รักอันตรายหัวใจซ่อนคม บทที่ 2 : สิบห้าปีที่ไม่เจอกัน

รักอันตรายหัวใจซ่อนคม บทที่ 2 : สิบห้าปีที่ไม่เจอกัน

โดย : ปราณธร

Loading

รักอันตรายหัวใจซ่อนคม นวนิยายมาเฟียแนวหักเหลี่ยมเฉือนคมเรื่องล่าสุด โดย ปราณธร นักเขียนดาวรุ่งพุ่งแรงเจ้าของนวนิยาย Best seller หลายเรื่องที่นักอ่านชื่นชอบและได้รับการถ่ายทอดเป็นละครโทรทัศน์ยอดนิยม อ่านออนไลน์ เรื่องนี้ได้ที่ อ่านเอา…ที่นี่ ที่เดียว

**************************

– 2 –

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

การพบกันอีกครั้งในรอบสิบห้าปีระหว่างเธอกับเขาเมื่อคืน จะทำให้ความฝันที่เลือนหายไปจากมัทมีนา ย้อนกลับมาอีกหน

ในฝันนั้น รอบตัวของมัทมีนา ทศทิศ และเมษมารุตมีแต่ซากปรักหักพัง บางครั้งเมื่อมองไปกลางกลุ่มควันตลบอบอวล ก็จะเห็นร่างของเพื่อนๆ ในวัยเดียวกันนอนอยู่ในสภาพเลือดอาบไปทั้งตัว ล้วนเป็นเพื่อนที่เคยวิ่งเล่นด้วยกันในโรงเรียน เพื่อนที่เคยกินข้าวด้วยกันจนถึงเมื่อกลางวัน

เพื่อนคนที่รอดชีวิตในคราวเดียวกัน เดินมาล้มลงเลือดท่วมตัวอยู่บนพื้นใกล้ๆ มัทมีนาอยากเข้าไปช่วย แต่เธอกับทศทิศและเมษมารุต ถูกบีบติดอยู่ระหว่างซอกเก้าอี้ของรถบัสรับส่งนักเรียนที่ประสบอุบัติเหตุชนกับรถกระบะผ่าไฟแดง

นับตั้งแต่วินาทีที่รถประสบอุบัติเหตุ พวกผู้ใหญ่ที่เห็นเหตุการณ์ข้างนอกพากันส่งเสียงร้องตะโกนและตรงเข้ามาทุบรถ แต่เพราะรถบัสถูกชนกลางลำ หน้ารถกระบะอัดอยู่กับประตูขึ้นลง ทำให้ความช่วยเหลือเป็นไปอย่างยากลำบาก เนื่องจากพวกเขาต้องหาทางปีนเข้ามาในรถบัสทางหน้าต่าง

ไฟมาเร็วมาก…พริบตาเดียวก็โหมรถกระบะและรถบัส พวกผู้ใหญ่ค่อยๆ ถอยออกจากจุดเกิดเหตุ มัทมีนากับทศทิศและเมษมารุต พากันร้องไห้และตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครกล้าเสี่ยงเข้ามาช่วย

กลางควันหนาที่ทำให้แสบคอ กลางเปลวไฟร้อนที่ลามมาให้จะถึงตัว มีแต่เสียงร้องโหยหวนจากภายนอกเท่านั้น ที่บอกมัทมีนาว่าข้างนอกมีคน…แต่พวกเขาจะไม่เข้ามาช่วยเหลือพวกเธอ

น้ำตาไม่ได้ช่วยอะไร แต่มันก็รินไหลอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเรี่ยวแรงของเด็กๆ งวดลง ดวงตาใกล้ปิด…ยอมรับชะตากรรมว่าจะไม่สามารถลืมตาขึ้นมาเห็นพ่อ…แม่ และทุกคน

ตอนนั้น มีเสียงร้องโหยหวนเสียงหนึ่งดังขึ้น จากนั้นกระจกด้านหลังรถก็ถูกทุบจนระเบิด ควันไฟในรถพวยพุ่งออกไปทางนั้น ราวกับนักโทษที่เพิ่งเห็นอิสรภาพ ครั้นแล้วก็มีคนคนหนึ่งปีนเข้ามา

