มหรสพเวรา บทที่ 2 : ใครในเรือน
โดย : คีตาญชลี แสงสังข์
มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้
ทัพเที่ยง พงษ์ไท เดินออกจาก ‘ห้องสิบ’ ห้องเรียนรวมในตึกคณะอักษรศาสตร์ตรงไปยังบันไดทางขึ้นซึ่งเรียกกันว่าบันไดนาค นิสิตสาวๆ กระซิบกระซาบเมื่ออาจารย์หนุ่มคล้อยหลัง เขาเป็นคนร่างสูงกำยำกิริยาสุภาพ ออกจะดุเล็กน้อยยามยืนนิ่ง แต่เมื่อเขายิ้มซึ่งหาได้ยากเต็มที มันก็ทำให้สาวๆ ที่ได้เห็นหัวใจเต้นแรง ซึ่งข้อนี้ดูเหมือนทัพเที่ยงจะไม่รู้ตัว เพราะคนที่เขามักจะอยู่ด้วยเสมอนั้นเจิดจ้าเหมือนดวงอาทิตย์ สำหรับทัพเที่ยงแล้ว แค่จักร ปิ่นพิมุกข์ขยับตัวก็น่ามองจนผู้ชายด้วยกันก็ไม่อาจเมินหนี
อาจารย์หนุ่มร่างใหญ่เดินมาหยุดยืนข้างหัวบันไดตรงที่พญานาคเจ็ดเศียรแผ่พังพานอยู่ เดือนพฤศจิกายนฤดูหนาวมาถึงอย่างเต็มตัว บรรยากาศในมหาวิทยาลัยผิดแผกไปจากฤดูฝนอันชุ่มฉ่ำ ตอนนี้ท้องฟ้าที่เคยหม่นมัวกลับมาใสกระจ่าง ฟ้าเป็นสีฟ้า และน่าประหลาดที่ลมหนาวทำให้ดอกชงโคหน้าตึก ดูโรแมนติกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ทัพเที่ยงเห็นนิสิตหญิงบางคนสวมเพียงเสื้อสีขาวตัวจิ๋ว เดินห่อไหล่กอดหนังสือเรียนเอาไว้กับอก ราวกับจะใช้มันป้องกันความหนาว จมูกและแก้มของพวกเธอถูกลมกัดจนแดงเรื่อ แม้ทัพเที่ยงจะไม่เคยรู้สึกอย่างหนึ่งอย่างใดกับลูกศิษย์ของตัวเอง แต่เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าพวกเธอดูน่ารักน่ามองมากขึ้นในฤดูกาลนี้
แล้วสายตาทัพเที่ยงก็เห็นรถบอร์กวาร์ด อิสซาเบลลา แล่นห้อตัดฝุ่นตรงเข้ามาหา จักร ปิ่นพิมุกข์ในชุดสูททันสมัยโบกมือทักทายก่อนก้าวออกจากรถ ชายหนุ่มพูดอย่างเร่งรีบว่า วันนี้คุณหญิงป้าของเขาจะใช้คนไปทำความสะอาดเรือนก้านมะลิ อีกวันสองวันเรือนก้านมะลิก็พร้อมต้อนรับสมาชิกใหม่อย่างทัพเที่ยง
“ผมแค่มาส่งข่าว แล้วก็ต้องรีบไปแล้ว” จักรว่า ส่งยิ้มชวนฉงนมาให้
“แล้ววันนี้คุณจักรจะเข้าไปที่นั่นไหมครับ” ทัพเที่ยงถาม แสร้งไม่สนใจรอยยิ้มนั่น
