หน้ากากมยุเรศ บทที่ 1 : ครอบครัวบุหรงกาญจน์ (2)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

ราวจอภาพตัดขาดกลางอากาศ วิมลินหยุดคิดถึงเรื่องเก่าก่อนเมื่อภวัตผู้นั่งเงียบมาตลอดดันแว่นขึ้น เอ่ยเสียงเบา

“ถึงความจริงจะเป็นอย่างที่พูด แต่อิงบินไปนิวซีแลนด์ตามลำพังโดยใช้แค่เบาะแสซึ่งตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจริงหรือเท็จ ต่างบ้านต่างเมืองกับคน…ที่จะย้ำว่ายังเป็นแค่คนแปลกหน้าก็ได้ ถ้าเกิดอิงเป็นอะไรขึ้นมาล่ะ อย่างน้อยพาใครสักคนไปเป็นเพื่อนพวกเราคงไม่ห่วงขนาดนี้”

หญิงสาวฝืนยิ้ม เอ่ยไม่กี่คำก็โยนความผิดกลับมาที่เธอเรียบร้อย ภวัตรับมือยากกว่าปวินท์หลายเท่า “หาคนไปเป็นเพื่อนหรือคะ ถ้าอิงหลุดปากบอกใครสักแอะคงไม่ได้บินออกจากไทยด้วยซ้ำ”

รองประธานบริษัทอย่างประเสริฐหน้าเขียวคล้ำ ส่วนปวินท์เดินมาทุบโต๊ะปัง

“คิดปาขี้ให้พวกพี่หรือไง ยอมรับมาตรงๆ เถอะน่า ถ้าไปเจอกันก่อนคงเตี๊ยมอะไรต่อมิอะไรได้ง่าย เธออยากดันพี่ชายต่างแม่ขึ้นเป็นประธานเพื่อคุมบุหรงกาญจน์แทนพ่อ!”

“แล้วที่พี่ปริ้นค้านหัวชนฝานี่ เพราะอยากดันลุงเสริฐขึ้นเป็นประธานแทนพ่อหรือเปล่าคะ”

เสียงกระแอมดังขึ้นทันที วิมลินปรายตามองภวัตเจ้าของเสียง แม้อีกฝ่ายเก็บอาการเก่งแค่ไหนทว่าด้วยสนิทสนมกันมาแต่เด็ก หญิงสาวดูออกว่าเขาพยายามกลบเกลื่อนเสียงหัวเราะ ปวินท์เองก็ดูออกเช่นกัน เขาเลยหันเขี้ยวไปหาหนุ่มใส่แว่น

“เจ้าวัต แกเข้าข้างใครกันแน่”

“ในฐานะฝ่ายกฎหมายของบริษัทผมก็ต้องว่าไปตามกฎครับ” ภวัตเก่งนักเรื่องให้คำตอบที่เหมือนไม่ตอบ เขาเสไปถามวิมลินอีกว่า “อิงช่วยเล่าได้ไหมไปเจอเจคคนนั้นยังไง คุยอะไรกันบ้าง”

หญิงสาวแจกแจงจนเรียบร้อย หนุ่มใส่แว่นเปิดแฟ้มซึ่งวางตรงหน้าพลางสบตากับประเสริฐ เมื่ออีกฝ่ายผงกศีรษะให้ค่อยเอ่ยปาก “พี่พูดตรงๆ นะอิง กับคนที่กำลังรอนอกห้องนั่น พี่ต้องขอตรวจดีเอ็นเอเขา”

หญิงสาวเลิกคิ้ว ตั้งแต่ผ่านบานประตูนกยูงนั่นมาสมองเธอยังไม่ได้พักสักวินาที “ทำไมคะ”

“เพราะพี่อ่านแฟ้มประวัติเขาที่อิงส่งมาให้แล้วน่ะสิ อิงต่างหาก…ไม่เอะใจบ้างหรือไง”

“เฮ้ย ยังไงกัน” ปวินท์โพล่งขึ้น “ฉันเพิ่งมายังไม่เคยอ่านอะไรทั้งนั้น แกเล่ามาหน่อยสิวัต”

