มหรสพเวรา บทที่ 4 : กลิ่นเก่าโลกใหม่

มหรสพเวรา บทที่ 4 : กลิ่นเก่าโลกใหม่

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้

ถ้าขึ้นไปบนหลังคาบ้านโชติกเสวกในตอนกลางวัน กลิ่นก็จะสามารถมองเห็นโรงไฟฟ้าวัดเลียบได้ถนัดตา ตึกสามชั้นก่ออิฐถือปูน มีปล่องควันหลายปล่องตั้งเด่นอยู่บนหลังคาอาคาร เขม่าควันจากการเผาไหม้ที่พวยพุ่งขึ้นฟ้า บ่งบอกถึงความเจริญอย่างที่สุดในยุคของกลิ่น

นานๆ ครั้งกลิ่นจะได้ยินเสียงกระดิ่งรถราง ซึ่งเดินรถด้วยไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าวัดเลียบแว่วผ่านลมมาจากที่ไกลๆ และนั้นยิ่งย้ำเตือนว่า เธอไม่ได้หลุดลอยไปอยู่ที่ไหน แต่ยังคงอยู่ในโลกใบเดิม

อันที่จริงกลิ่นควรจะผูกพันกับโรงพยาบาลศิริราช เพราะในปี พ.ศ.2431 ที่กลิ่นเกิดนั้น คุณป้าของเธอซึ่งเป็นมารดาของหลวงเลิศสลักกิจบอกว่า ตรงกับวันที่โรงพยาบาลศิริราชเปิดให้บริการเป็นวันแรก ถึงอย่างนั้นกลิ่นก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเชื่อมโยงกับโรงพยาบาลเลย ไม่เหมือนโรงไฟฟ้าวัดเลียบ การที่เธอได้เห็นรถเหล็กแล่นได้โดยไม่ต้องใช้ช้างม้าลากจูง มันทำให้เธอตื่นเต้นราวกับได้เห็นของวิเศษหลุดออกมาจากละครชาตรีทีเดียว

“แม่กลิ่น ยืนจ้องอยู่ได้รีบขึ้นไปสิ”

ตอนนั้นคุณป้าของเธอดันหลัง อมยิ้มเมื่อเห็นอาการตื่นของเด็กหญิงผอมแห้งเพิ่งโกนจุกอายุย่าง 13 จุดหมายปลายทางของคุณป้าคือห้างแบทแมนบนถนนบำรุงเมือง ที่เขาว่ากันว่าขายข้าวของเครื่องใช้แปลกๆ จากเมืองฝรั่ง ครั้งแรกนั้นกลิ่นยังตื่นเต้นกับ ‘ห้าง’ แต่เมื่อได้เห็นรถเหล็กที่แล่นได้เองแบบนั้น ใจเด็กบ้านนอกที่เพิ่งเข้ากรุงก็ลืมเรื่องห้างและของสวยๆ งามๆ ที่คุณป้าเล่าไปเสียหมดสิ้น

รถรางเหมือนมีเวทมนตร์ในวันนั้น ตอนนี้พวกมันก็ยังคงอยู่ และสิ่งที่ทำให้มันแล่นฉิวราวกับต้องมนตร์วิเศษอย่างโรงไฟฟ้าวัดเรียบก็ยังคงอยู่ …นี่มันปีใดแล้วนะ กลิ่นไม่รู้เลยว่าเธอติดอยู่ในโลกใบนี้มากี่มากน้อยแล้ว

มีเสียงเพลงโฉ่งฉ่างดังขึ้นมาจากข้างล่าง ได้ยินแว่วๆ ก่อนจะดังลั่น ขึ้นมาว่า รักเหมือนโคถึกที่คึกพิโรธ…ไปจน…จะไปโกรธโทษรักไม่ได้…จากนั้นก็เป็นการงึมงำต่อ บอกให้รู้ว่าคนร้องทั้งสองคนที่กลิ่นได้ยินเสียงอยู่นี้จำเนื้อร้องได้กระท่อนกระแท่น ถึงอย่างไรกลิ่นก็ตั้งใจฟังท่วงทำนองของมัน เพราะถึงแม้รถรางและโรงไฟฟ้าจะอยู่เหมือนเดิม แต่อะไรๆ ในโลกใบนี้ก็ช่างไม่เหมือนเดิม เพลงก็เหมือนกัน มีท่วงทำนองใหม่ๆ มีเสียงเครื่องดนตรีแปลกๆ ให้กลิ่นได้แปลกใจเสมอ

