำปี…ลูกอ่อนหวานและใสซื่อ” เหลือบหันไปมองจำปา “จำปา…ลูกเข้มแข็งและหนักแน่น” เธอโอบกอดลูกสาวทั้งสองเอาไว้ก่อนที่จะหลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้ง “ลูกของแม่งามหลาย และเหมือนกันจนแทบแยกบ่ออกเลยอีหลี” หลังจากนั้นสามคนแม่ลูกก็พากันร้องออกมาด้วยความตื้นตันใจ

“จำปูน น้องเอื้อย” แม่จำเนียนลากแขนติ้วเข้าไปหาน้องสาวตัวเอง “ในที่สุดน้องสาวของเอื้อยกะกลับมามองเห็นอีกครั้ง” มือทั้งสองข้างของเธอประกบกันตรงหน้าอกด้วยความดีใจ “แม่เฒ่าเก่งหลายอีหลี”

แม่จำปูนหันหน้ามาส่งยิ้มให้ก่อนโอบกอดพี่สาวตัวเอง “เอื้อย…ข่อยมองเห็นเจ้าแล้วอีหลีแล้ว”

“ดีแล้ว เอื้อยบ่คิดเลยว่าสิมีมื้อนี้ได้เลยเด้อ” แม่จำเนียนดีใจมากจนหลั่งน้ำตาออกมา “ชีวิตต่อจากนี้ไป เอื้อยกะอยากเห็นน้องมีความสุขหลายขึ้นกว่าเก่า เวรกรรมของน้องคือสิได้ชดใช้ไปจนหมดสิ้นแล้วเด้อ”

“ขอบใจเอื้อยหลายเด้อที่ช่วยดูแลข่อยเป็นอย่างดี” แม่จำปูนดันตัวเองออกมา ก่อนเหลือบไปเห็นแม่หญิงและพ่อชายที่ยืนอยู่ข้างหลังพี่สาว “นั่นคือ ติ้วและต๋อง แม่นอยู่บ่” ติ้วและต๋องพยักหน้าและพากันส่งยิ้มให้กับน้า “ติ้วกะงามหลาย ต๋องกะรูปงาม นี่ลูกๆ ของเอื้อยหน้าตาดีคือพ่ออีหลีเด้อ”

“เหมือนแม่ด้วยจ้ะ” แม่จำเนียนเอานิ้วชี้เข้าหาตัวเองพร้อมหัวเราะกลบเกลื่อน “โดยเฉพาะลูกติ้ว คนงามของแม่”

หลังจากมองใบหน้าของคนในครอบครัวครบแล้ว แม่จำปูนก็เริ่มหันไปมองรอบๆ พร้อมกับเอ่ยชื่อพวกเขาออกมา “ท้าวพายังหนุ่มแน่นคือเก่า นี่คงเป็นเก้อ โตแล้วรูปงามแบบนี้นี่เอง ถัดมากะคือบัวเพียง ลูกสาวแม่อีกคน” ยกมือปาดน้ำตาด้วยความซาบซึ้งใจ “ที่ผ่านมาได้ยินแต่เสียงมาโดยตลอด บัดนี้ข่อยมองเห็นทุกคนแล้วเด้อ”

เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจของชาวบ้านดังขึ้นอีกครั้ง พวกเขาแต่ละคนต่างทยอยผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาคอยจับมือ เพื่อแสดงความยินดีกับแม่ใหญ่ของพวกเขา โดยเฉพาะเหล่าบรรดาคุณยายคนสนิทที่คอยแวะเวียนมาพูดคุยด้วยในยามดวงตามืดบอด

 

ผ่านไปนานพอสมควร แม่เฒ่าต้วนจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาท้าวคำมั่นและแม่จำปูน เพื่อที่จะพูดอะไรบางอย่าง ชาวบ้านต่างหลีกทางให้แม่เฒ่าเดินตรงเข้าไปหาอย่างง่ายดาย

