มหรสพเวรา บทที่ 3 : นักเขียนผี

มหรสพเวรา บทที่ 3 : นักเขียนผี

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้

https://www.groovebooks.com/blog/นิยายใหม่จาก-groove-next-anowl-ลูกองุ่น-เปิดให้สั่งจอง-25-มี-ค-67/62

“ไม่คิดจะเล่าให้ผมฟังบ้างเลยหรือครับ” จักร ปิ่นพิมุกข์ต่อว่า ดวงตาเขามีประกายเจิดจ้าประหลาดๆ อย่างคนที่กุมเรื่องดีๆ เอาไว้ในมือ

ตอนนี้ชายหนุ่มทั้งสองนั่งอยู่บนเฉลียงหน้าเรือนเขียวก้านมะลิ รอบเรือนที่เคยรกไปด้วยหญ้าคาเตียนราบจากแรงงานกุลีที่แม่เย็นให้เด็กจุกไปหาว่าจ้างมาได้จากใต้สะพานพุทธ ความรวดเร็วของแรงงานทั้งเด็กและผู้ใหญ่รวมถึงเจ้าของบ้านคนใหม่อย่างทัพเที่ยง พรึบเดียวเรือนก้านมะลิก็กลับมาโปร่งตา จักรซึ่งตามเข้ามาทีหลังถูกใจจนยอมจ่ายทิปให้คนงานถึงคนละ 2 บาท แม่เย็นแอบค้อนที่เขาใช้เงินเป็นเบี้ย จักรได้แต่หัวเราะ แต่ทัพเที่ยงกลับเห็นถึงน้ำใจของเขา

“เรื่องอะไรกันครับ” ทัพเที่ยงเดาไม่ออก สายตาของจักรสร้างความร้อนรุ่ม เหงื่อไคลจากการทำงานที่ชำระทิ้งไปแล้วเหมือนจะกลับมาอีกครั้ง ทัพเที่ยงขยับคอปกเสื้อเพื่อระบายความร้อนแม้ว่าอากาศช่วงพลบค่ำอุณหภูมิจะลดลงอย่างรวดเร็ว

มีรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏที่มุมปากของจักร เขาโยกตัวมาจนใกล้ ถามอย่างสลักสำคัญ

“แล้วคุณทัพรู้จัก ‘วิฬารราช ราตรี’ ไหมล่ะครับ” คราวนี้ทัพเที่ยงสะดุ้ง จักรหัวเราะแบบที่ทัพเที่ยงรู้ว่าชายหนุ่มจะต้องรู้คำตอบดีอยู่แล้ว

“อา…คุณจักรรู้แล้วใช่ไหมครับ” ทัพเที่ยงรู้สึกร้อนที่ผิวหน้า ชื่อสำราญ อริญลอยวน

“สำคัญนักนะ หลอกผมสนิทใจ รู้ทั้งรู้ว่าผมชื่นชมงานวิฬารราช ราตรี ไม่คิดจะบอกกันบ้างเลยหรือ”

“คือผม…ผม”

“ผมรู้ คุณสำราญบอกผมหมดแล้วว่าคุณน่ะมองงานตัวเองว่ามันพาฝัน ไม่ได้เขียนเรื่องบ้านเรื่องเมือง สำนวนหรือก็ไม่ได้อย่างเก๋แบบพวกนักหนังสือพิมพ์เขา แต่มันจะสำคัญอะไรถ้าคนอ่านสตรีชอบ คุณก็ไม่เป็นสองรองใครเหมือนกัน” เขาวางแก้วเหล้าลง จ้องทัพเที่ยงแล้วว่า “ผมเคยบอกคุณว่าผมชอบงานของวิราฬราช ราตรีแล้วผมก็ไม่คิดเปลี่ยนใจ”

คราวนี้ทัพเที่ยงนั่งไม่ติด ร้อนรุ่มเพราะสายตาของจักร เขาแก้เก้อด้วยการยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม อีกมือก็ติดกระดุมเสื้อที่ยังไม่ได้ใส่ให้เรียบร้อยเพราะถอดออกตั้งแต่ตอนช่วยคนงานถางหญ้า จักรมองผิวแดงเรื่อจากหลังหูไล่ลามมาถึงลำคอของทัพเที่ยง เขาหัวเราะขำคู่สนทนา

“เอาเถอะ” จักรโบกมือ “ผมไม่ได้จะมาต่อว่า นักเขียนคนไหนๆ ก็ไม่เปิดเผยตัวทั้งนั้น” ประโยคนี้เขาพูดเอาใจซึ่งทัพเที่ยงดูออก

“มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกครับ” ทัพเที่ยงแย้งเบา “อันที่จริงแล้วผมก็แค่คนเริ่มต้นเขียนเท่านั้น ผมยังไม่กล้าใช้คำว่า อ่า…นักเขียนกับตัวเอง ด้วยซ้ำ”

“ก็เลยไม่กล้าประกาศตัว” จักรสรุปให้

“ที่ผมไม่ได้เล่าเพราะผมไม่เห็นว่ามันจะสำคัญ”

“ทั้งๆ ที่ผมประกาศปาวๆ ว่าอยากรู้จักวิฬารราช ราตรีนี่นะ”

ทัพเที่ยงอึ้งไปอย่างไร้คำแก้ตัว จักรพูดต่อไปด้วยเสียงเนิบนาบ

“คุณสำราญบอกว่างานของคุณน่ะทั้งน่ากลัวทั้งโรแมนติก นักอ่านสาวๆ เขียนจดหมายมาหาเป็นร้อยๆ พวกหล่อนหลงรักงานของคุณ”

“พวกเขาชอบพระเอกน่ะครับ ไม่ได้ชอบผม”

“โธ่…คุณจะถ่อมตัวไปถึงไหน” จักรร้องก่อนที่จะหรี่ตามอง “เอาละ ผมรู้แล้ว คุณเขินที่เขียนฉากรักได้ถูกใจสุภาพสตรี พระเอกของคุณมัดใจนักอ่านสาวๆ เสียอยู่หมัด โธ่เอ๋ย…คุณทัพ นั่นน่ะมันคือความสามารถ คุณจะอายไปทำไม คุณสำราญยังบอกผมเลยว่าผมตาแหลมมากที่จะให้วิราฬราช ราตรีช่วย”

“ช่วย…ช่วยอะไรหรือครับ”

“ผมจะให้คุณเขียนสกรีนเพลย์”

“เขียนสกรีนเพลย์” ทัพเที่ยงทวน สีหน้าตะลึง

“ผมอยากสร้างหนัง เอาให้สาวๆ คลั่ง ดังระเบิดอย่าง ส.อาสนจินดา” จักรบอกความต้องการ เขายกแก้วเครื่องดื่มจ่อปาก ตามองปฏิกิริยาคู่สนทนาเหมือนจะหยั่ง แต่ทัพเที่ยงนั่งนิ่งไม่ตอบอะไรจนคำเดียว

“คุณทัพเที่ยง ทำไมทำหน้ายังงั้น ถึงคุณจะหล่อไม่แพ้เขา ผมก็ไม่ได้หวังให้คุณทั้งเขียนทั้งเล่นอย่างคุณ ส.เขาหรอก”

สีหน้าจักรไม่สู้ดีเมื่อเห็นทัพเที่ยงยังนั่งขึงอยู่ที่เดิม หากว่าจักรจะเข้าไปนั่งในหัวใจของทัพเที่ยงได้ เขาจะรู้ว่าตอนนี้หัวใจชายหนุ่มร่างใหญ่กำลังเต้นแรง อาการของทัพเที่ยงเกิดจากความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อหู เพราะเขากลัวว่าตัวเองกำลังฝัน…

สำหรับทัพเที่ยง ความสนใจในโลกภาพยนตร์มันเริ่มมาตั้งแต่โอเลี้ยงยังแก้วละ 2 สตางค์ ภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขาได้ดูเป็นหนังฝรั่งที่ศาลาเฉลิมบุรี คนที่พามาคือหลวงลุงสมัยที่ยังไม่ได้บวชเป็นพระ หลวงลุงบอกเขาว่าสมัยก่อนศาลาเฉลิมบุรีมีชื่อว่าโรงหนังสิงคโปร์ หลวงลุงชอบมาดูหนังที่นี่เพราะลอดช่องตรงทางเข้าโรงหนังด้านถนนเจริญกรุง ‘อร่อยเหลือใจ’  วันนั้นทัพเที่ยงไม่ได้กินลอดช่องเพราะบังเอิญร้านปิด แต่นั่นก็นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทัพเที่ยงสนใจ ‘หนัง’ มากกว่าการบันเทิงชนิดอื่น กระทั่งสงครามมหาเอเชียบูรพาปะทุขึ้น ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบก อ่าวไทยถูกปิด ทั้งญี่ปุ่นและอเมริกาผัดกันวางทุ่นระเบิดเอาไว้เต็มน่านน้ำ การบันเทิงต่างๆ ก็เลยจบลงไปพร้อมกับการมาของเสียงหวอเตือนภัยทางอากาศ หลวงพ่อของเขาเปรยว่า บ้านเมืองเราเหมือนไม่ใช่ของเรา ผีห่าซาตานมันมากินเมืองเสียหมดแล้ว ตอนนั้นไม่มีการนำเข้าส่งออก ข้าวของราคาแพงขึ้น รัฐบาลจอมพล ป. ต้องกำหนดให้ปันส่วนสินค้าขายอย่างจำกัดจำนวน ซึ่งความเดือดร้อนนั้นลามมาถึงความบันเทิงของคนไทยไปด้วย