ตอนนี้กลิ่นกำลังเรียนรู้อย่างเงียบเชียบ ผ่านชีวิตประจำวันของทัพเที่ยงและจักร ผ่านข้าวของสมัยใหม่ที่กลิ่นไม่เคยเห็น อย่างกล่องวิทยุและจานเล่นแผ่นเสียง และผ่านบทสนทนากับศัพท์แสงแปลกประหลาดที่พวกเขาพูดคุยกัน

ถึงวันนี้ทัพเที่ยงก็ย้ายเข้าเรือนก้านมะลิมาครบสัปดาห์แล้ว จักรมาหาทัพเที่ยงทุกวันจนแม่เย็นค่อนว่าอย่างกับหนุ่มมาตามจีบสาว เมื่อโดนต่อว่าจักรก็พูดปะเหลาะทันควันไปว่า เขาจำต้องมาเพราะเป็นห่วงคุณหญิงลำเจียก กลัวจะอึดอัดเลยเข้ามาเชื่อมความสัมพันธ์ให้เพื่อนร่วมบ้านคนใหม่เอาไว้ก่อน

แน่นอนว่าแม่เย็นสะบัดหน้าอย่างหมั่นไส้ แม้แต่ผีอย่างกลิ่นยังไม่เชื่อ ต่างกันนิดเดียวตรงที่คนในบ้านไม่รู้ว่าจักรติดอกติดใจอะไรทัพเที่ยง แต่กลิ่นรู้ดีว่าเขามาเพื่อคุยกันเรื่อง ‘สร้างหนัง’ ซึ่งกลิ่นฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง สิ่งหนึ่งที่เธอแน่ใจก็คือ ความสนิทสนมระหว่างจักรและทัพเที่ยงแน่นแฟ้น และเธอก็เห็นอีกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างชายหนุ่มหนวดงามและคุณหญิงป้าของเขา รวมทั้งคุณแม่บ้านอย่างแม่เย็นนั้นเป็นไปอย่างแนบแน่น

จักรเล่าว่าสมัยเขายังเด็ก คุณพ่อของเขารับราชการเป็นนายอำเภอเช่นเดียวกับคุณตา หากแต่ไม่บู๊เท่า คุณตาเห็นว่านายอำเภอคนนี้ท่าทางจะไปได้ไกลอีกทั้งเป็นฝ่ายบุ๋น คือใช้สมองมากกว่ากำลังคงไม่ต้องถูกโยกย้ายไปปราบโจรผู้ร้ายเหมือนกันกับท่าน ท่านขุนบัญชาเลยยกลูกสาวคนเล็กให้ แต่สุดท้ายแล้วพ่อของเขาก็มีชะตาชีวิตไม่ต่างกับคุณตา คือต้องตระเวนไปตามอำเภอภูธรก่อนที่คุณพ่อของเขาจะได้ขึ้นเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น คุญตาก็ไม่ได้อยู่เห็นความก้าวหน้าของลูกเขยของท่านแล้ว ดังนั้นขณะที่คุณพ่อของจักรยังเป็นเพียงนายอำเภอ เขาจึงถูกส่งตัวมาอยู่กับคุณหญิงป้าพร้อมพี่สาวทั้งสามเพื่อเข้าโรงเรียนที่เหมาะสมในพระนคร จนกระทั่งคุณพ่อของเขาเกษียณราชการ คุณพ่อและคุณแม่ของจักรจึงได้ย้ายกลับมาเป็นการถาวร ซึ่งเวลานั้นพี่สาวของเขาต่างก็ออกเรือนกันไปหมดแล้ว พอกลับจากอังกฤษคุณแม่ก็ยึดเขาเอาไว้ไม่ให้ย้ายออกไปไหนอีก

“ท่านว่ากันใจแตก ต้องขนาบเอาไว้ข้างตัว” จักรหัวเราะ “แล้วนายล่ะ มาอยู่พระนครนานหรือยัง”

“พอจบมอหก ผมสอบเข้าเตรียมอักษรศาสตร์ได้ หลวงพ่อก็ส่งมาอยู่ที่วัดยานนาวา”

“ผมอีกแล้ว…” จักรท้วง ทัพเที่ยงยกสองมือชูอย่างยอมแพ้ เขากระดกน้ำสีอำพันในแก้วขึ้นดื่มแล้วเล่าต่อ

“ตอนนั้นสงครามเพิ่งจบ ไม่ต้องวิ่งหลบระเบิดแล้ว ‘กัน’ ก็ได้อาศัยหลับนอนที่นั่นจนเรียนจบปริญญาตรี” ทัพเที่ยงใช้คำว่ากันแทนผมอย่างจงใจ ทำจักรยิ้มพอใจที่เขายอมทำตาม

