รักอันตรายหัวใจซ่อนคม บทที่ 1 : สาวน้อยผู้นำความเบิกบานในเดือนสาม

รักอันตรายหัวใจซ่อนคม บทที่ 1 : สาวน้อยผู้นำความเบิกบานในเดือนสาม

โดย : ปราณธร

Loading

รักอันตรายหัวใจซ่อนคม นวนิยายมาเฟียแนวหักเหลี่ยมเฉือนคมเรื่องล่าสุด โดย ปราณธร นักเขียนดาวรุ่งพุ่งแรงเจ้าของนวนิยาย Best seller หลายเรื่องที่นักอ่านชื่นชอบและได้รับการถ่ายทอดเป็นละครโทรทัศน์ยอดนิยม อ่านออนไลน์ เรื่องนี้ได้ที่ อ่านเอา…ที่นี่ ที่เดียว

**************************

– 1 –

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

หลังติดต่อกับลูกค้าคนสำคัญได้ตามที่นัดกันไว้ตั้งแต่ต้น อามันต์ตั้งใจจะไปพบเพื่อคุยเรื่องงานให้จบโดยเร็ว จะได้เดินทางข้ามประเทศไปยังจุดหมายต่อไป แต่เพราะคนที่สะกดรอยเขามาตั้งแต่ประเทศต้นทาง ไม่ยอมละความพยายามในการจะรู้ให้ได้ว่าเขามาติดต่อกับใครและจะไปที่ไหนต่อ อามันต์จึงต้องสะบัดอีกฝ่ายให้หลุดด้วยการเดินทางเลี่ยงซินจู่มาไทเป จากนั้นก็เข้ามาปะปนกับผู้คนในตลาดกลางคืนเหราเหอ

สภาวะโลกร้อนทำให้ปีนี้อากาศทั่วโลกแปรปรวน ไทเปหนาวกว่าค่าเฉลี่ยในปีที่ผ่านๆ มา เมื่อเช้าจู่ๆ อุณหภูมิก็ลดลงต่ำจนเหมือนหิมะจะตกให้ได้

ยิ่งมืด อากาศในตลาดไม่ไกลจากแม่น้ำยิ่งเย็น หายใจเบาๆ ก็ทำให้ความชื้นภายในร่างกายพุ่งออกมาปะทะกับอุณหภูมิและความชื้นภายนอก กลายเป็นไอใต้จมูกและปาก โชคดีที่วันนี้วันหยุด ในตลาดจึงมีคนมากมายจนต้องเดินเบียดเสียดกัน เมื่อถูกล้อมด้วยผู้คนและขนาบด้วยร้านขายอาหารสองข้างทาง อามันต์จึงพอทนไหว

เขาขี้หนาว…โดยเฉพาะเวลาที่หัวใจเต้นช้าจากการใช้สมาธิจดจ่อกับเรื่องคอขาดบาดตาย เลือดในกายก็พลอยจะเย็นลงไปอีก

คนที่สะกดรอยตามเขามา คงเห็นว่าสบโอกาสเมื่อเขาตัดสินใจโง่ๆ เข้ามาในที่ที่มีคนจำนวนมาก จึงเร่งฝีเท้าเข้ามาใกล้ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่กระเป๋าโน้ตบุ๊กซึ่งเขาถือติดมือตั้งแต่ยังอยู่บนเครื่อง

ตอนที่ใกล้จะถึงทางแยกไปสะพานสายรุ้ง อามันต์เดินเข้าไปบริเวณหน้าร้านขายอาหารร้านหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดที่มีคนมุงกันหนาแน่น ทำให้ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขาลดลง

ฝ่ายนั้นสังเกตเห็นจึงฝ่าผู้คนมาถึงตัวเขาให้เร็วขึ้น ขาดอีกเพียงไม่กี่ก้าวจะถึงตัว อามันต์หันขวับกลับไปในจังหวะที่ฝ่ายนั้นเอื้อมมือมาหมายฉวยกระเป๋าที่เขาถือ ในขณะที่อีกมือมีมีดพับเล่มเล็กๆ ซึ่งตระเตรียมจะเสือกปลายแหลมคมเข้าสู่ร่างเขา