มัทมีนากับทศทิศเห็นผู้ชายคนหนึ่ง กระโดดลงมายืนจังก้าต่อหน้าพวกเธอด้วยแววตาเหมือนคนคลุ้มคลั่ง มีน้ำตาอาบหน้าเต็มไปหมด แต่เขา…เขาดีใจที่เห็นพวกเธอยังมีชีวิตอยู่…มัทมีนารู้

กลางเปลวไฟร้อนระอุรอบตัว ผู้ชายคนนั้นทั้งถีบทั้งงัด กระทั่งใช้ร่างกายตนต่างแม่แรง ถ่างเบาะนั่งที่เบียดติดกันจนหนีบเด็กๆ ไว้ถึงสามคน พอมีช่อง เขาก็บอกให้พวกเธอหนี

‘ปีนออกมา เร็ว!’

มัทมีนาตะกายออกมาพร้อมเพื่อนกับน้องชายของตน เมื่อพ้นออกมาได้แล้ว ผู้ชายคนนั้นก็คว้าเมษมารุตส่งให้หน่วยกู้ภัยที่ปีนเข้ามาทางช่องทางเดียวกับเขา ตามด้วยเด็กผู้ชายที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นรถใกล้เท้าของตน กระทั่งหน่วยกู้ภัยคนหนึ่งร้องขึ้นจากด้านนอก

‘ไม่ได้แล้ว ไปเร็ว!’

สิ้นเสียงตะโกน เขาก็หันกลับมาเหวี่ยงทศทิศขึ้นบ่า แล้วอุ้มเธอไว้ พากันหนีออกจากกองไฟ

หลังเหตุการณ์นั้น มัทมีนายังฝันถึงเรื่องนั้นบ่อยๆ ในลักษณะของฝันร้าย แต่เมื่อผ่านไปหลายปี เธอก็ไม่ได้ฝันถึงมันอีก เพิ่งกลับมาฝันอีกครั้งก็เมื่อได้พบเขาอีกครั้งเมื่อคืน เพียงแต่ในความรู้สึกของเธอ…การย้อนกลับไปสู่วันคืนเก่าๆ เหล่านั้นไม่น่ากลัวเหมือนเดิม เพราะมันคือสะพานที่เกิดขึ้นเพื่อเชื่อมเขากับเธอไว้ด้วยกัน

ต่อจากฝันนั้น มัทมีนาพลันระลึกถึงการเจอกันโดยบังเอิญที่ตลาดเหราเหอ ซึ่งมันทำให้เธอยิ้ม แทนที่จะประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ในความเลวร้ายที่เคยเผชิญ โดยเฉพาะหลังตกลงรับปากว่าจะให้เขาเลี้ยงข้าวหนึ่งมื้อ แล้วนักท่องเที่ยวชาวจีนก็ชนเธอ

‘ว้าย!’

กอดครั้งแรกในรอบสิบห้าปี เกิดขึ้นเพราะเธอยินดีจนลืมตัว ส่วนครั้งที่สอง เกิดขึ้นเพราะอุบัติเหตุ กระนั้นผู้ชายที่เคยอุ้มเธอออกจากกองไฟ ก็ยังคงยินดีจะปกป้องด้วยการรับคนที่โดนชนจนปลิวไว้ในอ้อมแขนตัวเอง

‘เป็นอะไรไหม’

หลังคำถาม มัทมีนาเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วก็ต้องแปลกใจกับความชิดใกล้

คงเพราะเมื่อก่อนเธอเป็นเด็กหญิงตัวน้อยๆ เวลาคุยกับคนตัวสูงอย่างเขา ต้องเงยหน้าขึ้นจนคอตั้งบ่า แต่ตอนนี้เธอโตแล้ว ระยะห่างระหว่างกันจึงหายไปมาก

‘เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะคุณอา มาเที่ยวอย่างนี้ มีนโดนชนจนชินแล้ว’ มัทมีนาพยุงตัวเองกลับมายืนตรงอีกครั้งด้วยความรู้สึกเหมือน…ประหม่า ‘…ตอนอยู่ไทย มีนก็โดนนักท่องเที่ยวจีนเดินชนบ่อยๆ เวลาไปเที่ยวข้างนอก’

‘โดนจนชินเลยเหรอ’

‘ค่ะ เดี๋ยวนี้เวลาเห็นก็เลยเกร็งไหล่ตั้งรับ’

‘ใครชนะ’

‘มีนสิคะ! แนะ พอคนที่ปลิวเป็นตัวเอง มาทำตาเขียวใส่เรา!’