“แล้วตอนเรียนปริญญาโท…”

“ตอนนั้นกันย้ายมาเช่าบ้านอยู่กับเพื่อน ได้งานตรวจปรู๊ฟจากคุณสำราญเลยพออยู่ได้”

“พอจบปริญญาโทแล้วนายก็ไม่ยอมไปไหน สอนต่อเสียเลยที่คณะ” จักรสรุป

ทัพเที่ยงพยักหน้า เลื่อนที่เขี่ยบุหรี่ให้จักรที่มักจะคาบกล้องยาสูบหรือไม่ก็ยากะแร๊ตไม่เคยขาด

“แล้วนายอยากขายที่ไปทำไม ขอโทษเถอะนะ ฟังดูแล้วถึงจะต้องอยู่วัด แต่นายมีเงินเรียนจนจบโดยสะดวก บ้านก็ต้องไม่ธรรมดา”

“คนที่ส่งกันเรียนต่างหาก ที่ไม่ธรรมดา” ทัพเที่ยงเน้นคำท้าย เขาหัวเราะไปกับความช่างสังเกตของจักร

“ไม่ธรรมดายังไง” จักรสงสัย

“วันไหนมีโอกาส กันจะพานายล่องเรือคลองเจดีย์บูชา แล้วจะพาไปกราบท่าน”

“บอกหน่อยได้ไหมว่าท่านเป็นใคร เผื่อกันอาจจะเคยได้ยินชื่อท่านบ้าง หรือไม่คุณป้าก็อาจจะพอรู้จัก”

“ไม่มีใครรู้จักหรอก ท่านเป็นนักบวช”

“พระ??…”

“ไม่ใช่พระ ท่านเป็นนักบวช”

ทัพเที่ยงบอกเพียงเท่านั้น ไม่ได้ขยายความต่ออีกและจักรก็ได้แต่เพียงพยักหน้ารับ

กลิ่นฟังด้วยความสนใจ จ้องมองใบหน้าของชายหนุ่มทั้งสองสลับกันไปมา คนหนึ่งใบหน้าสวยสะอาด คนหนึ่งสูงใหญ่คมเข้ม ซึ่งถ้าพวกเขาจะเอาดีทางเจ้าชู้แล้วก็คงจะไม่เป็นรองหลวงเลิศสลักกิจเป็นแน่…

หลวงเลิศ…กลิ่นเผลอคิดแล้วใบหน้าก็แดงซ่าน เธอไล่สายตามองใบหน้าทัพเที่ยง จมูกเขาคมเป็นสัน ผิวสีน้ำผึ้ง ลำคอใหญ่ ช่างผิดกับหลวงเลิศลิบลับ

 

จักรกลับเมื่อนาฬิกาแมงดาบนผนังบอกเวลาสองยามด้วยอาการเมาแประ ทัพเที่ยงเดินไปส่งที่รถ แต่ก็ลากขากลับเข้าบ้านด้วยอาการเมาแประพอกัน

เมื่อผ่านมาถึงต้นแก้ว ลมรำเพยกลิ่นดอกไม้กระจายฟุ้ง ทัพเที่ยงยังมีแก่ใจเอื้องเด็ดช่อดอกติดมือเข้าบ้านมาด้วยช่อหนึ่ง

เขาเป็นคนแปลก เหมือนจะเย็นชาแต่ก็มีมุมละเอียดลออซ่อนเอาไว้ ก็เหมือนเพื่อนของเขานั่นแหละ แม้จักรจะดูเป็นหนุ่มนำสมัย ท่วงท่าอาการโก้เก๋ แต่เนื้อแท้แล้วจักรก็ไม่วายกลายเป็นเด็กชายน้อยๆ เวลาอยู่กับ ‘ผู้ใหญ่’ ของเขา

ถ้าจักรจะน่ายำเกรงกว่านี้อีกสักหน่อย รูปร่างผิวพรรณของจักรนั้น คงจะทำให้กลิ่นหลงเข้าใจผิดไปว่าแท้ที่จริงแล้ว เขาต่างหากคือหลวงเลิศสลักกิจหรือคุณพี่เที่ยงของหล่อนกลับชาติมาเกิด

กลิ่นคิด…แล้วห้วงคำนึงก็พากลิ่นลอยไหลกลับไปในที่ที่ไม่อยากหวนไปหา กาพย์กลอนที่กลิ่นอยากจะลืมไหลเข้ามาเหมือนสายน้ำ กลิ่นสะบัดหน้าแรงแต่ก็ห้ามความคิดนั้นของตัวเองไม่ได้

