มหรสพเวรา บทที่ 1 : เรือนก้านมะลิ

มหรสพเวรา บทที่ 1 : เรือนก้านมะลิ

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้

“เรือนก้านมะลิหรือครับ…”

ทัพเที่ยงทวนชื่อนั้น ตาก็กวาดมองเรือนไม้สองชั้นสีเดียวกันกับชื่อ คิ้วบัวและครีบชายคาลายหยดน้ำถูกแดดเปลี่ยนจนสีที่เคยขาวเมื่อแรกกลายเป็นสีครีมขุ่นๆ มองเห็นคราบไคลของกาลเวลาแนบแน่นตามร่องไม้และลายฉลุ แต่ถึงกระนั้นเรือนขนมปังขิงสีเขียวก้านมะลิหลังนี้ก็ยังงดงาม

“เดี๋ยวผมจะเดินไปดูคุณหญิงท่านว่าตื่นจากเอนหลังหรือยัง คุณทัพเที่ยงเดินดูบ้านไปก่อน แล้วผมจะให้เด็กมาตาม” จักร ปิ่นพิมุกข์ หลานชายเจ้าของบ้านว่า เขาเป็นชายผิวขาวหน้าอ่อนเยาว์ร่างสันทัด นอกจากจะมีกล้องคล้องคอเหมือนเครื่องประดับประจำตัวแล้ว เขายังมีหนวดงามที่ขริบอย่างประณีตอยู่เหนือริมฝีปากคล้ำ ซึ่งน่าจะเกิดจากการที่เขาสูบกล้องยามากเกินไป

ทัพเที่ยงยิ้มรับ ดูจักรเคาะกล้องยาสูบกับรั้วไม้ที่เขายืนอิงอยู่ เมื่อเสร็จกิจชายหนุ่มผิวสะอาดก็หมุนตัวเดินออกไปตามทางเดินโรยกรวด

จักร ปิ่นพิมุกข์ เป็นคนน่ามอง ทั้งใบหน้าและการแต่งตัวของเขาดูพอเหมาะพอเจาะ เมื่อเทียบกับทัพเที่ยงแล้ว นักเรียนนอกอย่างจักรหล่อเหลาเหมือนพระลอจากฮอลลีวูด ส่วนทัพเที่ยงนั้น ถ้ายักษ์วัดแจ้งเป็นพระเอกได้ เขาก็คงจะเป็นอะไรที่คล้ายๆ กันอย่างนั้น อย่างไรก็ตามทั้งสองถูกชะตากัน อันเกี่ยวเนื่องมาจากการศึกษาและสถานภาพ ทัพเที่ยงเด็กริมคลองเจดีย์บูชาจึงมีโอกาสได้มายืนอยู่ในบ้านคุณหญิงโชติกเสวก ผู้เป็นคุณหญิงป้าของจักรในเวลานี้

เมื่อมองส่งจักรจนลับหายไปหลังพุ่มต้นพุดแล้ว ทัพเที่ยงก็หันกลับมาที่ตัวบ้านอีกครั้ง คราวนี้ตาของเขาถูกดึงดูดด้วยประตูสีขาว มันลอยเด่นอยู่ท่ามกลางผนังสีเขียว ยามใบต้นจันข้างบ้านส่ายไหว แสงที่ลอดผ่านใบบังเห็นเป็นวงยิบๆ ยับๆ ทาบบนพื้นและผนังจนเกิดความงามประหลาด

ทัพเที่ยงเปิดประตูรั้วเตี้ยเทียมเอว หยุดสูดหายใจครู่หนึ่งเมื่อได้กลิ่นหอมอมเปรี้ยวเหมือนกลิ่นน้ำผึ้งป่า เขามองหาที่มาของกลิ่น ก็พบซุ้มสายน้ำผึ้งแกว่งดอกไหวๆ อยู่ทางซ้ายมือ เขายิ้มให้มันแล้วก้าวต่อไปจนถึงบันไดเรือน

บันไดไม้สามขั้นแน่นหนายาวตลอดช่วงเสา ขอบบันไดวางกระถางต้นไม้ที่เหลือเพียงดินและกอหญ้าแห้ง ทัพเที่ยงก้าวผ่านมันขึ้นไปยังประตูสีขาว ลูกบิดทองเหลืองเชิญชวนให้เปิด แม้ใจเขาจะคิดว่ามันน่าจะล็อกเอาไว้ แต่เขาก็อดทดลองหมุนมันไม่ได้

แอ๊ด…เสียงบานพับฟ้องความเก่าฝืดจากการไม่ได้ใช้งาน ประตูไม่ได้ล็อก!