“ผมคงไม่เข้าไป วันนี้ผมมีนัดกับคุณสำราญ” เขายิ้ม “คุณสำราญ บอกอหนังสือพิมพ์สยามประชามิตร” เขาจงใจจ้องหน้าทัพเที่ยง เมื่อเห็นชายหนุ่มยังยืนนิ่ง เขาก็ทิ้งยิ้มยียวนเอาไว้เสียทีหนึ่งก่อนหมุนตัวเดินตรงไปหาบอร์กวาร์ดสีเงินคันโก้
จักรจากไปแล้ว แต่ทัพเที่ยงยังโดนตรึงอยู่ตรงนั้น ลมหนาวพัดพรูจนเสื้อเชิ้ตของเขาดูจะบางเกินไปสำหรับฤดูนี้ แต่ดูเหมือนทัพเที่ยงจะไม่รู้สึกรู้สมเมื่อเขามัวแต่ฉงนสงสัยว่าจักรไปรู้จักกับสำราญ อริญ ได้อย่างไรกัน
ตกบ่าย แม้ดวงอาทิตย์จะแผดเผาโลกแต่อากาศก็ยังไม่บรรเทาความหนาวลงไปได้เลย หลังจากเสร็จภารกิจ ทัพเที่ยงเดินออกจากมหาวิทยาลัยทางฟากถนนอังรีดูนังต์ เพื่อไปขึ้นรถรางที่สามย่าน คันแรกซึ่งแล่นเข้ามาเป็นรถรางชั้นสองราคา 25 สตางค์ ลดราคาลงมาจาก 40 สตางค์ ตามนโยบายปรับปรุงราคาของคณะรัฐบาลเพื่อลดค่าครองชีพประชาชน
ทัพเที่ยงเหวี่ยงตัวขึ้นรถ ได้ยินเสียงกระเป๋าร้อง “ขึ้นแล้วเดินใน กระไดห้ามยืนๆ” ไปตามธรรมเนียม เขาเดินเข้าไปนั่งแถวเดียวกับหญิงวัยกลางผมดัดลอนคนหนึ่ง หล่อนพันคอด้วยไหมพรมทักรูปหูกระต่าย คนในตู้โดยสารส่วนใหญ่สวมเสื้อกันหนาว มีแต่เขาที่สวมเพียงเสื้อเชิ้ตบางๆ เพียงตัวเดียว
ทัพเที่ยงผงกศีรษะให้หญิงผมดัดเป็นเชิงขออนุญาต เมื่อได้รับรอยยิ้มกลับมาเขาจึงลงนั่ง หูก็ได้ยินเสียงกระเป๋าร้องบอก “ตูดนั่ง ตังค์หยิบ…ตูดนั่ง ตังค์หยิบเลยจ้า” เขาควักกระเป๋าเตรียมเหรียญเอาไว้ ยิ้มไปกับเสียงร้องอารมณ์ดีของกระเป๋ารถรางคนนั้น
รถรางสายสามเสนนี้ไปไม่ถึงบ้านโชติกเสวก เพื่อให้ใกล้ทางเข้าบ้านทัพเที่ยงจำเป็นจะต้องต่อรถรางสายดุสิตอีกทอดหนึ่ง หากแต่เขาบอกตัวเองว่าคงจะเลือกการเดิน ทัพเที่ยงไม่ได้เสียดายเงินสลึง สองสลึง (1) เพียงแต่การรอรถรางที่วิ่งช้าเป็นเรือเกลือมันไม่ทันใจชายหนุ่มที่ยังมีขาแข็งแรงเช่นเขาเท่านั้นเอง
รถรางแล่นเอื่อย กระนั้นลมเย็นด้านนอกที่พัดเข้าใส่ก็ทำเอาหนาวสะท้าน ทัพเที่ยงได้ยินกระเป๋าตะโกนบอกทุกครั้งที่รถจอดตรงเสาไฟฟ้า ซึ่งมีป้ายหยุดรถรูปธงสามเหลี่ยมสีแดงมีดาวสีขาวตรงกลางติดอยู่ว่า ตลาดเก่า-ทรงวาด-ราชวงศ์ ซึ่งถ้านั่งย้อนกลับกระเป๋าจะสับเสียใหม่ว่า ราชวงศ์-ทรงวาด-ตลาดเก่า เขาไม่รู้ว่าใครเป็นผู้คิดวลีนี้ แต่การบอกเส้นทางมันช่างคล้องจองเหมาะเจาะ เข้าปากกระเป๋ารถรางดีจริงๆ
