มหรสพเวรา บทที่ 7 : ส.อาสนจินดา

มหรสพเวรา บทที่ 7 : ส.อาสนจินดา

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้

 

เมื่อวันแห่ง ‘อรุโณทัยแห่งความอภิรมย์ ชวนชื่น’ เดินทางมาถึง ทัพเที่ยงบรรจงแต่งตัวด้วยสูทเต็มยศด้วยไม่อยากให้จักรขายหน้านั่นข้อหนึ่ง ข้อสองเขายังไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนขับรถของคุณหญิงลำเจียก และข้อสุดท้ายถ้าบังเอิญมีโอกาสได้คุยกับ ส.อาสนจินดา ซึ่งสำราญ อริญส่งข่าวมาว่าเขาเกริ่นๆ ถึงทัพเที่ยงและจักรมาบ้างแล้ว พระเอกนักเขียนจะได้รู้สึกเชื่อถือ ว่าเขาและจักรอยากสร้างหนังจริงๆ ไม่ได้เป็นเพียงพวกคลั่งดารา

หลังอาหารเช้าง่ายๆ พวกเขาก็พากันออกไปจากบ้านตรงไปโรงภาพยนตร์บรอดเวย์ด้วยรถเบนซ์คันใหญ่ของคุณหญิงลำเจียก

ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้มาเป็นพวกแรกและค่อนข้างสาย ทัพเที่ยงคาดว่าจะได้ยินเสียงบ่นปอดแปดของแม่เย็น แต่วันนี้แปลก หญิงชรากลับเดินอมยิ้มถือกระเป๋าตามหลังคุณหญิงและออกอาการปลื้มเมื่อมีคนเข้ามาทักคุณหญิงว่าหลานๆ คุณหญิงนั้นหล่อเหลือเกิน บางคนคุณหญิงก็แก้ว่าทัพเที่ยงไม่ใช่หลานแต่เป็นเพื่อนอาจารย์ของจักร แต่บางคนคุณหญิงก็เพียงพยักหน้ารับแล้วกล่าวขอบคุณ

จักรเอาใจผู้สูงวัยทั้งสองด้วยการชักชวนถ่ายภาพ ทั้งภาพเดี่ยว ภาพคู่และภาพหมู่กับคนรู้จัก จนคนที่มาเจอถึงกับกระเซ้าว่า คุณหญิงมีช่างภาพประจำตัว ทัพเที่ยงอยากจะถ่ายรูปให้จักรอยู่บ้างเหมือนกัน แต่เขาก็รู้สึกว่าอุปกรณ์ถ่ายภาพนั้นยุ่งยากเกินไป ไม่เหมือนกระดาษกับดินสออุปกรณ์คู่ชีพของเขาสักนิด

เมื่อถึงเวลาเริ่มงาน จักรและทัพเที่ยงก็ประคองคุณหญิงลำเจียกและแม่เย็นขึ้นลงบันไดไปยังที่นั่งซึ่งแทบจะเป็นแถวหน้าสุด รายการแสดงเริ่มตรงตามเวลา ระหว่างการแสดงจักรมักจะหันมากระซิบกับทัพเที่ยงด้วยความตื่นเต้น เขาบอกว่าอยากได้ชรินทร์ งามเมืองมาร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ ดูเหมือนจักรจะฝันไปไกล ทัพเที่ยงพลอยมีความสุขไปด้วย แม้ว่าตอนนี้พล็อตภาพยนตร์ของพวกเขา ยังไม่ลงตัวก็ตาม

ระหว่างการดูรายการสุดท้ายคือภาพยนตร์เรื่องขวัญใจคนจน จักรหันมากระซิบว่า

“เราจะได้คุยกับคุณ ส.ไหม”

“ต้องได้สิ” ทัพเที่ยงให้ความมั่นใจ

“คุณสำราญ บอกว่าเกริ่นกับคุณ ส.ให้แล้ว แต่จะเข้าไปยังไง รู้ยังงี้ให้คุณสำราญนัดเป็นเรื่องเป็นราวดีกว่า”

