ร่างสลับอัปสรา บทที่ 2 : ความต้องการของสาวเมืองกรุง
โดย : กุลวีร์
ร่างสลับอัปสรา นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้เรื่องเยี่ยม จากโครงการอ่านเอาก้าวแรกรุ่นที่ ๒ โดย กุลวีร์ ที่กำลังจะเป็นละครในช่องวันเร็วๆ นี้ กับเรื่องของสาวบ้านที่ต้องจับพลัดจับผลูไปเป็นหญิงสาวตัวเก็งเวทีประกวดนางงามระดับชาติ ความอลวนอลเวงพลันบังเกิด นวนิยายสนุกๆ เรื่องนี้ มีให้อ่านที่อ่านเอาที่เดียว
**************************
– 2 –
บ้านปูนสองชั้น หลังคาทรงมนิลา ตัวบ้านทาสีขาวทั่วทั้งหลัง ตั้งอยู่ในเขตเมืองของกรุงเทพฯ หญิงสาวนอนหลับใหลบนเตียงนุ่มอย่างสุขสม หากเสียงโห่ร้องของขบวนขันหมากทำให้คนอยู่ในห้วงนิทรารู้สึกตัวตื่น หล่อนทำเป็นไม่รู้อีโหน่อีเหน่แล้วยังนอนต่อไปเพราะคิดว่าเจ้าบ่าวมาสู่ขอลูกสาวบ้านข้างเคียง
แต่ไม่นานเสียงเคาะประตูห้องนอนทำให้หล่อนต้องลุกเดินไปเปิดประตู
“มีอะไรคะแม่ มิกาขอนอนต่อนะคะ แล้วจะลงไป” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหน้าคนเคาะประตูซึ่งแต่งกายในชุดผ้าไหมไทยสวยงาม
“ตื่นได้แล้วลูก จำได้ไหม ว่าวันนี้บ้านเรามีงานมงคล”
หล่อนยังงัวเงียและได้ยินไม่ถนัด จึงถามแม่อีกครั้ง “งานมงคลหรือคะ”
“วันนี้ชาติชายมาสู่ขอหนูไปเป็นภรรยา แต่งตัวเร็วๆ เข้า เจ้าบ่าวมาอยู่หน้าประตูบ้านเราแล้วนะลูก”
คนกำลังจะเป็นเจ้าสาวยังตั้งตัวไม่ติด สิ่งที่ได้ยินทำให้ตาสว่างขึ้นทันที ยิ่งกว่าโดนแม่เอาน้ำเย็นมาสาดหน้าให้ตื่นซะอีก
เสียงโห่ร้องที่ได้ยินนั้น เป็นขบวนขันหมากมาสู่ขอลูกสาวบ้านนี้ ไม่ใช่ลูกสาวบ้านอื่น
“หนูต้องแต่งงานกับชาติชายหรือคะแม่”
“ใช่จ้ะ ลูกแม่ไปแต่งตัวสวยๆ นะ อย่าให้ทางนั้นรอนาน”
“ไม่ค่ะ หนูไม่อยากแต่งงานกับชาติชาย” แม่ไม่ฟังลูกสาว สั่งเด็กรับใช้ช่วยกันจับตัวหล่อนแต่งหน้าทำผมโดยไว
เขมิกาอยู่ในชุดไทยประดิษฐ์เตรียมพร้อมเป็นเจ้าสาวนั่งครุ่นคิด หล่อนกำลังถูกแม่จับคลุมถุงชนจริงหรือนี่ หญิงสาวไม่อยากแต่งงานกับชายผู้นั้น จึงลุกขึ้นยืนวิ่งไปยังที่หมาย เนื่องจากชุดที่หล่อนถูกบังคับให้ใส่อยู่นั้นยาวถึงข้อเท้า ทำให้ยากต่อการยกขาสูง แต่ความมุ่งมั่นที่จะหนีการแต่งงานทำให้หล่อนถกผ้านุ่งขึ้นสูงเหนือเข่า แล้วยกขาไปยืนบนขอบหน้าต่าง
ห้องนอนอยู่ชั้นสองคงไม่ถึงกับเสียชีวิต หล่อนยอมเจ็บตัวดีกว่าถูกจับแต่งงานกับคนที่ชาตินี้ก็ไม่มีความรักให้ แล้วพาตัวเองลงสู่ด้านล่าง
โครม!