หรือมันจะเป็นเพียงบ้านว่างเปล่า ทัพเที่ยงคิดแล้วก้าวข้ามธรณีประตู แต่แล้วเขาก็รู้ว่าตัวเองเดาผิด เมื่อเห็นเงาสูงๆ ต่ำๆ อย่างน่าขนลุกกระจายตัวอยู่ในห้องมืดสลัวห้องนั้น

ทัพเที่ยงกวาดตามอง ก็พบว่ารูปเงาประหลาดคือเครื่องเรือนใต้ผืนผ้าดิบ สิ่งเดียวที่ยังคงเป็นอิสระคือนาฬิกาแมงดาเรือนหนึ่งบนผนัง กระนั้นลูกตุ้มของมันก็หยุดนิ่ง ราวกับจะบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังหลับใหลอยู่ในเรือนหลังนี้

“คุณทัพเที่ยงคะ คุณทัพเที่ยง” เสียงเรียกแจ๋วๆ ดังมาจากด้านนอก ชายหนุ่มถอยหลัง ปิดประตูเรือนก้านมะลิเอาไว้ตามเดิม

พลันร่างร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเลือนรางตรงบันไดทางขึ้นชั้นสอง ก่อนลอยทะลุประตูออกมายืนมองเขาที่ก้าวลงบันไดบ้านไปตามเสียงเรียกของเด็กสาวนางนั้น

ร่างในชุดสไบเฉียงซวนเซ มองตามร่างสูงใหญ่เหมือนยักษ์วัดแจ้งของทัพเที่ยงไปด้วยสายตาละห้อย ราวกับว่าเธอหาสิ่งที่รอคอยมานานแสนนานนั้นพบแล้ว

 

“แน่ใจแล้วหรือพ่อ” คุณหญิงลำเจียกประมุขของบ้าน ‘โชติกเสวก’ ชันตัวจากการพิงหมอนขวาง ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

ตอนนี้พวกเขาอยู่ในห้องนั่งเล่น ผู้เป็นเจ้าของบ้านนั่งกึ่งนอนอยู่บนตั่งเตี้ยฝังมุก พื้นที่ลาดด้วยพรมเปอร์เซีย มีทัพเที่ยงและจักรพับเพียบอยู่ด้านหน้า ส่วนด้านข้างของคุณหญิงมีหญิงวัยเดียวกันร่างท้วมขาวนั่งกระพือพัดให้คุณหญิงและตัวเองอยู่

ทัพเที่ยงเคยคิดไปว่าคุณหญิงเจ้าของบ้านน่าจะมีท่าทีเจ้ายศเจ้าอย่างกว่านี้ แต่หญิงวัยสูงตรงหน้านอกจากจะเปี่ยมด้วยความเมตตาแล้ว เขาคิดว่าคุณหญิงออกจะแข็งแกร่งมั่นคงอยู่ไม่ใช่น้อย ถึงเสื้อผ้าของท่านและนางต้นห้องจะสวมใส่ตามรัฐนิยมของท่านผู้นำ แต่คุณหญิงคงจะนุ่งผ้าซิ่นของท่านตามแฟชั่นชาววัง ที่เปลี่ยนจากนุ่งโจงเป็นซิ่นมาตั้งแต่ครั้งพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ไม่ได้ทำตามนโยบาย ‘อย่าทำ-จงทำ’ ของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามแต่ประการใด