“ก็แล้วทำไมนายไม่ขอแบบนั้นไปเสียแต่แรก” ทัพเที่ยงเห็นด้วย

“โทษกันได้รึ นายรู้จักคุณสำราญมาก่อนนายควรจะคิดเรื่องนี้ได้ตั้งนานแล้ว”

“ก็กันรู้ว่าพวกเขาเป็นเพื่อนเมื่อไรกันเล่า” ทัพเที่ยงประท้วง

“ก็ถ้านายเงยหน้าจากพิมพ์ดีด แล้วหัดสอดส่ายสายตาซะบ้าง นายก็จะรู้เป็นแน่”

“กันเป็นแต่สอดกระดาษใส่เครื่องพิมพ์ดีดน่ะซี” ทัพเที่ยงยอมรับดื้อๆ

“กันก็ว่ายังงั้น แค่ทันมุกกัน นายก็เก่งจะแย่แล้ว”

บทสนทนาของสองสหายหยุดลงแค่นั้น เพราะเสียงกระแอมจากเก้าอี้ข้างๆ ดังขึ้นมาเหมือนจะบอกว่ารำคาญ

 

ทัพเที่ยงและจักรนั่งลุ้นเพื่อหาโอกาสได้แนะนำตัวกับ ส.อาสนจินดา แต่ก็ต้องซาบซึ้งว่าชีวิตไม่ใช่ของง่าย ความสุขเมื่อมันมาแล้วก็ทำให้เราหัวใจพองโตแต่น่าเสียดายที่มันมักจะแสนสั้น เพราะเมื่อหนังดำเนินมาถึงกลางเรื่อง แม่เย็นซึ่งกำลังสุขเต็มที่กับทุกรายการก็เกิดปวดท้องกะทันหัน นางงอตัวร้อยโอดโอยจนทั้งสี่ต้องพากันออกจากห้องฉายภาพยนตร์มายังโถงบันไดด้านนอก

“โอ๊ย…บิดเหมือนไส้จะขาด” แม่เย็นว่า หญิงสูงวัยโทษอาหารที่ทางโรงภาพยนตร์จัดเอาไว้ให้ ทำนองว่าไม่สะอาด ซึ่งจักรไม่เห็นด้วยนักเพราะไม่เห็นมีใครมีอาการอย่างเดียวกันอีก

“ไปโรงพยาบาลดีกว่าครับ” ทัพเที่ยงเสนอ

“แต่หนังยังไม่จบ” แม่เย็นยังห่วง

“ไปเสียก่อนเถอะ จะมากระบิดกระบวนอะไรแม่เย็น”

“ก็อิฉันกลัวทำคุณท่านหมดสนุกนี่เจ้าคะ”

“ฮื้อ…ฉันสนุกมาทั้งวันแล้ว รีบไปกันเถอะ พ่อจักรไปขับรถมารับข้างหน้านี่เลย” คุณหญิงตัดสินใจเฉียบขาด ชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่สารถีหันมากระซิบบอกทัพเที่ยงให้เขาอยู่ต่อแต่ทัพเที่ยงส่ายหน้า

“กันจะทำอย่างนั้นได้ยังไง นายอยู่สิกันจะขับรถให้เอง”

“นี่นายจะให้กันทิ้งแม่เย็นได้ยังงั้นเหรอ กันทำไม่ได้หรอก” จักรโวย

“กันก็ทำไม่ได้เหมือนกัน แม่เย็นดีกับกันอย่างกับอะไรดี” ทัพเที่ยงปฏิเสธ ระหว่างบทสนทนาสั้นๆ เสียงแม่เย็นก็ร้องโอดขึ้นมาอีก คุณหญิงลำเจียกที่เคยใจเย็นก็ร้อนขึ้น

“ไปคุยกันบนรถได้ไหมพ่อคุณ…”