รถแล่นไปได้ไม่นานทัพเที่ยงก็ต้องลุกเมื่อเห็นหญิงชรากลุ่มหนึ่งขึ้นมาบนตู้โดยสาร เขาได้รับคำอวยพร “จำเริญๆ นะพ่อ” แทนคำขอบใจ แล้วได้นั่งอีกครั้งเมื่อผู้โดยสารส่วนใหญ่ลงจากรถบนถนนเยาวราชอันยาวเหยียด
ระหว่างรอลงยังป้ายหยุดรถที่ต้องการ ทัพเที่ยงหวนคิดถึงเรื่องจักร เขาจะไปคุยธุระอะไรกับสำราญ อริญหนอ หวังว่าเรื่องของทัพเที่ยงจะไม่ใช่หัวข้อสนทนาของชายทั้งสองในครั้งนี้
“คุณหญิงท่านพักผ่อนอยู่ คุณเย็นก็คงเอนหลังอยู่เหมือนกันขอรับ คุณจะขอเข้าพบหรือขอรับ” ชายชราที่ทัพเที่ยงจำชื่อไม่ได้ แต่เห็นเดินง่วนทำงานสวนอยู่เมื่อคราวก่อนเอ่ยถามเมื่อเดินเข้าบ้านเคียงกันมา
“แค่คิดจะไปกราบเรียนท่านว่าฉันจะมาดูเขาทำความสะอาด ท่านพักผ่อนอยู่ก็ไม่อยากรบกวน ถ้าฉันขอไปดูที่เรือนก้านมะลิ แล้วค่อยมากราบท่าน แบบนี้จะได้ไหม”
“ได้สิครับ คุณเป็นเพื่อนคุณจักรและก็จะย้ายเข้ามาอยู่ นังจุกกับนังผินถูเรือนอยู่คุณเดินไปดูได้เลยขอรับ”
ทัพเที่ยงพยักหน้ารับ “แล้วลุงชื่ออะไร”
“ชื่อสดครับ”
“ขอบใจนะลุงสด” ชายหนุ่มว่า ก้าวยาวๆ ไปตามทางเดินของบ้าน
บ่ายแก่…เรือนไม้ทรงขนมปังขิงยืนหลบอยู่หลังต้นจันใหญ่ ระหว่างทางเดินโรยกรวดต้นแก้วออกดอกสะพรั่ง กลิ่นหอมแรงของมันไหลปะปนมากับอากาศ ทัพเที่ยงนึกชมว่าดอกแก้วนั้นเล็กน่ารักอย่างเด็กหญิงแต่กลิ่นนั้นยวนใจเหมือนสาวสะพรั่ง เขานึกเลยไปว่า หากได้ย้ายเข้ามาอยู่ เขาจะเด็ดมันใส่แจกัน ให้กลิ่นของมันอบร่ำให้รางวัลจมูกอยู่ในห้องนั่งเล่น เอ…หรือจะปลูกมะลิใส่กระถางเอาไว้สักต้นดี ทัพเที่ยงคิดว่ามันคงจะเหมาะดีที่จะมีมะลิประดับบ้านเอาไว้
นึกถึงตรงนี้ทัพเที่ยงก็อดคิดถึงจักร ปิ่นพิมุกข์ไม่ได้ ถ้าไม่มีจักร เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะไปหาบ้านดีๆ เงียบสงบ ทำเลสะดวกแบบนี้ได้ที่ไหน เขาซึ้งในน้ำใจของจักรและก็นึกเสียดายว่า ใบหน้าใสสะอาดของจักรนั้นหากยิ้มเต็มเหยียด ดวงหน้านั้นก็ซื่อชวนมอง แต่จักรมักไม่ค่อยยิ้ม เขาชอบแค่นหัวเราะและทำยียวนอย่างคนหนุ่มเก๋ๆ ในหนังฝรั่ง ทัพเที่ยงเสียดายที่การประดิษฐ์ใบหน้าอย่างนั้นของชายหนุ่ม มักทำให้คนรอบข้างไม่เห็นถึงน้ำใจที่แท้จริง