ตาสบกันแวบหนึ่ง อามันต์เบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อเอากระเป๋าที่ถืออยู่รับการแทง ก่อนจะสะบัดแท่งเหล็กเล็กๆ ที่กำอยู่ในมืออีกข้าง ให้มันยืดออกมายาวราวหนึ่งคืบ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่นักสะกดรอยโดนนักท่องเที่ยวชาวจีน ชนอย่างแรงจากด้านหลัง ทำให้เสียหลัก ผวามาข้างหน้า รับเหล็กแหลมในมืออามันต์เข้าไปในร่าง ใต้กระดูกซี่โครงซี่สุดท้ายพอดิบพอดี

อามันต์กดสลักเพื่อถอดด้ามจับเก็บกลับ แล้วรีบชักมือหนีก่อนที่เลือดจะพุ่งย้อนบาดแผลมาโดน จากนั้นก็ฉากหลบ แล้วก้าวไปยืนหน้ารถเข็นขายอาหารประเภทเนื้อซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด เพื่อจะสั่งของกินด้วยภาษาจีนกลางอย่างคล่องแคล่ว

ตอนนั้น นักสะกดรอยใกล้จะล้มแล้ว แต่มีคนมาช่วยพยุงไว้ เป็นชายรูปร่างสันทัดสองคน พวกเขาช่วยกันประคองนักสะกดรอยผู้นั้นให้เดินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะหายไปกลางฝูงชน

อามันต์ได้ของกินมาก็ถือมันเดินต่อไปตามทาง กระทั่งใกล้จะพ้นตลาด มีโทรศัพท์ติดต่อเข้ามา จึงกดรับมันที่อุปกรณ์ต่อพ่วงข้างหู

“เรียบร้อยแล้วครับ ลู”

“อือ”

อามันต์รับคำลูกน้องโดยไม่สงสัยความสามารถในการเก็บกวาดและหลบหนี โดยไม่ทิ้งตัวตนไว้ในความทรงจำของผู้คนหรือแม้แต่กล้องโทรทัศน์วงจรปิดเพื่อเป็นหลักฐานมัดตัว

ไม่แน่ว่าป่านนี้นักสะกดรอยที่ใครก็ไม่รู้ส่งมา อาจจะอยู่ตรงไหนสักจุด ในลักษณะที่คนอื่นคิดว่านั่งพักเหนื่อย กระทั่งเพิ่งมีคนสังเกตเห็นว่านั่นคือศพ

จัดการอุปสรรคน่ารำคาญได้แล้ว อามันต์โยนของกินในมือทิ้งลงถังขยะที่นานๆ จะเห็นสักถังหนึ่ง ตั้งใจจะโทร.หาลูกค้าเพื่อยืนยันเวลานัดหมายตามกำหนดเดิม แต่เดินพ้นทางเข้าออกตลาดฝั่งวัดซงซานได้หน่อยเดียว ก็มีเสียงทักขึ้นด้านหลัง

“คุณอาคะ”

 

ท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมามากมาย ในเมืองที่เขาแน่ใจว่าไม่มีคนรู้จัก น่าแปลกที่อามันต์มั่นใจว่าเสียงนั้นเรียกเขา

แวบแรก ชายหนุ่มคิดว่าศัตรูอาจจะไม่ได้ส่งนักสะกดรอยมาเพียงคนเดียวเหมือนที่เขากับลูกน้องเข้าใจเสียแล้ว ทว่าแวบถัดมา เมื่ออามันต์หันมาเห็นหน้าเธอแล้วจำได้ ความรู้สึกที่ระบุชื่อไม่ถูกก็แล่นปราดรวดเดียวจากหัวจรดเท้า

คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเป็นหญิงสาว ผมดำยาว โครงหน้ารูปไข่ค่อนไปทางเรียวรี คิ้วเข้มตาคม ผิวขาวจัดอมชมพู ยิ่งอากาศหนาวเย็นขนาดนี้ คนตรงหน้าก็ราวกับละอองหิมะแสนสะอาด ที่เพิ่งตกลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบน

อามันต์น่าจะจำเธอไม่ได้ เพราะการพบกันของเขาและเธอเมื่อสิบห้าปีก่อน ใช้เวลาเพียงสองถึงสามเดือน มิหนำซ้ำเธอยังเป็นแค่เด็กหญิง แต่เมื่อเร็วๆ นี้เขาเพิ่งรู้ว่าต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับคนใกล้ตัวเธอ เมื่อเขาสืบประวัติอย่างครอบคลุม เขาก็พลอยรู้ไปด้วยว่าเด็กหญิงในครั้งกระโน้น โตมาแล้วหน้าตาเป็นอย่างไร

ถึงอย่างนั้น ต่อให้เขาต้องเดินทางกลับประเทศไทยในรอบเกือบยี่สิบปี เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องเจอเธอแม้แต่น้อย นึกไม่ถึงว่าไม่เจอกันที่ไทย กลับมาเจอกันที่นี่

เขามองหน้าเธอโดยไม่พูดอะไรครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ต่ำระดับเสียงเบส ท้ายเสียงมีกังวานกระจายออกนิดๆ ไม่ต่ำแล้วหุบหายไปทันที คู่สนทนาจึงได้ยินทุกคำพูดชัดเจน

“คุณเรียกผมหรือครับ”

“ใช่ค่ะ” หญิงสาวรับคำอย่างมั่นใจยิ่งขึ้นเมื่อได้ฟังเสียง “แต่อย่าเข้าใจผิดว่ามีนมาจีบคุณนะคะ เพราะที่จริงเราเคยรู้จักกัน”

“…หรือครับ”

“สิบกว่าปีก่อนได้แล้วมั้งคะ จำได้ไหม”

หญิงสาวกำลังมองเขาตรงๆ ด้วยดวงตาคมมีประกายคาดหวังอย่างเปิดเผย กับริมฝีปากทาสีแดงซึ่งกำลังกลั้นยิ้ม แต่อามันต์ทำได้เพียงปฏิเสธ

“ขอโทษจริงๆ ครับ ผมจำไม่ได้เลย”

“ก็ว่าอย่างนั้นแหละค่ะ” อีกฝ่ายหัวเราะขำตัวเองเสียอย่างนั้น “งั้นถ้ามีนบอกว่า มีนคือกามเทพเดือนสามล่ะคะ คุณอาจำได้หรือยัง”

ก่อนเขาจะได้ยืนยันคำตอบเดิมของตน ก็มีโทรศัพท์จากลูกค้าคนสำคัญ

อามันต์ยกมือขอโทษเธอแล้วกดรับสายจากอุปกรณ์ที่ต่อพ่วงอยู่ตรงหู

คู่สายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเร่งร้อนและเสียงหอบน้อยๆ

“มิสเตอร์ ผมขอเลื่อนเวลานัดหมายออกไปอีกนิด ตอนนี้ผมกับฟาร่ากำลังโดนฝ่ายตรงข้ามสะกดรอยตาม ผมจะพยายามสลัดเขาให้หลุด แล้วผมจะติดต่อไปอีกที ยังไงเราก็ต้องเจอกันให้ได้ การเจรจาซื้อขายจะต้องเกิดขึ้น”

ตลอดบทสนทนานั้น อามันต์รับฟังด้วยสีหน้านิ่งเฉย พออีกฝ่ายพูดจบ เขาก็แค่ตอบไปเบาๆ ว่า “ครับ” โดยไม่แสดงท่าทีว่าหงุดหงิดหรือหัวเสีย เนื่องจากมันไม่ใช่เรื่องแปลก หากจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันระหว่างเจรจาธุรกิจประเภทนี้