วัฒนธรรมของไทยที่ท่านผู้นำกำหนดนี้ มีหลายข้อที่สร้างความยุ่งยากใจให้ผู้สูงอายุ หนึ่งในนั้นคือการห้ามใส่ผ้าแถบและให้ใส่ผ้าซิ่นแทนนุ่งโจงกระเบน ซึ่งสุดท้ายแม้จะไม่สะดวกใจแต่ก็ยังพอฝืนใส่กันได้ มีสิ่งเดียวที่คนแก่ยังดื้อดึงและไม่อาจทำตามได้เลยคือการห้ามกินหมาก ดังนั้นคุณหญิงลำเจียกจึงยังคงมีฟันดำและมีเชี่ยนหมากเงินอันงามวางเอาไว้ใกล้ตัว

“แน่ใจสิขอรับ” จักรตอบคุณหญิงลำเจียกแทนทัพเที่ยง

ประมุขของบ้านหันไปสบตากับแม่เย็นนางต้นห้อง สีหน้ากระอักกระอ่วนของทั้งคู่ยากจะเดา จักรร้อนใจจึงชิงพูดต่อ

“คุณทัพเที่ยงสอนคณะอักษรศาสตร์ เรียนจบปริญญาตรีและโทที่คณะนั่นแหละขอรับ พื้นเพเป็นคนศาลายา ผมรับประกันได้ถึงนิสัยใจคอว่าจะไม่ทำให้คุณป้าขุ่นใจภายหลัง ถ้าคุณป้าจะกรุณา ผมก็อยากจะขอให้คุณทัพเที่ยงเขาย้ายเข้ามาอาทิตย์หน้าเลย”

ทัพเที่ยงมองจักรอย่างจะแย้ง เขาร้องเรียกจักรออกมาคำหนึ่ง แต่ชายหนุ่มผิวบางไม่สนใจฟัง เป็นคุณหญิงลำเจียกเสียเองที่ต้องส่งเสียงปราม

“พ่อจักร ให้คุณทัพเที่ยงเขาพูด เราพูดเองแบบนี้มันเหมือนมัดมือชก บ้านเก่าคร่ำรกเรื้อแบบนั้น แล้วก็ต้องอยู่ร่วมรั้วกับคนแก่ ป้ากลัวแต่ว่าหนุ่มๆ สาวๆ สังคมสมัยนี้จะไม่สะดวกใจ ว่าไงพ่อคุณ” คุณหญิงลำเจียกหันไปถาม ทัพเที่ยงตอบอย่างสุภาพว่า เขาพอใจเรือนก้านมะลิหลังนั้นมาก และเรียนคุณหญิงลำเจียกอย่างตรงไปตรงมาว่า เขาจะสะดวกย้ายเข้ามาอยู่ในอีกหนึ่งถึงสองเดือนข้างหน้า ถ้าคุณหญิงจะกรุณารอ

“ขอโทษเถอะนะ” คุณหญิงลำเจียกออกตัว “ทนายหน้าหอคุณมาบอกฉันแล้วว่าคุณจะรอขายที่ดินที่ศาลายาเสียก่อน ถ้าสะดวกใจที่จะมาอยู่ก็ย้ายเข้ามาเถอะพ่อ เรื่องมัดจำไม่ต้องดอก พ่อจักรเขาเอาศีรษะเขาเป็นประกันเอาไว้แล้ว”

“ขอรับคุณหญิง”

ทัพเที่ยงพนมมือไหว้ คุณหญิงลำเจียกพยักหน้ามองท่าทางอ่อนน้อมของชายหนุ่มด้วยความพอใจ ก่อนจะพูดเสียงแปร่ง

“เพียงแต่…ฉันจะต้องเล่าเรื่องเรือนหลังนั้นให้ฟังเสียก่อน ไม่อย่างนั้นจะมาว่าฉันลวงเอาทีหลังได้”

“มีอะไรหรือครับคุณป้า” จักรเป็นผู้ถาม คุณหญิงลำเจียกมีสีหน้าอึดอัดพลางมองนางต้นห้อง ท่านพยักพเยิดให้คนสนิทวัยเดียวกันเป็นผู้เล่าแทน แม่เย็นพยักหน้ารับแล้วก็พูดออกมาอย่างยากเย็น