หลังจากเสียงดังสนั่นทั่วห้อง หล่อนรู้สึกตัวและเจ็บตรงสะโพกขวา เมื่อลืมตาขึ้น หญิงสาวพบว่าตนนอนอยู่บนพื้นพร้อมกับผ้าห่มคลุมตัวไว้ เมื่อแหงนคอยังเห็นเตียงนอนปูด้วยผ้าสีฟ้าเข้ากับห้องจึงรู้ว่านอนตกเตียง
ไม่มีเสียงโห่ร้องของขบวนขันหมากเหมือนในฝัน คิดแล้วยังน่ากลัว ถ้าถูกจับแต่งงานจริงๆ
“นายชาติชายไม่มีวันได้เป็นเจ้าบ่าวของฉันแน่นอน” หล่อนพึมพำถึงคนที่แม่แนะนำให้รู้จักเมื่อเดือนก่อน
หญิงสาวหน้าเรียวรูปหัวใจ ปลายคางแหลมได้ทรงสวย โดดเด่นด้วยโหนกแก้มนูนสูงเสมอกันทั้งสองข้าง คิ้วเรียวยาวไปจนสุดหางตา ดวงตายาวรีมีประกายสุกใสซ่อนในตาดำ จมูกโด่งสันตรงยาวปลายแหลม ริมฝีปากบางเป็นกระจับงดงาม มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ผมสีดำขลับตรงยาวถึงกลางหลัง ผิวขาวนวลผุดผ่อง พยายามยันตัวลุกขึ้นยืน แต่ยังรู้สึกเคล็ดขัดยอกตรงสะโพกจึงเดินกะเผลกไปนั่งบนเตียงนอน
เขมิกานึกถึงวันแรกที่แม่อยากให้หล่อนแต่งงานกับชายผู้นั้น
บนโต๊ะอาหารมีเพียงแม่และลูกสาวเพราะสมาชิกในบ้านอีกสองคนยังไม่กลับมา แขไขมีสีหน้าเคร่งเครียด หลังจากพูดคุยโทรศัพท์กับเพื่อนสนิท
‘ลูกมิกาจ๊ะ จำป้าชุมสาย เพื่อนของแม่ได้ไหม’ น้ำเสียงผู้ให้กำเนิดฟังดูจริงจัง
หล่อนส่ายหน้า
‘จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ตอนที่มิกาเกิดมา ป้าชุมสายพาลูกชายวัยหกเดือนมาเยี่ยมแม่กับหนูด้วยนะ เราสองคนสัญญากันไว้ว่า เมื่อพวกลูกอายุครบยี่สิบปีจะให้แต่งงานกัน เมื่อเช้าทางนั้นโทรมาทวงคำสัญญา มิกาทำเพื่อแม่ได้ไหมจ๊ะ’
‘แม่จะให้มิกาแต่งงานกับลูกชายของป้าชุมสาย’ หล่อนตกใจและสรุปใจความสำคัญให้ตัวเองเข้าใจได้ง่ายขึ้น
แขไขพยักหน้ายืนยันคำกล่าวของลูกสาว
หล่อนยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคนที่แม่จะให้แต่งงานด้วย ชื่ออะไร หน้าตาเป็นยังไง ‘หนูยังไม่เคยเจอเขาเลยนะคะแม่’
‘ลูกเคยเจอชาติชายแล้วครั้งหนึ่งตอนอายุสิบขวบ ตอนนั้นป้าชุมสายพาเขามาหาหนูก่อนจะย้ายไปอยู่เชียงใหม่’
หล่อนอยากบอกแม่เหลือเกินว่า สิบปีผ่านมาแล้ว หนูจะจำได้ยังไง ถ้าเจอกันเมื่อปีที่แล้ว อาจจะจำหน้าอีกฝ่ายขึ้นมาได้บ้าง ‘สรุปว่าหนูเคยเจอนายชาติช่วย’
‘ไม่ใช่จ้ะ มิกา เขาชื่อชาติชาย’
‘นั่นละค่ะ หนูเคยเจอนายคนนั้นมาแล้วสองครั้งคือตอนหนูเกิดกับตอนอายุสิบขวบใช่ไหมคะ’
แขไขพยักหน้ารับอีกครั้ง
หล่อนถูกจองตัวตั้งแต่ออกจากท้องแม่มาได้ไม่กี่วันแล้วหรือนี่