คิดถึงตรงนี้รอยยิ้มของจักรเมื่อสองชั่วโมงก่อน ก็เข้ามารบกวนหัวใจของทัพเที่ยงอีกครั้ง…
ใต้รอยยิ้มยียวนนั้นทัพเที่ยงรู้ว่า ชายหนุ่มหนวดเรียวซ่อนบางอย่างเอาไว้ เขาคิดแล้วยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา ป่านนี้ชายร่างผอมท่าทางพื้นๆ ทว่าอ่านคนได้แม่นอย่างหาตัวจับยากอย่างสำราญ อริญ คงกำลังนั่งคุยอย่างออกรสอยู่กับจักร ปิ่นพิมุกข์ในร้านกาแฟสักร้านหนึ่งบนถนนเจริญกรุงแล้ว
แล้วพวกเขาคุยเรื่องอะไรกัน อันที่จริงทัพเที่ยงอยากรู้ว่าจักรไปรู้จักกับสำราญ อริญ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์สยามประชามิตรได้อย่างไรมากกว่า
“กรี๊ด…กลัวแล้วจ้า กลัวแล้ว”
มีเสียงผู้หญิงร้องลั่นมาจากเรือนก้านมะลิ ทัพเที่ยงชะเง้อมอง หูเขาได้ยินเสียงวิ่งตึงตัง ก่อนจะเห็นสาวใช้สองรายวิ่งหน้าตื่นตามกันออกมาจากประตูหน้าของเรือน คนหนึ่งหลับหูหลับตาวิ่งจนชนอย่างจังเข้ากับทัพเที่ยง เด็กสาวล้มกลิ้งลงไปกองกับพื้นหญ้าโดยที่เขาไม่มีโอกาสช่วยคว้าร่างนั้นไว้ได้ทัน
“กลัวแล้ว กลัวแล้วเจ้าข้า…”
เด็กสาวร่างแบนเหมือนกระดานซักผ้าหลับตาปี๋ พนมมือไหว้ หญิงอีกคนที่วิ่งตามกันออกมาต้องร้องเรียกอยู่หลายคำ หล่อนจึงค่อยๆ หรี่ตาขึ้นมองทีละข้าง
“อีจุก อีจุก นี่คุณทัพเที่ยงไม่ใช่ผีร้อก” เพื่อนที่มาด้วยกันเขย่าตัวบอก
“อ้อ…คุณทัพ…คุณทัพเที่ยงหรือเจ้าคะ” สาวรับใช้นางนั้นร้อง ก่อนตะกายขึ้นไปเกาะเพื่อนที่ยืนเยื้องอยู่ข้างหน้าชายหนุ่ม
“เกิดอะไรขึ้น” เขาถาม เด็กสาวร่างแบนซึ่งน่าจะเป็นเจ้าของเสียงกรีดร้องเมื่อครู่ส่ายหน้า เนื้อตัวสั่น
“เอ้า…แล้วเอ็งร้องทำไม” หญิงที่วิ่งออกมาด้วยกันถาม แต่เจ้าของเสียงก็ยังคงส่ายหน้า คราวนี้น้ำตาเอ่อ
“อีจุก ดูสิทำข้าตกอกตกใจวิ่งกระเจิงตามออกมาด้วย นี่ถ้าทำความสะอาดบ้านไม่เสร็จวันนี้ คุณเย็นเล่นงานเอ็งกับข้าตายแน่”
“ฉัน…ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว” หญิงสาวที่ตอนนี้ทัพเที่ยงรู้แล้วว่าชื่อจุกร้องไห้กระซิก