ภวัตดึงแฟ้มเข้าใกล้ตัว “ตั้งแต่ป้าผกาพาแคน…ผมหมายถึงเจคออกจากบ้านไป เธอหางานยากมากเพราะอย่างที่รู้เธอไม่มีญาติกับเพื่อนฝูง และ…เอ้อ ระดับการศึกษายังค่อนข้างต่ำ ชีวิตสองแม่ลูกลำบากจนเธอตัดสินใจไปทำงานฟาร์มที่นิวซีแลนด์ นายหน้าผู้ชักชวนรับประกันว่าเธอพาลูกไปด้วยได้”

“ทำงานฟาร์มนี่ยังไงหมายถึงพวกปลูกผักปลูกผลไม้งั้นใช่ไหม แล้วสามารถพาลูกไปด้วย อะไรจะง่ายขนาดนั้น”

“งานพวกนี้ต่างประเทศขาดแรงงานทุกปีนั่นแหละ แถมสมัยก่อนกฎระเบียบยังไม่เคร่งมาก ตอนเจคออกไปอายุเท่าไหร่นะ สิบสองสิบสามใช่ไหม เด็กผู้ชายโตขนาดนั้นพอทำงานได้บ้างเลยเหมือนมีแรงงานเพิ่มฟรีๆ นายจ้างบางคนถึงยอมอะลุ้มอล่วย และนายหน้ามั่นใจเพราะเคยทำเคสแบบเดียวกันมาก่อน ทีนี้พอป้าผกากับเจคไปถึงฟาร์มนั่นก็เจอผู้ชายไทยคนหนึ่ง เขามีลูกอายุไล่เลี่ยกับเจคพอดี คงเป็นเคสเดียวกับที่นายหน้าเคยส่งไปพร้อมลูกนั่นแหละ เด็กผู้ชายคนนั้นชื่อ…” ภวัตก้มอ่านแฟ้ม “ชื่อกังหัน ก็นะ…ต่างบ้านต่างเมืองภาษายังติดขัด เด็กสองคนเลยสนิทสนมเร็วมากตัวติดกันตลอด ฝ่ายผู้ใหญ่เองคงไม่ต่างกัน เพราะต่อมาป้าผกาก็พาลูกย้ายไปอยู่กับผู้ชายคนนั้น”

ปวินท์เบ้หน้า ทำท่าจะเปิดปากพูดซึ่งคงหนีไม่พ้นการกระแนะกระแหนผกา วิมลินจึงชิงเอ่ยตัดหน้า

“เรื่องต่อมาอิงรู้อยู่แล้วค่ะ ทุกอย่างดูเหมือนราบรื่นแต่โชคร้ายดันเกิดไฟไหม้ป่า ปกติแถวนั้นก็เกิดทุกปีแต่เผอิญปีนั้นลุกลามวงกว้างมากจนเผาที่พักคนงานวอด ป้าผกากับกังหันเสียชีวิต เจครอดมาแบบบาดเจ็บสาหัส หลังเหตุการณ์ตรวจสอบพบไฟป่าเกิดจากฝีมือคนแอบจุดไฟเล่น ประกอบกับฟาร์มแทบไม่มีมาตรการความปลอดภัยอะไรเลย กลายเป็นข่าวครึกโครมจนมีทนายอาสาช่วยเหลือผู้เสียหาย เจคกับแฟนใหม่ป้าผกาได้เงินจากการฟ้องร้องมากโข ทนายยังช่วยเหลือให้เจคได้เรียนต่อที่นั่นและกลายเป็นพลเมืองถูกกฎหมายในที่สุด มีอะไรน่าเอะใจหรือคะ”

ภวัตจิ้มนิ้วใส่กระดาษในแฟ้ม “ลองอ่านตรงนี้ใหม่สิ นักสืบที่อิงจ้างเขาหาข้อมูลมาได้ ตอนแรกที่พบศพเด็กผู้ชายคนไทยเขาถูกระบุว่าชื่อแคน”

ปวินท์เบิกตาโพลง รีบดึงแฟ้มไปดู “วัต แกสงสัยคนที่ตายจริงๆ แล้วอาจเป็นแคนงั้นสิ”

หญิงสาวแสร้งถอนใจ “ถ้าพี่ปริ้นอยากแต่งนิยาย เดี๋ยวอิงหากระดาษกับปากกาให้นะคะ”