“ข่อยขอบใจแม่เฒ่าหลายเด้อ” ท้าวคำมั่นพูดขึ้นพร้อมกับพนมมือไหว้ “แม่จำปูนกลับมามองเห็นได้อย่างปาฏิหาริย์แบบนี้ บ่ฮู้เลยว่าสิตอบแทนแม่เฒ่าด้วยสิ่งใด ถึงสิเพียงพอกับการรักษาในครั้งนี้ได้”

แม่จำปูนพนมมือขึ้นไหว้แม่เฒ่าด้วยความขอบคุณ “ขอบใจหลายๆ เด้อจ้า แม่เฒ่าเป็นเหมือนคนนำพาแสงสว่างมาให้ ข่อยบ่คิดเลยว่าสิได้กลับมองเห็นหน้าลูกสาวและทุกคนอีก มื้อนี้ช่างเป็นมื้อที่แสนวิเศษหลายอีหลี”

“ข้าช่วยแม่ใหญ่ให้กลับมามองเห็นได้สำเร็จแล้ว หวังว่าพ่อใหญ่และแม่ใหญ่ คงสิเฮ็ดตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้เด้อ” แม่เฒ่าหันขึ้นไปมองจำปีที่ยืนยิ้มจนแก้มแทบจะปริ “ข้าหวังว่าจำปีคงสิบ่รังเกียจอ้ายคูนหรอกเด้อ มาเป็นหลานสะใภ้ของข้า นี่คงเป็นโชคชะตาให้ทั้งสองคนได้เป็นคู่ชีวิตกัน”

ท้าวคำมั่นและแม่จำปูนพาต่างฝืนยิ้มออกมา พวกเขาพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ขืนตอบปฏิเสธออกไปตอนนี้ มีหวังชาวบ้านต้องตำหนิติเตียนพวกเขาอย่างแน่นอน

แม่จำปูนหันไปดูท่าทางของจำปี ดูเหมือนว่าลูกสาวคนนี้ไม่ได้มีทีท่าจะปฏิเสธแต่อย่างใด เธอจึงหันมาพูดกับแม่เฒ่า “แล้วคูนอยู่ไหนล่ะจ๊ะ ข่อยได้ยินแต่เสียง พอได้กลับมามองเห็นแล้ว กะอยากเห็นหน้าค่าตาของผู้ที่สิมาเป็นลูกเขย”

ชาวบ้านหลีกทางให้แม่จำปูนมองเห็นคูนที่ยืนข้างหลังสุด คูนค่อยๆ เดินเข้ามายืนข้างแม่เฒ่าต้วนก่อนที่เขาจะรีบยกมือขึ้นไหว้ว่าที่พ่อตาและแม่ยายเบื้องหน้า พอเห็นคูนแม่จำปูนจึงไม่แปลกใจเลย ว่าเพราะเหตุใดจำปีถึงไม่แสดงความขัดขืนที่จะได้แต่งงานกับพ่อชายคนนี้

เมื่อก่อนเธอได้ยินแค่เพียงว่า คูนเก่งกล้าสามารถด้านวิชาดาบอาทมาฏ แถมยังเคยช่วยจำปีให้รอดชีวิตจากโจรป่าเมื่อ 3 ปีก่อน พอได้มองเห็นรูปร่างและหน้าตาของเขาแล้ว นับได้ว่าคูนเป็นพ่อชายรูปงามคนหนึ่งที่น่าจะเป็นที่หมายปองของแม่หญิงหลายคนให้มาเป็นคู่ชีวิต แม้ว่าคูนจะเพียบพร้อมทุกอย่างแล้ว แต่ก็ยังไม่เหมาะสมที่จะมาเป็นเขยเฮือนนี้ได้อยู่ดี เพราะชาติกำเนิดของเขาที่เป็นเพียงพ่อชายธรรมดาที่ไม่อาจจะค้ำชูวงศ์ตระกูลและชนเผ่าให้อยู่รอดปลอดภัยได้