“เอ็งเจออะไร อย่าบอกนะว่า…เอ็งเจอ…” หญิงที่วิ่งตามหลังเหลียวกลับไปมองเรือนก้านมะลิ ทัพเที่ยงนึกเดาได้ว่ากิตติศัพท์เรื่องหญิงสาวห่มสไบที่ประมุขของบ้านบอกเล่าให้ฟัง คงจะเป็นเรื่องที่รู้กันดีในหมู่คนในบ้าน
“หยุด…อย่าพูดนะพี่ผิน” จุกร้อง พูดแทบไม่เป็นคำ “ฉันจะไปหาคุณเย็น ฉันไม่เอาแล้ว” ว่าได้แค่นั้นเด็กสาวก็ออกวิ่ง เพื่อนที่มาด้วยกันมองเลิ่กลั่กก่อนจะสาวเท้าวิ่งตามกันไปไม่หันหลังกลับ
ทัพเที่ยงมองตามสองร่างจนลับตา แล้วหันเข้าหาตัวบ้าน ชายหนุ่มก้าวอาดๆ ตรงไปยังบันได หัวใจของเขาเริ่มต้นทำงานหนักขึ้น จนรู้สึกได้ถึงแรงปะทะของมันกับผนังหน้าอก
มีอะไรข้างในกัน เขาคิด…แล้วก้าวขึ้นบันไดไม้สามขั้นไปอย่างระมัดระวัง
เสียงลั่นของไม้กระดานทำเขาสะดุ้ง ตามด้วยเสียงหน้าต่างเอี๊ยดอ๊าด ทัพเที่ยงทำใจดีสู้เสือเดินไปตามเสียง ก็พบว่าหน้าต่างแทบทุกบานไม่ได้สับขอ เขาค่อยๆ เกี่ยวขอเข้ากับห่วงยึดทีละบาน เมื่อครบแล้วเสียงสารพัดที่เขาได้ยินก็หายไปอย่างมีที่มา
เมื่อไม่มีเสียงของสิ่งใดแล้ว บ้านก็ตกอยู่ในความเงียบ
เงียบ…จนสงัด
ทัพเที่ยงสูดหายใจก่อนจะต้องกลั้นลมเมื่อได้ยินเสียงดังกรอกแกรกดังแว่วมาจากชั้นบนของบ้าน
ชายหนุ่มเงยหน้ามอง สูดหายใจแรงแล้วสาวเท้ายาวๆ ขึ้นบันไดไปราวกับว่า เขากลัวตัวเองจะเปลี่ยนใจในภายหลัง
โถงด้านบนสว่างด้วยประตูหน้าต่างแทบทุกบานเปิดอยู่ ทัพเที่ยงเงี่ยหูฟัง ตาก็กวาดมอง ก่อนจะเลือกเดินเข้าไปที่ห้องแรกทางซ้ายมือ
ในห้องทาสีขาวงาช้าง เหมือนฝากระดานด้านในทุกแผ่นของเรือนหลังนี้ ทว่ามันเป็นแค่ห้องสีขาวว่างเปล่า ปราศจากเครื่องเรือนใดๆ นอกจากถังสังกะสีใส่น้ำและผ้าขี้ริ้ววางทิ้งเอาไว้กลางห้องเท่านั้น
ประตูบานที่สองเป็นห้องถัดไปในฝั่งเดียวกัน มันเป็นห้องเล็กๆ แคบๆ มีเตียงนอนสำหรับคนเดียวและตู้เสื้อผ้าอีกหลังหนึ่ง ดูจากสภาพแล้วน่าจะเพิ่งทำความสะอาดเสร็จ เพราะพื้นกระดาษแผ่นใหญ่เป็นมันวาว หน้าต่างทุกบานสะอาดสะอ้าน เปิดออกไปสู่ระเบียงด้านนอก ทัพเที่ยงก้าวสำรวจ ตัวห้องสว่างไสวไร้กลิ่นเหม็นอับ มีเสียงนกเล็กๆ ดังสอดประสานกับเสียงลมพัดใบไม้ ให้ความรู้สึกรื่นรมย์จนเขาอดประณามประสาทอ่อนไหวของตัวเองไม่ได้