“คือ…อ่า…คือ…วันดีคืนดีก็มีคนเห็นผู้หญิงเดินเล่นอยู่แถวบ้านนั้นน่ะค่ะ”

“ผีน่ะเหรอ”

“ไฮ้…คุณจักร เขาไม่ให้ทักแบบนั้น” แม่เย็นยกมือตีอากาศ

จักรหัวเราะ “เรือนรับรองนั่น ปลูกเอาใหม่ตอนฉันยังเด็ก ไม่ใช่เรือนเก่าเรือนแก่เสียหน่อย”

“แต่ไม้ที่สร้างบ้าน” แม่เย็นยื่นหน้าเน้นเสียงอย่างสลักสำคัญ “คุณหญิงท่านไปรื้อเอามาจากบ้านเก่าของท่านขุนบัญชาคุณตาของคุณจักรมานะเจ้าคะ”

จักร ปิ่นพิมุกข์หัวเราะหึ เมื่อแม่เย็นอ้างถึงบิดาของคุณหญิงลำเจียกและเป็นบิดาของมารดาจักรด้วย

ขุนบัญชานั้นรับราชการครั้งแรกในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ด้วยตำแหน่งปลัดตำรวจ เทียบเท่าตำแหน่งปลัดอำเภอในปัจจุบัน ท่านเกษียณอายุราชการด้วยตำแหน่งสุดท้ายคือนายอำเภอแห่งหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรีและย้ายเข้าพระนครมานับแต่เกษียณ บ้านที่คุณหญิงลำเจียกไปรื้อมาตั้งอยู่ที่ราชดำเนินนอกซึ่งขุนบัญชาเพิ่งสร้างเอาทีหลังเมื่อเกษียณราชการแล้ว ดังนั้นเสียงหัวเราะ ‘หึ’ ของจักรจึงบ่งบอกว่า ถ้าหากเขาจะเชื่อเรื่องผี เขาก็คงไม่เชื่อว่าจะมีผีโดยเฉพาะผีห่มสไบ ติดมากับเรือนของท่านขุนผู้เป็นคุณตาของเขาโดยเด็ดขาด

“รื้อมาปลูกเอาไว้ได้สักสิบห้าปีแล้ว แม่เฟื่องฟ้าเขาชอบชวนเพื่อนมาอ่านหนังสือ บางครั้งก็นอนค้าง” คุณหญิงหันมาทางทัพเที่ยง เสริมสิ่งที่แม่เย็นพูดค้างเอาไว้ จักรทำคิ้วย่นเห็นแย้ง

“เฟื่องฟ้าไม่เคยเล่าให้หลานฟังเรื่องผู้หยงผู้หญิงอะไรเลยนะขอรับ”

“ก็ตอนนั้นไม่ได้มีอะไรนี่คะ” แม่เย็นสอดปาก เมื่อเห็นว่าคุณหญิงลำเจียกไม่ห้าม นางจึงอธิบายต่อ

“แต่พอคุณเฟื่องฟ้าไปอังกฤษแล้ว จู่ๆ ก็มีคนเห็นผู้หญิงห่มสไบเดินไปเดินมาในบ้าน”

“นางเล็กๆ ของคุณตาหรือ”

“ไฮ้…คุณจักร เดี๋ยวอิฉันตีตาย”

“ก็แล้วมันจะเป็นไปได้ยังไง เมื่อก่อนไม่มีจะมีเอาเดี๋ยวนี้”

“อิฉันไม่มีคำตอบให้ดอกเจ้าค่ะ คุณไม่เชื่อก็แล้วไปเถอะ” คนพูดออกอาการงอน คุณหญิงเลยตัดบท

“พวกเด็กๆ ในบ้านมันลือกัน อาจจะตาฝาดกันไปเองก็ได้ ไปอยู่ก็บอกกล่าวเจ้าบ้านเจ้าเรือนเขาเสียหน่อย จะได้ร่มเย็นเป็นสุข แต่ถ้าไม่อยู่ฉันก็ไม่ว่าอะไรดอก” ประโยคหลังท่านหันไปพูดกับทัพเที่ยง ชายหนุ่มค้อมศีรษะไปข้างหน้า