เสียงคุณหญิงทำให้จักรรีบผละออกไป ทัพเที่ยงหันมาประคองหญิงชราพากันเดินตัวงอไปรอจักรที่หน้าโรงภาพยนตร์ ไม่ทันจะก้าวลงบันไดขั้นสุดท้ายจักรก็เทียบรถเข้ามาแล้ว

ทัพเที่ยงเข้าไปนั่งด้านหน้าคู่กับจักร เขาเหลียวมองอาคารสูงใหญ่ของโรงภาพยนตร์บรอดเวย์ด้วยความเสียดาย แต่ไม่กล้าแสดงออก

“เดี๋ยวเราค่อยย้อนกลับมา อาจจะยังทัน หนังยังเหลืออีกกี่นาที” จักรกระซิบเมื่อทั้งหมดเข้าไปนั่งในรถแล้ว

“ครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้” ทัพเที่ยงคำนวณ จักรสบตาเพื่อนร่วมชะตากรรมที่นั่งเคียงกันในเบาะด้านหน้า เขากระซิบทัพเที่ยงว่า ‘ทัน’ แล้วลงน้ำหนักเท้าไปบนคันเร่ง รถทะยานออกไปทันที

คุณหญิงลำเจียกและแม่เย็นร้องโวยวายมาจากเบาะหลัง แต่เหมือนจักรแสร้งไม่รู้

“ไม่ต้องห่วงขอรับคุณป้า หลานจะเหยียบมิด ไปถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด” เขาว่า แม่เย็นรีบตะโกนบอก

“อิฉันไม่เป็นไปแล้วค่า คุณจักรเจ้าขาเบาๆ หน่อยเถอะ…”

“ไม่ต้องเกรงใจผมหรอกแม่เย็น”

จักรตะโกนตอบ รถแล่นตะบึงไปปานม้าห้อ เสียงเดี๋ยววี้ดเดี๋ยวว้ายจากเบาะหลังดังสลับกันไปไม่หยุด ในที่สุดโรงพยาบาลก็ผุดขึ้นตรงหน้าในเวลาไม่ถึง 5 นาที จักรและทัพเที่ยงรีบลงจากรถไปประคองหญิงชราทั้งสอง เมื่อลงมายืนได้มั่นคงแล้วคุณหญิงลำเจียกก็ค้อนให้หลานชายวงโต ส่วนแม่เย็นนั้นทำท่าจะเป็นลมจนต้องดมส้มมือ

โชคดีที่แม่เย็นไม่เป็นอะไรมาก คุณหมอสันนิษฐานว่าคงจะแค่จุกแน่นเพราะอาหารไม่ย่อย ซึ่งน่าจะมาจากการรับประทานที่มากเกินไป คุณหญิงลำเจียกอยากให้นอนดูอาการ แต่พอแม่เย็นปฏิเสธจักรก็รีบเสริม

“บ้านเราสะดวกกว่าเยอะ” จักรว่า

“จริงด้วยค่ะ” แม่เย็นตอบรับ

“ตามใจก็แล้วกัน” คุณหญิงไม่คะยั้นคะยอ ดังนั้นจักรจึงใส่ตีนผีขับรถไปส่งผู้สูงวัยทั้งสองที่บ้าน ก่อนจะขับอย่างเจ้าแห่งตีนผีกลับมาที่โรงภาพยนตร์บรอดเวย์อีกครั้ง อย่างไรก็ตามทั้งคู่มาไม่ทันรายการสุดท้ายของ ‘อรุโณทัยแห่งความอภิรมย์ ชวนชื่น’ ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ยืนหงอยๆ อยู่หน้าประตูทางเข้าห้องฉายหนัง ตอนนี้เหลือเพียงเก้าอี้ว่างเปล่า กับเศษกระดาษร่วงเกลื่อนอยู่บนพื้น มีภารโรงชายนายหนึ่งกำลังเก็บกวาด เขาหันมามองทัพเที่ยงและจักรอย่างใส่ใจครู่หนึ่ง เมื่อชายหนุ่มทั้งสองไม่เอ่ยถามหรือขอความช่วยเหลือใดๆ เขาก็หันไปทำหน้าที่ของตัวเองตามเดิม