เมื่อมีเรือบินทิ้งระเบิดแทนเรือเดินสมุทรขนส่งสินค้า ก็ไม่มีหนังใหม่ๆ เข้ามาให้คนไทยดู เวลานั้นโรงภาพยนตร์แก้ปัญหาด้วยการฉายเรื่องเดิมซ้ำๆ วนไปจนคนดูเบื่อ บางโรงก็เปลี่ยนไปแสดงละครเวที จนกระทั่งมีคนคิดเอาฟิล์มขนาด 16 มิลลิเมตร หรือที่เรียกกันติดปากว่า 16 มม. ที่ยังพอหาได้ในท้องตลาดมาใช้ถ่ายทำภาพยนตร์แทนฟิล์ม 35 มม. ‘หนัง’ เฉพาะอย่างยิ่ง ‘หนังไทย’ เลยกลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง

เมื่อหนังไทยฟื้นคืน คณะละครต่างๆ ก็เริ่มผันตัวมาสร้างหนัง ทัพเที่ยงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นหมกตัวอยู่ในโรงภาพยนตร์ชั้นสองย่านเวิ้งนาครเขษมดูหนังตั้งแต่เช้ายันค่ำ ถึงเขาจะรักหนังถึงขนาดนั้น เด็กริมคลองเจดีย์บูชาอย่างเขาก็ไม่เคยคิดฝันว่า ในเวลาที่โอเลี้ยงหลังสงครามขึ้นราคาจากแก้วละ 2 สตางค์มาเป็น 50 สตางค์ เขาจะมีโอกาสสร้างหนังได้ด้วยตัวเอง

สร้างหนังเชียวนะ…ทัพเที่ยงดีใจจนทำอะไรไม่ถูก ตอนนี้เขาจึงยังนั่งขึงอยู่บนเก้าอี้ จ้องมองจักรราวกับเห็นตัวอะไรสักตัวที่ประหลาดจนละสายตาออกไปไม่ได้

“คุณทัพ นี่คุณไม่สนใจเลยหรือนี่ โธ่…” เสียงจักรออกอาการผิดหวัง “ไหนคุณสำราญบอกว่าคุณรักหนังอย่างกับอะไร เขาว่าคุณเขียนนิยายได้เป็นคุ้งเป็นแควก็เพราะไปนั่งดูหนังทั้งวันทั้งคืนมานั่นแหละ”

เรื่องนี้เห็นจะจริง สำราญ อริญเคยวิเคราะห์งานของทัพเที่ยงว่าหนังที่เขาดูมันเพาะพันธุ์เรื่องราวขึ้นในหัวของเขา งานของทัพเที่ยงจึงฉึบฉับ รวดเร็ว อย่างการตัดฉากของภาพยนตร์ ซึ่งเรื่องนี้จักรเองก็เคยพูดถึงงานของวิราฬราช ราตรีในทำนองเดียวกัน

“ผมจะให้เวลาคุณคิดดูก่อน” จักรยังไม่ยอมแพ้ ในที่สุดทัพเที่ยงก็ยกมือขึ้นห้าม

“ผม…ผมไม่ต้องคิดหรอกครับ”

“คิดสักหน่อยสิคุณทัพ” เสียงจักรร้องขอ

“ไม่ต้องคิดหรอกครับ”

“ทำไมล่ะ คุณไม่ได้อยากจะสร้างหนังสักเรื่องหรอกหรือ”

“อยากสิครับ” ทัพเที่ยงรีบพยักหน้า “ที่ผมนิ่งไป ผมแค่อยากจะฟังให้ชัดๆ เพราะกลัวตัวเองฝันอยู่เท่านั้น”