“มิได้ขอรับ คุณหญิงกรุณาผมแล้ว ผมอยากจะอยู่ขอรับ”

ทัพเที่ยงยืนยันหนักแน่น มีรอยยิ้มบางอย่างระหว่างเขาและจักรบอกให้รู้ว่าคนสมัยใหม่และเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยอย่างพวกเขา คงไม่หลงเชื่อเรื่องผีสางง่ายๆ แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดทำลายความเชื่อของผู้สูงวัยในห้อง ผู้เป็นหลานได้แต่ถามสืบไปอีกสองสามประโยค คุณหญิงก็ยืนยันว่าท่านไม่เคยเห็น

“แล้วใครเป็นคนเห็นล่ะขอรับ ผมอยากคุยสักหน่อย” จักรซัก

“ในบ้านนี้ไม่มีใครเคยเห็นดอกค่ะ” แม่เย็นค้อน “เพราะคนที่เห็น มันกลัวจนย้ายออกไปหมดแล้วค่ะ”

“ฮ้า…”

“จริงค่ะ”

“เอาเถอะๆ” คุณหญิงปรามเมื่อเห็นคนสนิทและหลานชายทำท่าจะต่อความกันยืดยาวไปอีก

“เดี๋ยวพ่อจักรพาพ่อทัพเที่ยงเข้าไปดูบ้านก่อน เครื่องเรือนชิ้นไหนชอบใจก็เอาไว้ใช้ อันไหนเห็นแล้วไม่ชอบใจเดี๋ยวจะให้คนไปย้ายออกมา เลือกเก็บเอาไว้เฉพาะที่เห็นแล้วสบายตาสบายใจนะพ่อ ไม่ต้องเกรงใจกัน” คุณหญิงย้ำกับทัพเที่ยง ชายหนุ่มรู้สึกแปร่งหูแต่ไม่กล้าเอ่ยถาม

 

เครื่องเรือนของเรือนก้านมะลินั้นไม่มีชิ้นไหน ‘ไม่ชอบใจ’ ล้วนแต่ทำให้ทัพเที่ยง ‘สบายตาสบายใจ’ ทั้งสิ้น มีสิ่งเดียวที่ทำให้ทัพเที่ยง ‘ประหลาดใจ’ ก็คือการกลับมาที่เรือนก้านมะลิครั้งที่สองของเขา ประตูกลับถูกล็อกเอาไว้

“ไม่มีใครสั่งให้มา พวกหนูก็ไม่มีใครกล้ามาหรอกเจ้าค่ะ” เด็กสาวคนที่มาตามทัพเที่ยงยื่นกุญแจบ้านให้ชายหนุ่ม “ไอ้ที่จะมาล็อกประตูเอง เห็นจะไม่มีเจ้าค่ะ อีกอย่างกุญแจก็อยู่ที่คุณเย็น”

“คงไม่มีอะไรหรอก ลูกบิดมันคงเก่า เดี๋ยวผมจะให้คนมาเปลี่ยนให้ใหม่” จักรว่า เขาเดินไปบิดลูกบิดไปมา  ปากก็พูดต่อ

“ของบางเรื่องนะคุณทัพ บางทีมันก็พิสูจน์ได้นี่แหละ แต่ความกลัวก็ทำให้เราไม่อยากพิสูจน์จนยอมเชื่อไปทางนั้น”

“ดูคุณจักรจะไม่เชื่อเรื่องผีเรื่องสางเลยนะครับ”

“นี่มันจะหมดปี 2498 แล้ว อีกไม่เกินสี่ร้อยวันก็จะกึ่งพุทธกาลนะคุณ” จักรพูดกลั้วหัวเราะ “อย่าบอกนะว่าคุณเชื่อ”

ทัพเที่ยงยิ้ม เขาทอดตามองออกไปยังสนามหญ้าไร้การดูแล ต้นจันสูงชะลูดสร้างแสงเงาวูบไหวบนใบหญ้าคา บางทีแรงลมอาจจะสร้างบางอย่างจากแสงและเงาจนเกิดความเข้าใจผิดขึ้นมาก็ได้