ความเสี่ยงก่อให้เกิดปัญหาขึ้นได้ทุกวินาที สิ่งที่เขากับคู่ค้าต้องทำคือ ต่างฝ่ายต่างจัดการปัญหาของตนแล้วมาพบกัน

ตอนนี้อามันต์มีปัญหาเล็กน้อยกับการต้องเสียเวลาอยู่ในไต้หวันนานขึ้น โดยไม่แน่ใจว่าจะยืดเยื้อไปจนพลาดเที่ยวบินเช้าพรุ่งนี้ตามที่ได้แจ้งไว้ตอนเข้าประเทศหรือไม่ เพราะหากตำรวจพบศพนักสะกดรอย พวกนั้นก็จะลงมือควานหาตัวคนร้ายโดยไม่ทอดเวลาไว้ให้ฆาตกรมีโอกาสหลบหนี

เขาอาจจะไว้ใจลูกน้อง แต่การปล่อยให้ชีวิตขึ้นอยู่กับคนอื่นไม่ใช่ทางเลือกที่ถูก อามันต์จึงประเมินสถานการณ์ใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อหาทางรับมือ ไม่ให้ผู้อื่นคิดว่าการเตร่อยู่ในไต้หวันต่อโดยไร้เหตุจำเป็นกลายเป็นเรื่องน่าสงสัย

ครั้นแล้ว เขาก็พบทางออกที่ไม่อยากเลือกยืนอยู่ตรงหน้า

“กามเทพเดือนสาม?” ชายหนุ่มย้อนกลับมามองเธอแล้วทำหน้านึกเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะด้วยเสียงต่ำลึก “ไม่มั้ง”

“ไม่มั้งอะไรล่ะคะ พ่อกับแม่เคยบอกคุณอาไว้ว่ามีนเป็นผู้นำความเบิกบานมาให้ในเดือนสาม เลยมั่วเรียกมีนว่ากามเทพเดือนสามทั้งที่มันไม่ตรงความหมายเท่าไหร่ไงคะ จำได้ไหม บอกใบ้ขนาดนี้ จำไม่ได้ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วนะ” หญิงสาวพ้อและเกือบจะทำท่ากระเง้ากระงอดใส่เขา แต่ก็พลันจำได้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นเด็กหญิงแล้ว จึงระงับอาการไว้

“แล้วถ้าจำไม่ได้แล้ว จะว่ายังไงล่ะ” เขาเย้ากลับด้วยดวงตาดำโตมีประกาย “มีนจะจับอาถ่วงน้ำที่ท่าน้ำใกล้ศาลาวัดเลยไหม”

“คุณอา!” มัทมีนาร้องด้วยความดีใจ พร้อมทั้งกระโดดเข้ากอดเขาราวกับกระต่ายตัวน้อย

อามันต์ตกใจที่จู่ๆ เธอก็สวมกอดเขาอย่างนั้น แต่เขาก็ยังรับร่างแบบบางของเธอไว้โดยไม่ลังเล

ทั้งไออุ่น ทั้งกลิ่นหอมละมุน…และสัมผัสของเส้นผมนุ่มชื้นที่ปัดมาโดนผิวแก้ม ทำหัวใจของอามันต์เต้นระรัว

นานแล้ว ที่เขาไม่คิดจะใกล้ชิดผู้อื่น แต่อาจเพราะเขาเคยกอดเจ้ากามเทพเดือนสามตัวน้อยมาแล้ว ด้วยความรู้สึกที่อัดอั้นจนแทบกระอักเลือด เขาจึงค้นพบว่าเขาไม่กระอักกระอ่วนหรือรังเกียจอ้อมแขนของเธอ

“มีนดีใจจังเลยค่ะคุณอา นึกว่าชาตินี้คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว!”