แม่เฒ่าต้วนรู้จุดอ่อนข้อนี้ดี ถึงต้องใช้วิธีการนี้เพื่อดักทางไม่ให้ท้าวคำมั่นและแม่จำปูนตอบปฏิเสธได้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามแผนการที่แม่เฒ่าวางไว้อย่างแม่นยำ โดยห้ามให้อีกฝ่ายจับพิรุธได้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นทุกอย่างที่วางแผนไว้ก่อนก้าวเท้ากลับเข้ามาในหมู่บ้านนี้จะสูญสิ้นทันที

“ในเมื่อแม่เฒ่ารักษาข่อยให้กลับมามองเห็นได้ ข่อยก็คงต้องยกลูกสาวให้ตามคำมั่นสัญญา” แม่จำปูนสูดลมหายใจเข้าพร้อมกับภาวนาให้จำปีตอบปฏิเสธออกมา เธอไม่คาดคิดว่าแม่เฒ่าจะรักษาได้จริง จึงไม่เตรียมคำพูดกับลูกสาวไว้เลย “คงต้องถามความสมัครใจของจำปีก่อน ข่อยบ่อยากขึ้นชื่อว่าขายลูกตัวเองกิน คนที่สิไปใช้ชีวิตร่วมกันให้มีความสุขต่อไปได้ อย่างน้อยกะต้องมีใจให้กันและกันบ้าง”

แม่เฒ่าต้วนพยักหน้าหนึ่งทีให้กับคูน เพื่อส่งสัญญาณ

“จำปีจ๊ะ” คูนพูดขึ้นทันทีเมื่อเห็นแม่เฒ่าพยักหน้ามา “จำปีพร้อมแต่งงานกับอ้ายบ่จ๊ะ”

เมื่อคูนเปล่งคำขอแต่งงานออกมา ชาวบ้านก็พากันส่งเสียงเชียร์ให้จำปีตอบตกลงกันเสียงดังสนั่น

จำปีรู้สึกเคอะเขินมากที่ต้องให้คำตอบต่อหน้าชาวบ้านจำนวนมาก ก่อนจะตอบออกไป เธออยากที่จะปรึกษาพ่อแม่ก่อน แต่เมื่อหันไปหาพ่อแม่แล้ว เห็นสีหน้าของพวกเขาที่แลดูไม่ค่อยยินดีสักเท่าไรนัก ทำให้เธอเกิดความกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมาก แต่หัวใจมันเรียกร้องว่าอยากจะครองคู่กับพ่อชายคนนี้ เธอจึงตัดสินใจตอบตามเสียงของหัวใจตัวเองแม้จะขัดใจพ่อกับแม่ก็ตาม

“พร้อมจ้ะ”

เมื่อได้ยินคำตอบของจำปี ชาวบ้านต่างโห่ร้องแสดงความยินดีอย่างระเบ็งเซ็งแซ่ ทุกคนดีใจที่หมู่บ้านจะมีงานมงคลเกิดขึ้นและครั้งนี้คงเป็นงานที่จัดอย่างยิ่งใหญ่สมฐานะของลูกสาวหัวหน้าชนเผ่าแน่นอน

ท้าวคำมั่นและแม่จำปูนไม่คาดคิดว่าจำปีจะให้คำตอบเร็วขนาดนี้ อย่างน้อยขอเวลากลับไปคิดบ้างก็ยังดี แต่พวกเขาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ในตอนนี้ จึงทำได้เพียงแค่แสร้งยิ้มต่อหน้าทุกคนไปก่อน

จำปาไม่อาจทนฟังต่อไปได้ แม้ว่าปากจะเคยบอกกับคูนว่าไม่เคยรักเขาก็ตาม เธอใช้จังหวะที่ชาวบ้านกำลังกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ รีบก้าวถอยหลังเพื่อหนีออกไปให้ไกลจนกว่าจะไม่ได้ยินเสียงของชาวบ้านที่แห่ห้อมล้อมกันมายินดีกับว่าคู่แต่งงาน

ต๋องเข้าใจความรู้สึกของจำปาดีกว่าใคร เพราะเขาเป็นคนเดียวที่รับรู้ทุกเรื่องราวของจำปา จึงแอบเดินตามพี่สาวไปด้วยความเป็นห่วง