หญิงสาวเล่าอย่างร่าเริง อามันต์หัวเราะเบาๆ และเสียงต่ำๆ ของเขาก็ทำเอาเธอสะท้านเล็กน้อย

เสียงของเขาเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่ทำให้เธอจำเขาได้แม่น เนื่องจากมันเป็นเสียงที่ต่ำมาก แต่กลับมีกังวานตอนท้าย ทำให้เสียงไม่ตกหายไปจากโสตประสาท เวลาฟังจึงยังได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ

เพียงแต่พอมาฟังตอนนี้ มัทมีนารู้สึกแปลกกว่าตอนฟังเมื่อตอนเป็นเด็ก

มันสะเทือนเข้ามาถึงสิ่งที่อยู่ข้างในอกของเธอ…

‘คุณอาจะเลี้ยงข้าวมีนที่ไหนคะ’

‘…มีนตั้งใจจะมาทำอะไรที่ตลาดล่ะ’

‘ก็มาหาอะไรกินค่ะ มีนกับพี่ๆ ในทีมเพิ่งบินกลับจากออสเตรเลียหลังเสร็จงาน เห็นว่าติดวันหยุดพอดี ก็เลยแวะไทเป พี่ๆ ที่ไปด้วยกันเขาอยากได้ขนมของกินในตลาดไปฝากทางบ้าน ส่วนมีนอยากได้น้ำหอมแบรนด์ใหม่ที่เพิ่งเปิดขายในห้างใกล้ๆ นี่’

‘น้ำหอม?’

‘ค่ะ น้ำหอม’ มัทมีนาพยักหน้ายิ้มๆ แกมงุนงง ‘มีนชอบกลิ่นที่ผู้เชี่ยวชาญท่านนี้ปรุงอยู่แล้ว พอเขาบอกว่าเป็นกลิ่นแบบเอเซียๆ เอ็กโซติก เปิดขายเฉพาะที่ไทเป มีนก็เลยอยากไปซื้อ คุณอาแปลกใจหรือคะ’

‘นิดหน่อย…แต่ก็คิดได้ว่าอ้อ มีนโตแล้วนี่นะ เป็นผู้หญิงสวยด้วย อาไม่ควรแปลกใจที่มีนจะชอบของพวกนี้’

มัทมีนารู้ว่าตัวเองเป็นคนน่ามอง ซึ่งนั่นเกิดเพราะความพยายามอย่างยิ่งยวด ไม่ใช่จู่ๆ ก็ได้มาโดยไม่ลงทุนหรือลงแรงอะไรเลย

มีคนชอบเธอมากมายหลายคน ทั้งผู้ชายผู้หญิง แต่ไม่เคยมีสักคนที่ทำให้หัวใจของมัทมีนาไหวโยนไปกับคำชม เท่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอ

‘มีนสวยจริงหรือคะ’

มัทมีนาเห็นเขาเลิกคิ้วดกหนาแต่เรียงตัวสวยมีระเบียบของตนขึ้นเล็กน้อย

‘ใช่’

เขาตอบอย่างซื่อตรงเสียจนเธอปั้นหน้าสวยต่อแทบไม่ไหว

‘ขอบคุณค่ะ แล้ว…อย่างนี้คุณอาจะเบื่อไหมคะ ผู้หญิงเอาแต่แต่งตัว’

‘มีนห่วงสวยตลอดเวลาหรือเปล่าล่ะ’

‘ไม่ค่ะ มีนมีงานมีการทำ เวลาทำงานบางทีก็มอมแมมกลับมาอีกต่างหาก’

‘ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เท่าไหร่หรอก ร้านน้ำหอมเขาเปิดถึงกี่โมงล่ะ เราไปซื้อก่อนก็ได้แล้วค่อยหาของว่างกินแถวนั้น’