“คุณทัพ…” จักร ปิ่นพิมุกข์เบิ่งตากว้างก่อนจะยิ้มเต็มหน้า

“เป็นอันว่าคุณตกลงนะ” จักรย้ำ

“ครับ”

ทั้งคู่ยื่นมือมาจับกัน ในลักษณะตั้งข้อศอกเหมือนกำลังงัดข้อ ดวงตาพวกเขาส่องประกายวาว โดยไม่รู้สึกสักนิดว่า ในมุมมืดเงียบเชียบมุมหนึ่งของบ้าน มีดวงตาอีกคู่กำลังจ้องอากัปกิริยาของชายหนุ่มทั้งสองด้วยประกายตาแวววาวไม่แพ้กัน

“เอ้าชน…แด่หนัง 16มม. ของเรา” จักรชูแก้วขึ้น ทัพเที่ยงยกแก้วตาม เสียงกังวานของคริสตัลเนื้อดีปะทะกันดังแก๊ง เครื่องดื่มสีอำพันวนผ่านน้ำแข็งก้อน ก่อนจะไหลลงคอของชายทั้งสองหมดในการยกขึ้นเพียงครั้งเดียว

“แต่ก่อนจะร่วมงานกัน พวกเราเลิกทำตัวเป็นทางการกันซะก่อนดีกว่า” จักรปาดนิ้วบนเรียวหนวด ทัพเที่ยงที่เพิ่งวางแก้วลงมองอย่างสนใจ

“ก็พูดคุณพูดผม มันไม่เป็นงานเป็นการไปหน่อยหรือ”

“แต่แบบนี้คุณหญิงท่านน่าจะอยากรับฟังมากกว่า” การคาดคะเนของทัพเที่ยงทำจักรหัวเราะร่วน

“ไม่เบาๆ รู้จักเอาอกเอาใจผู้หลักผู้ใหญ่ซะด้วย แต่กันไม่เอาด้วยหรอก ต่อไปนี้กันจะเรียกนายว่าคุณเฉพาะในมหาวิทยาลัยเท่านั้น พอออกมาข้างนอก” จักรเอาแขนไขว่เป็นกากบาท “โน…ต่อให้ต่อหน้าคุณป้ากันก็จะพูดกับนายยังงี้แหละ”

ทัพเที่ยงหัวเราะน้อยๆ พลางส่ายหน้า จักรคาดคั้น

“นายก็เหมือนกัน อย่ามาคุณมาผมให้แสลงหูอีก ว่าไง ตกลงไหม”

ทัพเที่ยงยังคงไม่ตอบ ยิ้มของเขานั้นตีความได้หลายทาง มันทำให้ชายผิวสะอาดที่เมานำหน้าไปแล้วต้องคะยั้นคะยอเหมือนเด็กๆ

“ไม่รู้ละ กันไม่พูดกับนายแบบนั้น นายก็ต้องไม่พูดเหมือนกัน” จักรตัดบทดื้อๆ ท่ามกลางการสนทนานั้นดวงตาจากมุมมืดค่อยๆ ปรากฏกายชัดขึ้น สไบสีจำปาของเธอไหวเป็นคลื่นยามลมพัดผ่าน ในความมืดนั้นดวงตาเจ้าหล่อนจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าคมสันของทัพเที่ยง ก่อนจะเคลื่อนตัวในอาการ ‘เลื่อน’ ไม่ใช่ ‘เดิน’ มาจนถึงโต๊ะที่พวกเขานั่งสนทนากันอยู่

ใบหน้ารูปไข่ใต้พุ่มผมยาวประบ่าหวีเสยจับน้ำมันเรียบกริบ อันเป็นทรงผมของผู้หญิงที่นิยมกันเมื่อครึ่งศตวรรษก่อน หล่อนยิ้มพราย ทุกอย่างในตัวหล่อนเป็นเครื่องประกาศว่า หญิงสาวไม่ใช่ผู้คนของยุคนี้และก็ไม่ใช่คนของโลกใบนี้อีกต่อไปแล้ว

อย่างไรก็ตามชายทั้งสองไม่มีท่าทีว่าจะมองเห็น พวกเขายังคงหมกมุ่นอยู่กับเรื่องบท เรื่องดารา เรื่องผู้กำกับ หญิงสาวพยายามขยับริมฝีปากพูดตามศัพท์บางคำที่ได้ยิน แต่สีหน้าก็บ่งบอกว่าหล่อนไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่ชายทั้งสองกำลังพูดนัก

 



Don`t copy text!