“เอ๊ะยัยอิง พี่สงสัยไม่ได้รึ”

“จะสลับตัวคนมันแค่นึกก็ทำได้ซะที่ไหน เอาง่ายๆ พาสปอร์ตยังมีการเก็บลายนิ้วมือ ตรวจสอบทีเดียวรู้หมด อีกอย่าง…จะสลับตัวเพราะอะไร”

ปวินท์ทำหน้าลังเล สะกิดภวัตเพื่อขอความช่วยเหลือ หนุ่มใส่แว่นจึงพูดกับเธอว่า

“เอาทีละเรื่องนะ เหตุผลที่อยากสลับตัวน่ะมีแน่ ลองนึกดูสิ สมมุติถ้าป้าผกากับเจคตายหมด สิทธิ์ในการเรียกร้องค่าเสียหายของพวกเขาจะขาดตอนทันที เพราะลุงศลก็ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับป้าผกา ตามกฎหมายเธอกับเจคมีกันแค่สองคนไม่เหลือญาติทางอื่น”

“พ่อจดทะเบียนรับรองเจคเป็นบุตรเรียบร้อยนะคะ ทำเสร็จก่อนป้าผกาออกจากบ้านแน่ๆ อิงจำได้”

“ใช่ ลุงศลจดทะเบียนรับรองบุตรแล้วแต่ขั้นตอนหลังจากนั้นล่ะ ที่ต้องเอาทะเบียนรับรองบุตรไปแก้ไขเอกสารซึ่งเกี่ยวข้องกับตัวเด็กอีกที อย่างเพิ่มชื่อพ่อในทะเบียนบ้าน พวกนี้ลุงศลยังไม่ได้เริ่มสักอย่างป้าผกาก็หนีซะก่อนทุกอย่างจึงคาราคาซัง พูดง่ายๆ ตอนป้าผกาตาย เอกสารส่วนตัวของเจคไม่มีชื่อลุงศลเลย แฟนใหม่ของป้าผกาก็ไม่รู้จักลุงศลเหมือนกัน ข้อสรุปในช่วงเวลานั้นจึงเป็นอย่างที่พี่พูด สิทธิ์ในการเรียกร้องค่าเสียหายจะขาดตอน แล้วถ้าเกิดแฟนใหม่ป้าผกาฉุกใจขึ้นมาจับลูกชายตัวเองสวมรอยเป็นเจค เท่านี้เจคคนใหม่ก็เรียกร้องค่าเสียหายจากการตายของป้าผกาได้ ส่วนแฟนใหม่เรียกร้องจากการตายของกังหัน กลายเป็นผลประโยชน์สองเท่า”

วิมลินยกมือกอดอก “เอาละ สมมุติมันมีเหตุผลก็แล้วกัน แต่ยังไงการสลับตัวจะทำได้หรือ ในฟาร์มคนน้อยเสียที่ไหน คนรอบตัวน่าจะเอะใจบ้าง”

“ในฟาร์มไม่มีคนไทยคนอื่นอีก ที่เหลือจะหัวทองหัวดำก็คนละประเทศทั้งนั้น พวกเขาอาจรู้จักหน้าเด็กไทยสองคนที่ตัวติดกันแทบตลอดเวลา รู้ชื่อเด็กทั้งคู่ แต่ให้ชี้ชัดว่าคนไหนชื่ออะไรมันคงมั่วๆ บ้าง แฟนใหม่ป้าผกาก็ทราบดี ตอนที่คนแจ้งว่าเจคตายแต่กังหันรอดเขาถึงแย้งภายหลังว่าฝรั่งคนแจ้งจำเด็กผิด เท่านี้คนบนเตียงในโรงพยาบาลก็กลายเป็นเจคโดยปริยาย และจากประวัติการรักษา เจคมีแผลไฟไหม้ระดับสองโดยเฉพาะที่มือสองข้าง แผลระดับนั้นทำลายผิวหนังลึกถึงชั้นรอยนิ้วมือ กว่าจะหายดีก็หลายเดือน ตัดเรื่องตรวจสอบลายนิ้วไปมือไปได้เลย นอกจากนี้ยังเจ็บคอเพราะสูดดมควันไฟจนพูดแทบไม่ได้ หรือถึงพูดได้ก็ภาษาไทยล้วนๆ สื่อสารผ่านทางแฟนใหม่ของแม่เท่านั้น สมมุติเกิดเด็กคนนั้นคือกังหันล่ะ พ่อบอกให้ทำอะไรคงเชื่อฟังโดยดี” เขาสบตาลูกพี่ลูกน้องสาว “ดูไม่ค่อยเหมือนนิยายแล้วใช่ไหม”