เหลืออีกหนึ่งห้อง ทัพเที่ยงหันกลับไปมอง แม้จะเห็นเพียงครั้งเดียวแต่เขายังรำลึกถึงเตียงหลังนั้นได้อย่างแจ่มชัด
ชายหนุ่มก้าวแผ่วตรงไปที่ประตูลูกฟักบานคู่ น่าประหลาดที่เขากลับรู้สึกขนหลังคอตั้งชันขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ บางทีมันอาจมีที่มาจากประสบการณ์เก่าๆ จากเรื่องที่เคยอ่าน เขาบอกตัวเองว่า –บ้านหลังนี้มันจะมีอะไรนอกจากนกหนูไปได้
ทัพเที่ยงดึงบานประตู ห้องนอนนั้นสว่างด้วยหน้าต่างทุกบานเปิดอยู่ บนพื้นเคลือบไปด้วยฝุ่น มองเห็นรอยเท้าเดินย่ำไปทั่วอย่างน่าขนลุก
เขาทบทวนความจำ ดูเหมือนเครื่องเรือนทุกชิ้นยังวางอยู่ในจุดเดิม สิ่งแปลกปลอมเพียงประการเดียว คือถังใส่น้ำสังกะสีที่หกตะแคงจนน้ำนองเต็มพื้น ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าไปหยิบผ้าขี้ริ้วซับน้ำ เมื่อเสร็จแล้วก็ใส่ผ้าเปียกเอาไว้ในถัง
ชายหนุ่มเดินสำรวจห้องก่อนเดินไปหยุดอยู่ที่ริมหน้าต่าง ลมด้านนอกเย็นฉ่ำ เขามองผ่านกิ่งก้านต้นจันใหญ่ลงไปข้างล่าง นอกจากบรรยากาศอันสงบร่มรื่นแล้วเขาก็เห็นสามร่างของหญิงต่างวัยละล้าละลังอยู่ตรงต้นแก้วดอกพราว
แม่เย็นและหญิงรับใช้อีกสองคนเดินเกาะกันมาเป็นแพ เขาได้ยินเสียงดุของผู้สูงวัยลอยมาตามลม หากแต่จับเนื้อความไม่ได้ ในที่สุดทั้งหมดก็พากันมายืนอออยู่หน้าประตูรั้วไม้หน้าเรือนก้านมะลิ ทัพเที่ยงมองผ่านม่านใบต้นจัน เขาโบกมือทักทายหวังให้คนข้างล่างขึ้นมาหา จุกเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขาเป็นคนแรกแต่แทนที่จะมอบยิ้มส่งคืน กลับเปลี่ยนเป็นการแหกปากดังลั่น ก่อนวิ่งป่าราบหนีไปเป็นคนแรก
ถึงเวลานี้ไม่มีใครฟังใคร ทั้งแม่เย็นและสาวรับใช้ที่เหลือก็กระย่องกระแย่งเบียดกันไปตามทางเดินโรยกรวด ทิ้งให้ทัพเที่ยงส่ายหัวมองดูเหตุการณ์ด้วยความอิดหนาระอาใจ
ตอนนี้ชายหนุ่มชักแน่ใจแล้วว่า –ของบางเรื่อง บางทีมันก็พิสูจน์ได้ แต่ความกลัวก็ทำให้เราไม่อยากพิสูจน์จนยอมเชื่อไปทางนั้น อย่างที่จักร ปิ่นพิมุกข์ว่าเอาไว้นั้นน่าจะเป็นจริง