‘ไม่กินที่ตลาดหรือคะ’

‘เดี๋ยวก็โดนชนอีกหรอก ไปเถอะ’

การตัดสินใจเป็นของผู้นำเสมอ กระนั้นมัทมีนาก็ไม่รังเกียจหากเขาจะนำเธอ เพราะอามันต์เคยพาเธอรอดปลอดภัยมาแล้วครั้งหนึ่ง

เวลาเกือบสามชั่วโมงที่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกัน มัทมีนารู้สึกเหมือนมันคือช่วงเวลาที่เธอรอคอย แต่ไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัส เพราะไม่เคยมีผู้ชายคนไหนที่เธอ…วางใจและไว้ใจได้ในเวลาอันสั้นเท่าอามันต์

ไม่เคยมีใครสักคน…ที่ทำให้เธอสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันอ่อนหวานนุ่มนวลขณะอยู่ด้วยกัน

ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ช่วยลบเลือนความรู้สึกกลางกองไฟในฝันได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะฉะนั้นเมื่อมัทมีนาตื่นขึ้นเช้าวันต่อมา ในห้องของโรงแรมที่พักในไทเป จึงไม่มีความประหวั่นพรั่นพรึงหลงเหลืออยู่ ตรงกันข้าม ยิ่งนึกถึง เธอยิ่งอยากต่อเวลาเหล่านั้นออกไปอีกให้นาน

หญิงสาวหันไปมองนาฬิกาตั้งโต๊ะ ครั้นเห็นว่าได้เวลาก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่เนื่องจากใช้เวลาแต่งตัวนานไปหน่อย พอลงมาข้างล่างจึงไม่ได้แวะที่ห้องอาหารเช้า

ระหว่างนั่งแท็กซี่ไปสนามบิน กรกานต์กับปรมัตถ์ เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ที่ไปทำงานออสเตรเลียและแวะไทเปด้วยกัน โทร.มาเรียก

“วู้ มานี ตื่นหรือยัง ทำไมวันนี้สาย”

“พี่ปุ้ย~” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงซุกซนเล็กน้อย “ตอนนี้มีนอยู่บนแท็กซี่ กำลังจะไปสนามบิน”

“เฮ้ย!” กรกานต์ผู้ดูแลและคอยสอนงานให้มัทมีนาตั้งแต่เธอเข้าไปทำงานในบริษัท อุทานอย่างไม่คิดจะเก็บอาการ “ไปสนามบินทำไมมานี้! เที่ยวบินเราบ่ายพรุ่งนี้นะ จำผิดหรือเปล่า!”

หญิงสาวหัวเราะคิกก่อนตอบรุ่นพี่ “ไม่ได้จำผิดค่ะพี่ มีนไม่ได้จะกลับ มีนแค่มาส่งเพื่อนขึ้นเครื่อง”

“แล้วไป…” อีกฝ่ายถอนใจ “เพื่อนที่บอกว่าเจอกันโดยบังเอิญเมื่อคืนน่ะเหรอ”

“ใช่ค่ะ เดี๋ยวสายๆ มีนก็กลับไปโรงแรมแล้วค่ะ รับรองทันโปรแกรมไปทัวร์ของเราต่อแน่”

“อือๆ หาข้าวกินด้วยล่ะ ก็ว่าทำไมวันนี้ตื่นสาย ปกตินอนดึกแค่ไหนก็ตื่นเร็ว ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ มีอะไรก็โทร.มาเรียก”

“ค่ะพี่”

มัทมีนารับคำแล้วเดินทางต่อ พอถึงสนามบิน ก็รีบไปยังจุดที่นัดไว้กับคนเมื่อคืน และก็เช่นเดิม…ท่ามกลางผู้คนเดินไปเดินมาพลุกพล่าน เธอยังพบเขายืนก้มหน้าอ่านหนังสือเล็กๆ ในมืออยู่มุมหนึ่ง ข้างกายคือกระเป๋าเดินทางใบเขื่อง

“คุณอาคะ” หญิงสาวส่งเสียงนำไปก่อนตัว ไม่ดังเท่าไร

อามันต์เงยหน้าขึ้นเห็นก็ยิ้มให้

“มาจริงๆ ด้วย”

