มหรสพเวรา บทที่ 5 : ไฟปริศนา

มหรสพเวรา บทที่ 5 : ไฟปริศนา

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้

เสียงอื้ออึงดังไม่ได้ศัพท์ฟังห่างไกลมาจากที่ไหนสักที่ ทัพเที่ยงเงี่ยหูฟัง ก็รู้สึกว่ามันค่อยๆ ชัดและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทว่าเมื่อฟังออกเป็นคำ เสียงนั้นกลับแหบแห้งลงแทบจะไร้สุ้มเสียง

“ช่วยด้วย…ช่วย…ช่วยน้องด้วย…” เสียงทรมานของผู้หญิงเหมือนอยู่ข้างหู ตามมาด้วยเสียงไอโขลกๆ ทัพเที่ยงพยายามตั้งสติ จนกระทั่งแน่ใจว่าเสียงไอนั้นเป็นของตัวเขาเอง

ชายหนุ่มลืมตา สะดุ้งเฮือก เขาไอออกมาอีกครั้งจนตัวโยน สิ่งที่เขาได้สัมผัสหลังจากสติกับมาอยู่กับตัวคือกลุ่มควันและอาการแสบร้อนสุดบรรยายในปาก คอ จมูก ทัพเที่ยงพยายามกวาดตามองแต่กลุ่มควันนั้นหนาจนเขาลืมตาไม่ขึ้น

เกิดอะไรขึ้น…

ไฟไหม้…ไฟไหม้หรือนี่…

ทัพเที่ยงบอกตัวเองก่อนจะไอโขลกๆ ออกมาอีก คราวนี้เขาโบกมือไล่กลุ่มควัน หย่อนขาลงจากเตียงพยายามมองหาประตูทางออก แต่กลุ่มควันสีเทาและเปลวร้อนของไฟทำเอาเขาต้องถอยหลังจนสะดุดเข้ากับเตียงนอนสี่เสาที่เพิ่งลุกขึ้นมา

ทัพเที่ยงควานหาผ้าห่ม หวังจะใช้กรองอากาศที่มีแต่เขม่าไฟ แต่แทนที่เขาจะพบแพรเพลาะผืนนั้น ทัพเที่ยงกับสัมผัสกับเนื้ออุ่นๆ ของใครบางคนแทน

ใครกัน…เขาพยายามเพ่งผ่านกลุ่มควันหนา ไออย่างทรมานขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนตัวลงต่ำเข้าใกล้ร่างใต้ควันสีเทานั่น

ผู้หญิง…สวยเสียด้วย แต่เขาไม่รู้ว่าหล่อนยังมีชีวิตอยู่ไหม หรือหล่อนอาจจะเป็นเจ้าของเสียงแหบแห้งเมื่อครู่  ทัพเที่ยงคิด เขาลองเอามือเขย่า ร่างอุ่นนั้นไม่ไหวติง ทัพเที่ยงยื่นมือแตะปลายจมูกหญิงสาวก็รู้สึกถึงลมหายใจแผ่วจางเหมือนมันกำลังจะหมดในอีกไม่ช้า

หล่อนยังไม่ตาย แต่จะมีผู้หญิงมาอยู่ที่ห้องนอนกับเขาได้อย่างไรกัน

ทัพเที่ยงถอนหน้าออกมา ฝืนลุกขึ้นนั่ง เขากำลังมึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นและก็กำลังจะหาทางรอดให้ชีวิตด้วย

เปลวไฟแสบร้อน ชายหนุ่มคว้าสะเปะสะปะได้ชายผ้าคลุมเตียงขึ้นมาปิดจมูก เขาเร่งคิด ตาก็ส่ายหาทางออก หน้าต่าง…ใช่…เขาจำได้แล้วว่าเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ เขาจะต้องไปหาอากาศหายใจที่นั่นก่อน

ทัพเที่ยงก้มลงควานหาร่างข้างตัว กะในใจว่าจะอุ้มหล่อนไปที่หน้าต่างกับเขา พลันได้ยินเสียงทุบประตูปึงปัง ถี่ยิบ…

“กลิ่น…แม่กลิ่น…ได้ยินไหม ตอบพี่ด้วย” เสียงชายคนหนึ่งตะโกนโหวกเหวกอยู่หน้าห้อง ทัพเที่ยงหันขวับ ความหวังเรืองรอง เขาตะโกนบอกให้รู้ว่ามีคนอยู่ในห้อง เสียงนั้นตอบสนองด้วยการร้องเรียก “แม่กลิ่น… แม่กลิ่น” ด้วยความร้อนรน พลันจู่ๆ ทัพเที่ยงก็ร้อนวูบ แค้นเคืองกับเสียงนั้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ความรู้สึกทั้งกลัวทั้งเกลียดเล่นงานจนทัพเที่ยงถูกตรึงนิ่งเอาไว้กับที่ ชายหนุ่มลืมตาโพลงในกลุ่มควัน เขาสูดหายใจหนักๆ ก่อนจะค่อยๆ ล้มลงไปกับเตียงด้วยอาการเวียนหัวราวกับว่าหัวกบาลนั้นจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

เกิดอะไรขึ้น!