“บ่าวเห็นผู้หญิงยืนเกาะขอบหน้าต่างอยู่จริงๆ นะเจ้าคะ” เด็กสาวปาดน้ำตา นั่งพับเพียบเล่าให้คุณหญิงลำเจียกฟังด้วยอาการขวัญหนีดีฝ่อ ตอนนี้พวกเขานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นที่ทัพเที่ยงเพิ่งเข้ามาเมื่อสามวันก่อน
“ก็คุณทัพเที่ยงบอกแล้วยังไงว่าเป็นคนโบกมือให้หล่อนมาจากข้างบน” คุณหญิงลำเจียกปราม แต่จุกยังยืนยันคำเดิม
“แต่บ่าวเห็นจริงๆ นะเจ้าคะ”
“ตาฝาดไปน่ะสิ”
“ก็…ก่อนหน้านี้บ่าวก็เห็นนะเจ้าคะ ตอนที่เข้าไปจะไปถูพื้นห้องใหญ่ พอวางถังน้ำลงกำลังจะทำความสะอาดแท้ๆ หางตาบ่าวก็เห็นเหมือนมีใครกำลังถือผ้าเช็ดกระจกอยู่ ตอนแรกก็นึกว่าพี่ผิน…”
“แล้วยังไง”
“พอหันไปว่างเปล่าเจ้าค่ะ ไม่มีใครอยู่เลย ห้องเงียบเชียบเลยเจ้าค่ะ”
“แค่นั้น แล้วหล่อนก็วิ่งร้องแรกแหกกระเชอลงมาข้างล่างเลยหรือยะ” แม่เย็นเอ่ยอย่างหมั่นไส้แกมตำหนิ เด็กสาวค้อมหลังลงกับพื้นห้องพูดเสียงอู้อี้
“คุณเย็นเจ้าขา บ่าวจำได้แม่นเลยว่าผู้หญิงคนนั้นนุ่งโจงกระเบนห่มผ้าสีจำปาเจ้าค่ะ”
“ว้าย…ไหนว่าเห็นแค่หางตาไงล่ะแม่คุณ” แม่เย็นทำท่าขนลุกขนพอง
“มันแวบๆ แต่คิดว่าจำได้เจ้าค่ะ”
“จริงรึนี่” แม่เย็นยกมือขึ้นโบกทำท่าจะลมจับ คุณหญิงลำเจียกมองต้นห้องคนสนิทแล้วส่ายศีรษะ
“ฮื้อ…แม่เย็นก็อีกคน เป็นผู้ใหญ่แท้ๆ ไม่ดูให้ดีเสียก่อน ทำกระต่ายตื่นตูมไปได้”
“คุณหญิงเจ้าขา อิฉันเห็นแม่เนี้ย” แม่เย็นใช้นิ้วจิ้มไปข้างกระหม่อมเด็กสาว “วิ่งป่าราบออกมาอย่างนั้น ก็ต้องวิ่งตามน่ะสิเจ้าคะ ใครจะรู้ว่าคุณทัพเที่ยงจะมาไม่บอกไม่กล่าว”
“ผมต้องขอโทษแม่เย็นด้วยที่ทำให้เข้าใจกันผิด” ทัพเที่ยงยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่า แล้วหันกลับไปไหว้ประมุขของบ้าน “แล้วก็ต้องกราบขออภัยคุณหญิงด้วยขอรับ เห็นว่าวันนี้จะทำความสะอาดกัน ผมอยากเข้ามาช่วย คิดว่าจะไปดูที่เรือนก้านมะลิเสียก่อนค่อยเข้ามากราบ คุณจักรสั่งมาว่าช่วงบ่ายคุณหญิงมักพักผ่อน ต้องคล้อยไปหลังบ่ายสาม จึงจะเป็นเวลาเหมาะที่จะมาขอพบขอรับ”
“เอาเถอะ…” คุณหญิงลำเจียกยิ้มเมตตา “บ้านนี้พ่อก็เช่าแล้ว ถ้าจะเข้าจะออกต้องมานั่งกราบนั่งไหว้กันทุกครั้งก็คงจะไม่ไหว แม่พวกนี้ตื่นตูมไปเอง เดี๋ยวจะให้คนไปตัดกิ่งไม้ออกเสียบ้าง จะได้ไม่มองผิดมองพลาดกันไปอีก”