เขาเองนั้นโตมากับวัด จะว่าไม่เคยพบเจอเรื่องลึกลับเลยก็คงจะพูดยาก แต่บางเรื่องก็เหมือนที่จักร ว่า ถ้าเราไม่กลัวเสียจนไม่กล้าหาคำตอบ มันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าความเข้าใจผิดเลย

จักรเข้ามายืนข้างๆ สายตาอย่างศิลปินของเขามองการเคลื่อนไหวของหญ้าคาและวงแสงด้วยดวงตาชวนฝัน จักรเอ่ยขอให้ทัพเที่ยงลงไปบนสนามซึ่งหญ้าคาสูงจนท่วมเข่า เขาให้ทัพเที่ยงมองไปข้างหน้าแล้วค่อยๆ เอี้ยวตัวหันกลับ กล้องสองเลนส์อย่างที่จักรเรียกว่ากล้องทีแอลอาร์ (TLR) ส่งเสียงแก๊กๆ ต่ำๆ สองครั้ง แล้วจักรก็เอ่ยขอบคุณ

“ขึ้นไปดูข้างบนกันคุณทัพ” จักรชวน ทัพเที่ยงเดินตาม ส่วนเด็กสาวที่เอากุญแจบ้านมาให้วิ่งตื๋อกลับไปไม่ยอมเดินขึ้นมาบนเรือนนานแล้ว

บนชั้นสองความเงียบเข้มข้นจู่โจมชายหนุ่มจนได้ยินเสียงรองเท้าดังอย่างเคาะกลอง ในโถงทางเดินทัพเที่ยงเห็นประตูล้อมอยู่สี่บาน ด้านตรงข้ามบันไดเป็นบานที่เปิดออกสู่ระเบียง อีกสามบานนั้นอยู่ด้านข้าง ขวาหนึ่งบาน ซ้ายสองบาน ทุกบานมีช่องแสงเป็นกระจกฝ้าลายดอกพิกุล ทว่าฝุ่นจับหนาเตอะจนแสงลอดเข้ามาได้ยากลำบาก

จักรเดินตรงไปเปิดประตูระเบียงซึ่งเห็นเด่นหราอยู่ตรงหน้า เมื่อประตูแง้มออกแสงจากภายนอกก็สาดไล่ความยะเยือกเย็นหายออกไปทันที ทัพเที่ยงได้ยินเสียงนกร้อง เสียงแก๊กๆ ดังลั่นของเจ้ากระรอก และเสียงใบไม้โบกไหวมีชีวิตชีวา

“บ้านน่าอยู่ใช่ไหมครับ” จักรหันมาถาม ขาก้าวนำต่อไปยังระเบียง ทัพเที่ยงไม่ได้ก้าวตามเพราะกำลังสะดุดตาเข้ากับประตูห้องทางขวามือ เขาจึงยืนนิ่งจ้องมันอยู่อย่างนั้น

มันเป็นประตูบานคู่ รูปแบบเหมือนประตูทุกบานในบ้านหลังนี้ คือมีลูกฟักสามชั้นและด้านบนเป็นช่องแสงกรุกระจกลายดอกพิกุล ทัพเที่ยงเอื้อมมือแตะมือจับทองเหลืองช้าๆ ก่อนจะออกแรงดึง บานประตูก็ขยับเปิด

ห้องนอนนั้นค่อนข้างกว้าง สว่างด้วยช่องแสงเหนือบานหน้าต่างใหญ่ ภายในบรรจุ ตู้ โต๊ะ เตียงครบชุด ทัพเที่ยงเดินไปเปิดหน้าต่าง กลิ่นดอกสายน้ำผึ้งโชยจากด้านล่างขึ้นมาต้อนรับ เขาหันกลับมาที่เตียงนอนสี่เสาที่วางไว้เกือบกลางห้อง ด้านข้างซ้ายขวาวางโต๊ะเล็ก บนโต๊ะทางขวาว่างเปล่า แต่ทางซ้ายวางกระจกส่องหน้าแบบโบราณที่เรียกกันว่าคันฉ่องและแจกันแก้วสีน้ำเงินเอาไว้ แผ่นไม้หัวเตียงสลักลายดอกพุดตานฝีมือประณีตเข้าชุดกับคันฉ่องทางซ้ายมือ