วิมลินยังไม่ยอมแพ้ “แต่สถานทูตต้องตรวจสอบสิคะ คนไทยตายตั้งสองคน”

“พี่มีคนรู้จักในกระทรวงต่างประเทศ ติดต่อผ่านสองสามทอดกว่าจะวานให้คนที่สถานทูตนิวซีแลนด์ตรวจสอบย้อนหลัง ค้นกันทั้งคืนจนพอได้ความ สมัยนั้นมีคนไทยรับผลกระทบจากไฟป่ากันหลายคนในหลายพื้นที่ อย่างที่บอกไฟป่าคราวนั้นกินบริเวณกว้างมาก และเคสป้าผกาแจ้งข่าวถึงสถานทูตช้า กว่าทางนั้นจะเข้ามาก็มีทนายท้องถิ่นอาสาจัดการเคสให้แล้ว สถานทูตจึงแค่ดูแลห่างๆ เพราะงานล้นมือ ไม่มีการตรวจสอบยืนยันอะไรเลย”

คราวนี้วิมลินปิดปากเงียบ เธอส่งข้อมูลการสืบหาตัวตนเจคให้ภวัตเมื่อวาน อาศัยเวลาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงชายหนุ่มกลับสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมและวิเคราะห์ได้ถึงขนาดนี้ หญิงสาวยังจะเถียงอะไรได้อีก

ขณะเดียวกัน ปวินท์ที่ฟังไปพลิกแฟ้มไปพลันสะดุดเข้ากับภาพหนึ่งในนั้น จึงดึงมาส่องชัดๆ “นี่มันภาพถ่ายรวมของคนงานฟาร์มสมัยนั้นเหรอ”

“ใช่” ภวัตตอบรับ “เป็นภาพเดียวที่ถ่ายรูปเด็กทั้งสองคน”

“ดูแล้วกังหันก็คล้ายแคนจริงๆ ทั้งส่วนสูงทั้งหน้าตา ไหน…มีรูปล่าสุดไหม” เขาค้นแฟ้มก่อนหยิบมารูปหนึ่ง “ใช่คนนี้แน่หรือ เปลี่ยนจากตอนเด็กมากโขเดินสวนกันข้างนอกคงจำแทบไม่ได้ มิหนำซ้ำดูๆ ไปก็ไม่เหมือนลุงศลสักนิด”

“ถ้าพี่ปริ้นจะพูดแบบนั้น ตัวอิงเองก็ไม่เหมือนพ่อนะคะ” วิมลินแย้งเสียงเย็น ปวินท์ยิ้มเจื่อน

“พี่แค่ทักเรื่อยเปื่อยอย่าเก็บมาใส่ใจน่า เขาอาจออกไปทางแม่แบบเดียวกับอิงที่เหมือนยายละมั้ง ใช่ไหมพ่อ ผมเองจำหน้าป้าผกาไม่ได้แล้ว”

“พ่อไม่ได้พกแว่นมาจะมองอะไรเห็นล่ะ” ประเสริฐตัดบทพลางพูดกับหลานสาว “อิงคงฟังหมดแล้ว อย่าลืมสิพวกญาติๆ ใช่จะยอมรับเจคเต็มร้อย ทางเราขอยืนยันสักรอบนับเป็นผลดีต่อเขาด้วยซ้ำ แค่ตรวจดีเอ็นเอจะค้านทำไมหนักหนา”

วิมลินทำท่าจะโต้ตอบแต่แล้วกลับหยุดนิ่งไป ก่อนเริ่มเอ่ยอีกครั้ง

“ก็เอาตามลุงเสริฐเถอะค่ะ” จู่ๆ เธอกลับยอมถอยโดยดี “งั้นอิงเรียกเจคเลยนะคะ ลุงจะได้คุยกับเขาซะที”

 



Don`t copy text!