มัทมีนาบอกเสียงใสแล้วกระโดดลงมายืนบนพื้นอีกครั้ง ก่อนจะมองเขาด้วยใบหน้าของหญิงสาวสวยคม ทาปากแดงเด่น แต่แววตาเป็นของเด็กหญิงตัวน้อยที่อามันต์มักจะเห็นเมื่อครั้งกระโน้น

“โอ๊ย โลกกลมมาก ไม่เจอที่ไทย มาเจอที่ไต้หวัน ไปไงมาไงคะเนี่ย แต่เดี๋ยวก่อนนะคะ เดี๋ยวค่อยบอกมีน ขอเวลาแป๊บนึง!” ว่าแล้วหญิงสาวก็หันขวับ

อามันต์รู้โดยสัญชาตญาณทันทีว่าเธอคงจะมีใครมาเป็นเพื่อน เพราะหญิงสาวในวัยสวยสมบูรณ์เต็มที่ คงไม่มาเดินเที่ยวต่างแดนตอนกลางคืนคนเดียว

เขาคว้าต้นแขนเธอ

“เดี๋ยว มีน”

“หา คะ?”

“จะไปไหน”

“บอกเพื่อนค่ะ มีนมากับพวกเพื่อนๆ เมื่อกี้ตอนเห็นคุณอาเดินผ่าน มีนรีบเดินตาม ยังไม่ทันบอกพวกเขาเลย”

อามันต์ชำเลืองไปยังทิศที่เธอตั้งใจจะไป เมื่อไม่เห็นใครกำลังมองมาทางเขากับเธอ เขาโล่งอก

“โทร.บอกได้ไหม แล้วมีนไปกินข้าวกับอาสองคน เดี๋ยวอาเลี้ยงเอง”

มัทมีนามองเขาด้วยความแปลกใจเล็กน้อย เพราะนึกไม่ถึงว่าเขาจะเป็นฝ่ายชักชวน

ในอดีต แม้เธอกับเขาจะเรียกได้ว่าก้าวผ่านเสี้ยวเวลาแห่งความเป็นความตายมาด้วยกัน แต่มันคงไม่น่าประทับใจนัก เพราะหลังจากนั้น เขาก็ไม่อยากให้เธอเข้าใกล้ คอยผลักไส ทำท่ารำคาญ เธอจึงคิดว่าเขาจะเพียงแค่ทักทายเธอแล้วไปตามทางของเขา

ไม่ลา ไม่บอก…

อย่างที่ทำมาแล้วเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน

“คุณอาอยากเลี้ยงข้าวมีนจริงหรือคะ”

“ทำไมจะไม่ล่ะ” เขาทำหน้างง “เจอกันทั้งที อาก็อยากถามสารทุกข์สุกดิบบ้างไม่ใช่เหรอ”

มัทมีนาจะไม่บอกเขาว่าทำไมจึงแปลกใจ เพราะในวินาทีที่เธอเห็นอามันต์เดินเข้ามาในระยะสายตา เธอไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่าจะตามเขามาเพื่ออะไร

ท่ามกลางผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปมาบนท้องถนน กลางแสงไฟวิบวับของเมืองหลวง หนาวเหน็บ ไม่คุ้น มัทมีนาแค่เห็นเขาเดินผ่านไปเช่นเดียวกับคนอื่นๆ แต่สำหรับเธอแล้ว…เขาแตกต่างจากคนอีกนับล้านที่อยู่รอบตัว

บนโครงหน้ารูปไข่ โหนกแก้มสูงเล็กน้อย มีดวงตาค่อนข้างโตสำหรับผู้ชายอยู่ใต้คิ้วเข้มหนา เมื่อรวมเข้ากับจมูกโด่งมน ริมฝีปากบาง จึงทำให้เขาดูสวยในบางมุม

สูง สมส่วน…

มันไม่น่าแปลกใจหรอกหรือ…สำหรับคนที่ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่คนในครอบครัว แต่เพียงแค่เห็นเขาเดินอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย มัทมีนายังหาเขาพบ…

มันไม่น่าแปลกใจหรอกหรือ…หรือความจริงแล้ว มันไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนที่มัทมีนาไม่เคยลืม…

“ก็ได้ค่ะคุณอา”



Don`t copy text!