ทัพเที่ยงพิศดู เตียงนอนซึ่งไม่ได้วางชิดผนังสักด้านให้ความรู้สึกประหลาด เหมือนแท่นบูชา…ชายหนุ่มคิด มือก็เอื้อมแตะเสาเตียงต้นที่ใกล้ที่สุด แล้วจู่ๆ ความรู้สึกคุ้นเคยกับเตียงหลังนี้ก็ถาโถมเข้าใส่ ทัพเที่ยงรู้สึกราวกับเขาเป็นเจ้าของมันเข้าจริงๆ

หญิงสาวคนเดิมปรากฏกายขึ้นด้านข้าง หล่อนจ้องทัพเที่ยงด้วยดวงตาแดงช้ำ น้ำตาอาบแก้ม ร่างโปร่งใสเอื้อมมือสั่นเทาแตะลงบนหลังมือผู้มาเยือน ทัพเที่ยงสะดุ้งกับสัมผัสไร้ที่มา เขาชักมือจากเสาเตียง หันรีหันขวาง รู้สึกถึงความเย็นวาบหวิว แต่บอกไม่ถูกว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร

“เตียงสวยนะครับ” เสียงจักรดังขึ้นมาทางด้านหลัง เขาพูดพลางเดินเข้ามาสำรวจเครื่องเรือนในห้องด้วยความสนใจ ชายหนุ่มก้มลงมองเสากลมกลึงและลายสลักหัวเตียงอย่างใกล้ชิด แต่มือยังคงไขว้หลัง

“ฮือ…ฝีมือชั้นครู” จักรว่า

“ถ้าเป็นของสำคัญ ผมจะปิดห้องนี้เอาไว้ก็ได้นะครับ ผมอยู่คนเดียวใช้ห้องอื่นก็ได้”

จักรหัวเราะ “ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับ คงเครื่องเรือนทั่วๆ ไป ไม่อย่างนั้นคุณหญิงท่านคงไม่ทิ้งเอาไว้ในเรือนนี้ แต่ห้องนี้…” ชายผิวบางกวาดตามอง “เย็นสบายกว่าห้องอื่น…” เขาทำท่ายกมือขึ้นลูบแขน ไม่ว่าความรู้สึกยะเยือกนั่นมาจากอะไร คนหัวสมัยใหม่อย่างจักร ไม่มีทางยอมรับกับตัวเอง

พวกเขาเดินกลับลงมาด้านล่างในครู่ต่อมา จักรยกกล้องยาคาบที่มุมปาก เขาสูดควันของมันแล้วอมเอาไว้ในปากด้วยกิริยาดื่มด่ำอย่างกินไวน์ ไม่ได้หักโหมดูดฮักๆ เข้าปอดอย่างคนหิวยาฉุน

“คุณย้ายมาต้นสัปดาห์หน้าเลยก็ได้” ชายหนุ่มผิวสะอาดว่า เห็นควันม้วนเป็นสายออกมาจากริมฝีปากบาง ทัพเที่ยงมองด้วยความทึ่ง ไม่ว่าจักรจะทำสิ่งใดช่างดูดีมีรสนิยมไปเสียหมด

“แต่…”

“ไม่มีแต่แล้วคุณทัพ ผมมีเรื่องที่ต้องปรึกษาคุณหลายเรื่อง มาอยู่เสียที่นี่ดีแล้ว บางทีคุณอาจจะได้ช่วยผมมากกว่าที่คุณคิดเอาไว้”

“แล้วผมจะช่วยอะไรคุณจักรได้ครับ” ทัพเที่ยงชักสงสัย

ชายหนุ่มร่างสันทัดยิ้มพราย เขาทิ้งท้ายอย่างมีลับลมคมในเอาไว้ว่า

“เดี๋ยวคุณก็รู้เอง”

 

 



Don`t copy text!