“มาสิคะ รับปากแล้วนี่ ได้เที่ยวบินหรือยังคะ”

“ได้แล้ว อย่างที่อาบอกเมื่อคืนว่าไม่ต้องห่วง เพียงแต่…เหลือเวลาคุยอีกแค่ไม่ถึงสิบนาทีเอง”

“ไม่เป็นไรค่ะ มีนอยากมาส่ง เผื่อคุณอาจะเบี้ยวนัดมีนหลังจากนี้ด้วย ต้องมาเตือน”

“ไม่เบี้ยวหรอก” เขายืนยันแล้วยิ้มมากกว่าเมื่อครู่จนเห็นรอยย่นนิดๆ ที่หางตา

นั่นสินะ…ตอนเจอเขาครั้งแรก อามันต์ก็อยู่ในวัยยี่สิบต้นๆ แล้ว ผ่านไปสิบห้าปี ทุกอย่างย่อมต้องเปลี่ยน แต่ในสายตาของผู้หญิงที่พบเห็นผู้คนมาพอสมควร คุณอาของเธอนับว่ายังเป็นชายหนุ่มในวัยแข็งแรงสมบูรณ์…ที่สำคัญ หน้าตาดีมากด้วย

แม้จะไม่ผุดผ่องโดดเด่น ชนิดที่กวาดตามองแล้วต้องเห็น แต่โครงหน้าแบบนี้สำหรับเธอ เธอว่าสวย เหมือนที่คนตะวันตกบอกว่าแบบนี้สวยแบบเอเซียน คิ้วหนาแต่เรียงตัวเป็นระเบียบ จมูกโด่งตรง ริมฝีปากบางแต่ไม่บางเกินจนมองไม่เห็น โดยเฉพาะดวงตาที่พอมองตอนนี้ มัทมีนาค่อยพบว่าความจริงแล้วเขาเป็นผู้ชายที่ตาสวยมากคนหนึ่ง

ตาดำน่าจะโตกว่าคนอื่นนิดๆ ถึงได้ให้ความรู้สึกใสซื่อ มีประกายน้ำชุ่มฉ่ำ…แต่จะบอกว่าเหมือนตากวางก็ไม่ถึงขนาดนั้น เพราะขนตาไม่ยาวมาก แค่ดำหนา มองจากตรงไหนก็เห็นขนตาเป็นแพชัด

ถ้าเขาบอกว่าเธอเป็นคนสวย มัทมีนาบอกเลยว่าเธอเป็นคนสวยแบบที่สามารถหาดูได้ไม่ยาก แต่สำหรับอามันต์…เธอว่าเขาสวยกว่า เพราะเหมือนมีความลึกลับซ่อนอยู่

“มองอะไร”

เห็นเธอจ้องเขาไม่วางตา อามันต์ต้องถาม

“มองคนตาสวยค่ะ” เธอตอบตรงขนาดนั้น “เคยมีคนบอกแบบนี้ไหมคะ”

“มี”

“ใครคะ”

“คนที่โดนต่อยตาบวมไปหนึ่งข้าง”

มัทมีนาหัวเราะทันควัน “ใจร้ายจัง! เขาชมไหมคะคุณอา!”

“อาจจะมั้ง แต่อาไม่ชอบฟัง”

“แล้วมีนจะโดนต่อยไหมเนี่ย”

“ทำได้ที่ไหนกันล่ะ อย่างดีก็ใส่แว่น จะได้ไม่มายุ่งกับตาเรา”

ว่าแล้วอามันต์ก็หยิบแว่นกันแดดสีดำสนิทขึ้นมาสวมปิดบังดวงตา พอสวมแว่นแล้วบรรยากาศก็เปลี่ยนไปเป็นดุดัน ผิดไปเป็นคนละคน

มัทมีนาเห็นแล้วทำปากยื่นนิดๆ

“ไม่เห็นชอบเลย”

“เดี๋ยวก็ชิน”