ทัพเที่ยงพยักหน้าน้อยๆ รับคำ แล้วบอกคุณหญิงไปว่า เขาจะขอคนงานผู้ชายไปช่วยกันตัดกิ่งต้นจันและถางหญ้าที่ขึ้นรอบบ้านเพียงเท่านั้น ส่วนงานทำความสะอาดด้านบนนั้นเขาจะทำเอง จุกและผินมองชายหนุ่มด้วยความขอบคุณ แม้จะยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นจริงอย่างที่ใจนึกหรือเปล่า แต่หญิงรับใช้ก็ขยาดที่จะเข้าใกล้เรือนก้านมะลิเป็นหนที่สอง
ในชั้นแรกนั้นคุณหญิงลำเจียกไม่เห็นด้วย แต่เมื่อชายหนุ่มยืนยันด้วยน้ำเสียงสุภาพว่าเหลืองานในบ้านอีกไม่มาก ประมุขของบ้านจึงรับคำ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปส่งสายตาดุๆ ให้อาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับสาวรับใช้ของบ้าน
“แม่พวกกระต่ายตื่นตูม” เสียงแม่เย็นค่อน ก่อนจะค้อนแทนผู้เป็นนายให้เด็กสาวทั้งสองวงหนึ่ง
เด็กรับใช้ของบ้านตามแม่เย็นออกไปจากห้อง เมื่อเหลือเพียงทัพเที่ยงและคุณหญิงลำเจียก ประมุขโชติกเสวก ยังคงย้ำเพื่อความแน่ใจว่าเขายังยินดีจะย้ายเข้ามาอยู่แน่หรือไม่
“จะเปลี่ยนใจก็ไม่ต้องเกรงใจดอกนะพ่อคุณ”
“มิได้ขอรับคุณหญิง กระผมจะไม่ย้ายมาในกรณีที่คุณหญิงไม่สะดวกเท่านั้นขอรับ”
“ฉันน่ะสะดวก บ้านนี้มีแต่คนแก่กับผู้หญิง พ่อจักรเขาอยากให้คุณมาอยู่ก็คงจะเห็นแล้วว่าคุณนั้นพึ่งพาอาศัยได้ อีกอย่างเรือนที่ไม่มีคนอยู่ก็มีแต่จะโทรม ถ้าไม่เปลี่ยนใจก็มาเถอะ”
“ขอรับ” ทัพเที่ยงตอบรับ เขาอยู่สนทนากับคุณหญิงลำเจียกอีกครู่หนึ่ง แต่เมื่อถึงเวลาลากลับ เด็กจุกก็คลานกระหืดกระหอบเข้ามาหา รายงานว่า จักร ปิ่นพิมุกข์กำลังจะเข้ามาและขอร้องว่าถ้าทัพเที่ยงไม่มีธุระที่ไหนเขาอยากจะให้ทัพเที่ยงรอสักหน่อย
“คุณจักรฝากเรียนคุณทัพเที่ยงว่า จะเข้ามาคุยเรื่องคุณสำราญ…อ่า…สำราญ”
“สำราญ อริญ”
“ใช่เจ้าค่ะ ชื่อนั่นแหละเจ้าค่ะ”
เด็กจุกว่า ทัพเที่ยงพยักหน้ารับนิ่งๆ ส่วนใจนั้นเต้นโครมครามไปไหนต่อไหนแล้ว
เชิงอรรถ :
(1) ค่าโดยสารรถรางชั้นหนึ่ง ราคา 1 สลึงหรือ 25 สตางค์ ส่วนค่าโดยสารรถรางชั้นสองราคา 50 สตางค์