เกลื่อนกล่นแลเกลื่อนกลาด                 กลีบบางบาดหัวใจสลาย

กลิ่นแก้วขจรขจาย                                     ผลิจะร่วงจะโรยรา

ว่อนว่อนลมพัดพลิ้ว                                   ใจหวิวหวิวคะนึงหา

เหี่ยวไปไร้ราคา                                        เสียดายกลิ่นอนงค์นาง…

ไม่…ไม่…ไม่มีหลวงเลิศสลักกิจ ไม่มีคุณพี่เฟื่อง ตอนนี้มีแต่ทัพเที่ยงที่จะช่วยกลิ่นได้ กลิ่นรอเวลาเพื่อหาจังหวะอันเหมาะสมมาทั้งสัปดาห์แล้ว หรือจะเป็นคืนนี้ดี…กลิ่นถามตัวเอง จ้องมองสร้อยพระบนคอทัพเที่ยงที่เดินโงกเงกนำไปข้างหน้า แม้เขาจะสวมพระเอาไว้ที่คอตลอดเวลา จะถอดออกเมื่อตอนอาบน้ำและตอนนอนเท่านั้น แต่อันที่จริงกลิ่นไม่ได้เป็นผีกลัวพระ ว่ากันตามหลักการแล้วกลิ่นในตอนนี้ก็คือเจ้าบ้านเจ้าเรือนดีๆ นี่เอง หากแต่ที่กลิ่นไม่อยากผลีผลาม เพราะเกรงว่าเขาจะกลัวจนหนีหายไป การรอคอยแสนยาวนานของกลิ่นก็จะสูญเปล่า

กลิ่นคิดทบทวน ตอนนี้ร่างทัพเที่ยงหายขึ้นบ้านไปแล้ว หญิงสาวมีสีหน้ามุ่งมั่นก่อนย้ายร่างจากทางเดินโรยกรวดวับเดียวมาโผล่หน้าห้องนอนใหญ่ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินทะลุบานประตูเข้าไปด้านใน

“ว้าย…” หญิงสาวอุทาน หน้าแดงก่ำ หันหนี เมื่อเห็นว่าทัพเที่ยงนั้นผลัดผ้าจนเหลือผ้าขาวม้าเพียงผืนเดียว

ในยุคสมัยของกลิ่นการเปลือยท่อนบนไม่ได้ถือว่าอุจาดตาก็จริงอยู่ ทว่าอาการตื่นของกลิ่นนั้นเกิดจากความไม่คุ้น ไม่ใช่แต่เพียงรูปลักษณ์ หากแต่เจ็ดวันแล้วที่กลิ่นเมียงๆ มองๆ เขาอยู่ห่างๆ กลิ่นก็เห็นว่าพื้นนิสัยของเขาผิดไปกว่าเดิมมาก ซึ่งนั่นนอกจากจะเกิดความไม่ชินแล้วยังสร้างความรู้สึกอย่างประหลาดที่กลิ่นไม่อาจจะระบุออกมาเป็นคำพูดได้

ทัพเที่ยงคนนี้เป็นคนสุภาพ ประหยัดถ้อยคำ สิ่งน่าอัศจรรย์ใจสำหรับกลิ่นคือการที่เขาโปรยเศษข้าวเหลือกินให้นกเล็กๆ และยังมีใจขยำข้าวก้นหม้อให้แมวจร บ้านเรือนที่เขาอยู่สะอาดสะอ้าน เขาหุงหาอาหารและกวาดถูโดยไม่ต้องอาศัยใครมารองมือรองตีน ไม่ต้องนึกถึงน้ำใจที่มีให้มนุษย์ด้วยกัน ทัพเที่ยงสามารถทำได้ทุกอย่าง แม้แต่ช่วยแม่เย็นนางต้นห้องคุณหญิงลำเจียกสอยหมากต้นสูงลิบเขาก็ทำมาแล้ว

วันนั้นเขาถอดเสื้อเชิ้ตราคาแพงของตัวเองวางเอาไว้ ขึ้นพะองปีนขึ้นไปเอาตะขอเกี่ยวทะลายหมากลงมา จากนั้นก็แบกขึ้นบ่าเดินอาดๆ เอาเข้าไปเก็บให้ในครัว