ทัพเที่ยงและจักรเดินคอตก ก้าวไปหยุดอยู่หน้าป้ายโฆษณารายการของวันนี้ จักรถอนหายใจยาว ก่อนค่อยๆ ก้าวถอยหลัง ตาก็จ้องใบปิดตรงชื่อภาพยนตร์ขวัญใจคนจนด้วยความอาลัยอาวรณ์ พลันทัพเที่ยงก็หน้าตื่น เขาร้องเรียกจักรแต่ไม่ทันเสียแล้ว ชายหนุ่มผิวสะอาดชนโครมเข้ากับใครบางคน จักรหันไปละล่ำขอโทษแล้วก็ตาค้างเมื่อเห็นว่าคนที่คีบบุหรี่ในมือและมองเขาอย่างคาดโทษอยู่นั้นคือ ส.อาสนจินดา

“สะ…ส.อาสนจินดา” จักรอุทาน

“พวกคุณมาดูไม่ทันงั้นรึ” สายตาคมกริบพูดอย่างคนอ่านเกม “ถ้ายังงั้นมาดูวันฉลองรัฐธรรมนูญสิครับ เราจัดงานแบบนี้กันอีกครั้ง”

“ปะ…เปล่าครับ เรามาดูกันทัน แต่ย้อนกลับมาอีกครั้งเพราะ…เพราะ…” จักรติดอ่าง

“ที่เราย้อนมาก็เพราะคุณสำราญ อริญน่ะครับ บอกว่าเราอาจจะขอพบอาจารย์ได้” ทัพเที่ยงรีบต่อความ เขาเรียกชายร่างโปร่งตรงหน้าซึ่งสูงกว่าจักรแต่เตี้ยกว่าทัพเที่ยงอย่างยกย่อง

พระเอกนักประพันธ์กวาดมือข้างที่คีบบุหรี่มาทางชายหนุ่มทั้งสองปากก็พูดว่า “จักร ปิ่นพิมุกข์ กับ วิราฬราช ราตรี ผมเข้าใจถูกใช่มิใช่” เขาถามด้วยคำเรียบง่ายแต่ทำคนฟังขนลุกซู่

“คะ…ครับ พวกเราเอง”

ทัพเที่ยงเป็นคนตอบรับ ตื่นเต้นจนมือเย็น ไม่คิดมาก่อนว่า ชายท่าทางดุเข้ม มีชื่อเสียงและเต็มไปด้วยความสามารถ จะใส่ใจรายละเอียดถึงเพียงนี้

ส.อาสนจินดาพยักหน้า หันหลังเดินนำออกไปด้านนอกโรงภาพยนตร์ เขาหันกลับมาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มรุ่นน้องยังยืนขาตายอยู่ที่เดิม

“ไหนสำราญว่าพวกคุณอยากจะคุยกับผม”

แค่นั้นทั้งจักรและทัพเที่ยงก็หน้าบาน ก้าวยาวๆ ตามพระเอกนักเขียนที่ได้ชื่อว่า ‘จองหอง’ ที่สุดคนหนึ่งออกไป

เขาไม่รู้ว่า ส.อาสนจินดาจะไปที่ไหน จากที่ทัพเที่ยงฝันจะก้าวตามชายผู้นี้ในฐานะคนเขียนหนังสือมาสู่การสร้างและกำกับภาพยนตร์ ตอนนี้เขาตื่นเต้นเหลือเกินที่กำลังก้าวเดินตามหลังชายผู้นี้อยู่จริงๆ

‘จองหองในที่นี้คือสมชายมันเป็นคนทระนง ผมก็ไม่ได้สนิทกับเขามากนัก แต่เขาไม่ใช่คนเย่อหยิ่ง และนับว่าเป็นคนชอบให้โอกาสคนคนหนึ่งทีเดียว’ คำของสำราญ อริญ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์สยามประชามิตรดังก้องในหู ทัพเที่ยงเห็นตามที่สำราญบอกกับพวกเขาแล้ว