นี่มันเกิดอะไรขึ้น…

ฉับพลันทุกอย่างขาวจ้า หมุนคว้าง เขาร้องไม่เป็นภาษา ระหว่างที่ร่างถูกเหวี่ยงเป็นวงอยู่นั้น เขาก็ถามตัวเองว่า นี่เราตายไปแล้วอย่างนั้นใช่ไหม…

 

“อา…อา…”

ทัพเที่ยงสูดหายใจเฮือกเข้าปอด เหมือนทะลึ่งพรวดขึ้นมาจากกระแสน้ำเชี่ยว เขาสะดุ้งตัวนั่ง เหงื่อไหลโทรม มือก็คลำเปะปะไปข้างตัว แต่ไม่มีผู้หญิง ไม่มีควัน ทุกอย่างยังเป็นปกติ

เขาก้มลงมองท่อนขา แพรเพลาะสีฟ้าคลุมร่างของเขาตั้งแต่ปั้นเอวยาวไปถึงปลายเท้า นี่แสดงว่าเขาไม่พลิกตัวเลยตลอดคืนอย่างนั้นหรือ ชายหนุ่มสลัดศีรษะ รู้สึกปวดหนึบแถวท้ายทอย แต่ต้องฝืนลุกขึ้นจากเตียง เขาเดินโงนเงนไปคว้าผ้าขาวม้ามาผลัดชุดนอนออกเพื่อเตรียมตัวลงไปอาบน้ำ

ร่างโปร่งแสงปรากฏขึ้นอีกครั้งที่ข้างเตียง หญิงสาวมอบความห่วงกังวลให้เขาด้วยสายตาที่ทัพเที่ยงไม่อาจมองเห็น ชายหนุ่มลังเลที่จะก้าวต่อด้วยอะไรบางอย่าง แต่เมื่อตาของเขาเหลือบเห็นเวลาจากนาฬิกาข้อมือบนโต๊ะ ทัพเที่ยงก็รู้ว่าเขาไม่มีเวลาอ้อยอิ่งอยู่ในห้องนี้อีก

มันจะต้องมีอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มคิดขณะก้าวลงบันได ความฝันนั้นชัดเจนเสียจนเขายังรู้สึกถึงอาการระคายคอ จมูกเขายังแสบร้อน ราวกับเขาได้สูบควันไฟนั่นไปจริงๆ

“คุณเจ้าขา” เสียงจุกร้องเรียกมาจากหน้าบ้าน เขาลังเลนิดหนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงเรียกนั้นดังถี่ขึ้น ทัพเที่ยงก็ตัดสินใจโผล่หน้าออกไปดู

จุกประคองถาดอาหารมองตรงมายังทัพเที่ยงที่เอาตัวบังประตูไว้ครึ่งหนึ่ง หล่อนพูดอย่างรวดเร็ว

“คุณเย็นเห็นคุณยังไม่ออกไปทำงาน เลยให้เอาอาหารเช้ามาให้เจ้าค่ะ ไข่ที่คุณเอามาให้เมื่อวานคุณเย็นเอามาทอด และปิ้งขนมปังกับชงกาแฟมาให้ด้วยเจ้าค่ะ”

“ขอบใจนะ” เขาตัดสินใจออกไปรับถาดมาถืออย่างกระดาก แต่ดูเหมือนจุกจะไม่ใส่ใจการแต่งตัวที่ปิดไว้เพียงครึ่งท่อนของเขา เด็กสาวกวาดตารอบตัวอย่างระวังภัย

“อ่า…อ่า…” จุกพูดอย่างยากลำบาก “ถ้า…ถ้า…หนูจะขอถ่ายจานเอากลับไปเลยจะได้ไหมเจ้าคะ”

“ไม่ได้หรอก” ทัพเที่ยงแกล้งว่า รู้ว่าจุกไม่อยากจะย้อนกลับเข้ามาเอาจานอาหารที่เรือนก้านมะลิอีก

จุกหน้าซีด “จะ…เจ้าค่ะ” หล่อนจ้องเขาอย่างจะร้องไห้

“แต่ฉันกินเสร็จแล้วตอนออกไปทำงานจะเอาออกไปให้ จะให้ล้างไปให้ด้วยเลยไหม”

“ไม่ต้องเจ้าค่ะ ไม่ต้อง” จุกโบกมือร้องเสียงหลง “แค่นี้ก็เป็นพระเดชพระคุณอย่างสูงแล้ว” หล่อนว่าหัวเราะแฮะๆ น่าเอ็นดู จนทัพเที่ยงถึงกับหัวเราะตามออกมาด้วย

“งั้นหนูไปก่อนนะเจ้าคะ” จุกหันหลังวิ่งกลับ ก่อนพ้นรั้วกั้นเขตเรือนก้านมะลิเด็กสาวหันมาพูดทะเล้นๆ ทิ้งท้ายว่า “รับประทานให้อร่อยนะเจ้าคะ”

จุกวิ่งปรู๊ดตรงออกไปตามทางเดินโรยกรวด ทัพเที่ยงยกถาดอาหารเข้าครัว เขาเปิดโอ่งตักน้ำขึ้นมาล้างหน้า กลั้วคออีกหลายครั้ง น้ำฝนเย็นฉ่ำช่วยให้เขารู้สึกสบายคอขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยให้ใจสบาย ระหว่างสีฟันเขาบอกตัวเองว่าจะต้องหาทางพบจักรให้ได้ในเช้าวันนี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องหนัง แต่เขาอยากรู้ประวัติของเรือนก้านมะลิหลังนี้

บ้านขุนบัญชาจะต้องมีเรื่องราวบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ในร่องกระดาน ไม่ใช่เป็นแต่เพียงเป็นเรือนไม้เก่าเก็บของบิดาคุณหญิงลำเจียกแน่ๆ และจักร ปิ่นพิมุกข์ผู้เป็นหลานตาก็น่าจะรู้อะไรบ้าง



Don`t copy text!