เนื้อตัวของเขาพราวไปด้วยเหงื่อ เรือนกายของเขาไม่ได้งามอ้อนแอ้นปานพระเอกละครนอกเหมือนหลวงเลิศ มันกำยำเยี่ยงชายในทุ่งนาและบ่าวไพร่ที่ต้องใช้แรงงาน แต่กลับทำกลิ่นอกสั่นไม่ผิดกับการได้มองเห็นหลวงเลิศ

“ถ้าอิฉันเป็นสาวๆ นะเจ้าคะ อิฉันจะหวังฝากผีฝากไข้กับคุณทัพนี่ละเจ้าค่ะ” แม่เย็นบอกกับคุณหญิงลำเจียก เมื่อคราวที่เขาไปช่วยสอยหมาก

“แล้วคุณทัพเขาจะอยากให้คุณเย็นฝากผีฝากไข้ไหมนะ” ผินกระซิบกับจุกหัวเราะคิกคัก แต่แม่เย็นหูดีเลยแหนบเนื้อเน้นๆ ผินไปเสียทีหนึ่ง

วันนั้นกลิ่นมองตามแผงไหล่ของชายหนุ่มด้วยใบหน้าขมวดมุ่น เธอบอกกับตัวเองว่า คุณพี่เปลี่ยนไปมากเหลือเกิน  ส่วนวันนี้หลังจากที่เธอได้แลเห็นนิสัยใจคอของเขาอย่างถี่ถ้วน หญิงสาวก็อดบอกตัวเองไม่ได้ว่า เขาไม่เพียงสวยแค่ภายนอกแต่ยังสวยมาจากข้างใน จนกลิ่นไม่รู้จะเกรงเขา เกลียดเขา หรือรู้สึกอย่างไรดี

 

เลยสองยาม

ลมแล่นฉิวพัดม่านฉลุลายในห้องนอนกระพือพะเยิบพะยาบ กลิ่นเห็นทัพเที่ยงทรุดนั่งบนเตียง บิดตัวด้วยความเมื่อยขบ ระหว่างเอี้ยวตัวอยู่นั้น สายตาของเขาก็จับจ้องไปบนลวดลายสลักเสลาบนพนักหัวเตียง ชายหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้ลวดลายดอกพุดตาน สีหน้าฉงนสงสัย ก่อนมองเลยไปที่คันฉ่อง กลิ่นนึกว่าทัพเที่ยงจะเข้าไปลูบคลำคันช่องนั่นด้วย แต่เขากลับเขม่นมองมันอยู่ครู่ใหญ่ๆ

ทัพเที่ยงเหลียวซ้ายแลขวา กลิ่นอยู่ข้างเขานี่เอง แต่เขาก็มองเลยหล่อนไป

ห้องนี้ไม่ต้องใช้มุ้งเพราะเขาติดอุปกรณ์บางอย่างที่กลิ่นได้ยินเขาเรียกว่า ‘มุ้งลวด’ เตียงสี่เสาของเขาเลยมีเพียงม่านผ้าโปร่งรูดเป็นริ้วอยู่ข้างเสา ซึ่งนี่ก็เป็นเครื่องยืนยันว่าเขาเป็นคนละเอียดอ่อน ผิดรูปร่างใหญ่โตบึกบึนของตัวเองไปมาก

ครู่ต่อมาเขาเอนกายลงบนเตียง กลิ่นยืนมองอยู่ห่างๆ เมื่อเห็นทัพเที่ยงเข้าสู่นิทรารมณ์ไปแล้ว ร่างเลือนรางของกลิ่นก็ค่อยๆ ทึบตันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้

กลิ่นย่องกริบตรงไปหาทัพเที่ยงบนเตียงนอน มองอย่างจะหยั่งว่าเขาหลับแน่หรือไม่ เมื่อเห็นการหายใจสม่ำเสมอและการเผยอปากน้อยๆ หญิงสาวจึงทรุดกายนั่งลงข้างตัวเขา

เธอจ้องมองใบหน้าชายหนุ่ม ก่อนยกมือลังเลขึ้นทาบหน้าอก กลิ่นตัดสินใจฉับพลันยื่นมือกางอยู่เหนือศีรษะของชายหนุ่มด้วยอาการเกร็ง พลันคลื่นพลังเต้นเป็นตัวอยู่ระหว่างช่องว่างนั้น ทัพเที่ยงกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง ลมหายใจของเขาเริ่มติดขัด กลิ่นมองอย่างลุ้นระทึก หวังว่าเขาจะมองเห็นทุกสิ่งอย่างที่เธออยากจะให้เขาได้ไปเห็น…



Don`t copy text!