 

ประตูสีขาวของเรือนก้านมะลิลอยเด่นเหมือนภาพลวงตาอยู่ในความมืด ทัพเที่ยงซึ่งจักรเพิ่งมาส่งหลังสองยามไปแล้วพยายามไขกุญแจขลุกขลักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดผัวะเซถลาผ่านกรอบวงกบเข้ามาในบ้าน กลิ่นที่ยืนมองอยู่ในระยะประชิดเกือบเผลอเข้าไปประคอง เธอลืมตัวว่าไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ กระนั้นชายหนุ่มก็ชะงักและแลมองมาในทิศทางที่กลิ่นยืนอยู่

ดวงตาเงาวับของเขาวางลงในตำแหน่งใบหน้าของกลิ่นได้พอดิบพอดี แม้เมื่อระยะเวลาผ่านไปชั่วครู่แกนการมองของเขาก็เลยใบหน้ากลิ่นไปทางด้านหลัง แต่มันก็สร้างสีหน้าประหลาดใจให้กับหญิงสาว เพราะเขาทำราวกับรับรู้ว่าหล่อนยืนอยู่ตรงนี้…

ทัพเที่ยงมองดูนาฬิกาแมงดา เกือบตีหนึ่ง เขายกมือคลึงกระบอกตา ลากขาพาร่างซวนเซตรงไปอาบน้ำ เขาใช้เวลาสั้นกว่าทุกครั้งในการจัดการธุระส่วนตัว เมื่อก้าวออกจากห้องน้ำ ชายหนุ่มชะงักเหมือนกำลังตรึกตรอง เขายกมือคลึงขมับเบาๆ สีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอน

เตียงสี่เสาวางเด่นเกือบกลางห้อง กลิ่นยืนมองเขาอยู่ข้างเสาเตียง ทัพเที่ยงมองเลยหล่อนไปขณะเดินไปเปิดหน้าต่าง กลิ่นได้ยินเสียงแมลงกลางคืนดังเซ็งแซ่ลอดผ่านเข้ามา จะว่าน่าฟังก็ได้น่ารำคาญก็ได้อีกเหมือนกัน แต่ทัพเที่ยงคงจะเห็นเป็นเรื่องน่าฟัง กลิ่นเห็นเขาเปิดโคมไฟบนโต๊ะข้างเตียงก่อนเดินไปปิดไฟดวงอื่นๆ แล้วกลับมาทิ้งตัวลงบนที่นอน

เขาเมามากน่ะใช่ แต่เขาเปิดโคมไฟไว้ทำไมกันนะ กลิ่นระแวง แต่อีกใจก็คิดว่าเขาอาจจะลืม

กลิ่นรอเวลา จ้องมองร่างที่นอนอยู่ด้วยท่าทางประหลาด ทัพเที่ยงไม่หนุนหมอน เขานอนหงาย ขากางออกเล็กน้อย ส่วนแขนนั้นกางพอประมาณและหงายฝ่ามือเอาไว้ การนอนนั้นดูผ่อนคลายก็จริงอยู่ แต่การทิ้งตัวชนิดนั้น มันดูเหมือนไร้เรี่ยวแรงยึดเหนี่ยวของกล้ามเนื้อ ราวกับท่าทางของ ‘ศพ’

เขาอยู่ในท่านั้นไม่ไหวติง กลิ่นใจจดใจจ่อรอเขาหลับ หญิงสาวย่อมกริบไปข้างเตียง ทดลองโบกมือไปมาตรงหน้าทัพเที่ยง โดยไม่ทันตั้งตัว ทัพเที่ยงลืมตาขึ้นฉันพลัน เขาคว้าข้อมือของกลิ่นแล้วออกแรงกระชากจนกลิ่นถลาลงไปนอนเคียงกัน วงแขนของเขารัดตัวกลิ่นเอาไว้แน่น ตาของทัพเที่ยงเป็นประกายวาว เขากระชากเสียงถาม

“บอกมา…เธอเป็นใครกัน”



Don`t copy text!