มันควรจะเป็นวันที่ดีมากๆ สำหรับครอบครัว เพราะแม่กลับมามองเห็นอีกครั้งและพี่สาวก็กำลังจะแต่งงานกับคนที่เธอรัก จำปาก็ควรที่จะยิ้มแย้มและมีความสุขถึงจะถูก ไม่ใช่มายืนโศกเศร้าอยู่ริมฝั่งลำน้ำโขงคนเดียวแบบนี้

ต๋องเห็นจำปายืนนิ่งไม่ขยับตัวอยู่นาน คงได้เวลาที่เขาควรที่จะเข้าไปพูดคุยกับพี่สาวสักหน่อย เผื่ออะไรหลายๆ อย่างที่มันถาโถมเข้ามาให้หัวจำปาจะเบาบางลงไปบ้าง

“เอื้อย…” ต๋องเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างๆ ก่อนเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “มายืนอยู่เฮ็ดหยังหม่องนี้ เดินมาตั้งไกล…คนเดียว”

“บ่มีหยังหรอก แค่รู้สึกเหนื่อยและอยากพักผ่อน” น้ำเสียงแสนบางเบาดังออกมาผ่านริมฝีปาก ในขณะที่สายตาก็จ้องมองสายน้ำที่กำลังไหลไปเรื่อยๆ

“นานๆ ทีสิได้ยินเอื้อยบ่นว่าเหนื่อย ตอนนี้น้าจำปูนกลับมามองเห็นอีกครั้งแล้ว บัดนี้เอื้อยกะสิมีอิสระหลายขึ้น อยากไปไสกะไป อยากเฮ็ดหยังกะเฮ็ด”

“นั่นสิ…อยากไปให้ไกล…ไกลจากหม่องนี้ได้ยิ่งดี”

“เอาละ อยากไปไสกะบอกบักต๋องคนนี้ได้เลย ว่าแต่สิเริ่มตรงไหนดีล่ะ” ต๋องหันขึ้นไปมองหน้าของจำปา ดูเหมือนว่าริมขอบตาของพี่สาวเริ่มจะร้อนผ่าว “ถ้าน้ำตามันช่วยให้เอื้อยรู้สึกดีขึ้น กะปล่อยมันออกมาเถิดเด้อ”

“เอื้อยบ่ได้เป็นหยัง”

“อีหลีเด้อ”

“อีหลี”

“งั้นเมือเฮือนกันเถอะนะ ออกมานานแล้ว เดี๋ยวทุกคนสิถามหา”

“กะได้” จำปาพยักหน้า น้ำตาที่กั้นไว้ก็ไหลพรากออกมาเป็นสาย ความรู้สึกย่ำแย่เช่นนี้คงมีเพียงเธอคนเดียวที่สัมผัสมันได้ มันเหมือนกับใครสักคนกำลังเอาดาบมาเสียบตรงกลางใจให้บอบช้ำจนไม่อาจที่จะเยียวยาได้ เธอนั่งทรุดลงกับพื้นหญ้าและภาวนาในใจให้ใครสักคนช่วยทำให้เธอหายไปจากโลกใบนี้จะได้ไหม เธอมีชีวิตต่อไปไม่ไหวจริงๆ

ต๋องไม่รู้จะช่วยปลอบใจพี่สาวอย่างไร เขาจึงทำได้แค่เพียงยืนอยู่ใกล้ๆ โดยไม่พูดอะไรและหวังว่าน้ำตาในครั้งนี้จะช่วยผ่อนคลายความทุกข์ที่อยู่ภายในใจพี่สาวให้หายไปได้

หรือนี่อาจเป็นบทลงโทษที่คนปากอย่างใจอย่างเช่นจำปาควรจะได้รับ เมื่อต้องเสียคนที่รักไปทั้งที่ใจมันยังรักมาก ความรู้สึกทั้งหมดที่มีมันเจ็บปวดและทรมานมาก จนนกบนฟ้ายังต้องร้องไห้ให้แก่เธอด้วยความเวทนา



Don`t copy text!