“นึกถึงตอนคุณอาทำตาดุสมัยก่อน ตอนนั้นน่ากลัวมาก” หญิงสาวลากเสียงยืนยัน “เคยมีคนบอกไหมล่ะคะว่าเวลาคุณอาทำตาดุแล้วน่ากลัวจนขนหัวจะลุก”

“มี”

“ใครคะ”

“คนที่ได้ซองแดงจากอาเอาไปซื้อขนม”

มัทมีนาหัวเราะอีกรอบหนึ่ง เป็นเสียงหัวเราะที่เปิดเผย สดใส และร่าเริง จนอามันต์เห็นแล้วรู้สึกเหมือนโลกสว่างขึ้น พลอยยิ้มไปด้วย

“ต้องไปแล้วล่ะ”

คำลามาถึงในที่สุด แม้มัทมีนาจะรู้ว่าเดี๋ยวก็ได้เจอกันอีก แต่การต้องแยกกันทั้งๆ ยังอยากเห็น อยากคุยด้วย…มันก็เศร้าอยู่ดี

“ค่ะ ไว้เจอกันนะคะ หวังว่าคุณอาจะไม่เบี้ยวที่ได้รับปาก”

“ไม่หรอก ไปนะ”

“ลาก่อนค่ะ”

อามันต์พยักหน้าแล้วลากกระเป๋าเดินทางจากไป

การเจรจาธุรกิจประสบผลสำเร็จตามที่ควรจะเป็น และแม้อามันต์จะเดินทางออกจากไต้หวันได้ช้ากว่ากำหนดหนึ่งเที่ยวบิน แต่ก็ยังหลบพ้นความยุ่งยากที่รออยู่ไปได้อย่างฉิวเฉียด เนื่องจากศพถูกพบในวันรุ่งขึ้นช่วงสายๆ หลังเขาขึ้นเครื่องแล้วสามชั่วโมง นับว่าไม่เร็วเกินไปสำหรับบริเวณแหล่งท่องเที่ยว ที่มีหูตาตำรวจอยู่เต็มไปหมด

พอตำรวจไทเปเริ่มควานหาตัวผู้ก่อเหตุจากปากคำของพยานจำนวนมาก พวกเขาก็พุ่งเป้าไปที่ผู้ชายสองคนซึ่งอยู่ใกล้ผู้ตายเป็นคนสุดท้ายก่อนใครอื่น จากนั้นค่อยเป็นคนที่มีพิรุธ แต่การที่เขาไปไหนมาไหนกับมัทมีนาเมื่อคืน ซ้ำยังมาเจอกันอีกครั้งตอนเธอมาส่งเขาที่สนามบินในวันรุ่งขึ้น ทำให้บรรดาคนที่เห็นเขา รู้สึกในแวบแรกว่าเขาไม่น่าจะเกี่ยวด้วย ซึ่งนั่นคือการใส่ความทรงจำที่ชวนสับสนให้ผู้พบเห็น

แม้ภายหลัง ตำรวจจะได้หลักฐานเพิ่มเติมว่าเขาเข้าใกล้ผู้ตายจังหวะหนึ่ง ซ้ำยังไปนอกเส้นทางที่แจ้งไว้เสียไกล เขาก็ไม่อยู่ใกล้ให้เรียกตัวไปสอบปากคำได้โดยสะดวก ทั้งยังสามารถอ้างได้ด้วยว่า พบคนรู้จักโดยบังเอิญจึงไม่ได้เดินทางตามกำหนดเดิม ยิ่งถ้าตำรวจไม่มีหลักฐานแน่นหนาพอจะชี้ว่าใครสักคนเป็นผู้ร้ายแน่ๆ กฎหมายระหว่างประเทศก็จะช่วยคุ้มครองผู้ได้รับการกล่าวหาอย่างดีที่สุด

เมื่อไม่สามารถเอาผิดใครได้ มิหนำซ้ำผู้ตายเป็นคนต่างถิ่น ไม่มีญาติออกมาร้องทุกข์ คดีนี้ก็จะกลายเป็นอีกคดีที่ตำรวจขังลืมสำนวนไว้ในตู้ ทำให้อามันต์เดินทางสู่จุดหมายต่อไปอย่างราบรื่น…

เพื่อไปพบคนคนหนึ่งที่ประเทศไทย



Don`t copy text!