‘จําชาติชายได้ใช่ไหม เด็กคนนี้น่ารัก ขยัน ช่วยพ่อแม่ทำงาน แม่ว่าเขาต้องดูแลลูกมิกาได้’
‘พอมีเค้ารางๆ ค่ะ ว่าหนูเคยรู้จักคนชื่อชาติช่วย เอ้ย! ไม่ใช่ ชาติชาย’
หล่อนพูดในใจ จะจำได้ยังไงขนาดชื่อยังเรียกผิดเรียกถูกเลย แล้วถามต่อ ‘ตอนนี้นายคนนั้นลงมาอยู่กรุงเทพหรือคะ’
‘ใช่จ้ะ พวกเขาเพิ่งซื้อบ้านหลังใหม่ที่กรุงเทพ อยู่ไม่ไกลไม่ใกล้จากบ้านเรา ป้าชุมสายโทรมาบอกแม่ อยากพาลูกชายให้มารู้จักกับลูกอย่างจริงจัง’
‘เขาจะชอบหนูหรือคะ ไม่ได้เจอกันนานสิบปี’ หล่อนภาวนาในใจว่าอย่ามาชอบกันเลย
‘ลูกแม่สวยขนาดนี้ ผู้ชายคนไหนเห็นแล้วปล่อยหลุดมือไปคงเสียดาย เพชรเม็ดงามที่พ่อกับแม่เฝ้าเจียระไน แม่ไม่ให้ไปอยู่ในมือใครง่ายๆ หรอกจ้ะ ถ้าอีกฝ่ายไม่ดีจริง’
‘ถ้าเขามาเห็นหนูแล้วไม่ชอบจะทำยังไงคะ’ หล่อนยังถามต่อและขอให้เป็นอย่างนั้น
‘ไม่มีทางจ้ะ มิกา เพราะแม่ส่งรูปของลูกไปให้ทางนั้นดูเมื่อเดือนที่แล้ว ชาติชายยังฝากบอกด้วยว่าชอบหนูมาก’ แขไขตัดความหวังหล่อนโดยฉับพลัน
‘อะไรนะคะ’ เขมิกาอยากโวยวายแต่พูดไปก็เท่านั้น แล้วเอ่ยต่อ ‘มิการับรู้เรื่องที่แม่จะให้แต่งงานกับลูกชายของป้าชุมสายเท่านั้นนะคะ หนูยังไม่รับปากว่าจะทำตามที่แม่ต้องการได้หรือเปล่า มิกาขอเจอตัวจริงของเขาก่อน แล้วจะให้คำตอบกับแม่ค่ะ’ หล่อนยอมผ่อนปรนเพื่อไม่ให้แม่เครียดจนเกินไป
‘ได้จ้ะ ป้าชุมสายคงพาชาติชายมาให้หนูรู้จักแน่นอน’
หล่อนยังงงงวยกับสิ่งที่ได้รับรู้จากปากผู้ให้กำเนิด ไม่คิดเลยว่าเกิดมาเป็นคนสวยทั้งทีจะเลือกคู่ชีวิตเองไม่ได้ ถูกมารดามัดมือชกให้แต่งงาน แต่เท่านั้นยังไม่พอ หล่อนยังถูกจับจองให้เป็นภรรยาของครอบครัวนั้นตั้งแต่เกิดมาได้ไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ เขมิกาสะเทือนใจกับเรื่องหลังมากกว่า
สามวันหลังจากหล่อนได้รับรู้ว่าแม่ต้องการให้แต่งงานกับลูกชายป้าชุมสายซึ่งเป็นเพื่อนของแม่ที่รู้จักกันมาเนิ่นนาน ในช่วงอาหารเย็น ทางฝ่ายนั้นจะพาลูกชายมารู้จักกันอย่างเป็นทางการ เมื่อถึงเวลานัดหมาย ครอบครัวของหล่อนอยู่กันพร้อมหน้า เพราะเป็นวันดูตัวว่าที่เขยของบ้านนี้
แขกมาถึงบ้าน มารดาชวนหล่อนมายืนต้อนรับ ภาพที่หญิงสาวเห็นคือสตรีดูมีอายุใส่ชุดบ่งบอกฐานะดี สวมสร้อยทองคำตรงคอและข้อมือ ยืนเคียงข้างชายหนุ่มตรงส่วนท้องกลมโตยื่นออกมาด้านหน้าอย่างเห็นได้ชัด ตัวสูงประมาณไหล่ของหล่อน หน้ากลม ผมสั้นเกือบติดหนังศีรษะ แก้มตุ่ยคล้ายอมสิ่งใดไว้ในปากตลอดเวลา คิ้วหนาดกดำเป็นเส้นตรง ตาตี่เล็กแทบไม่เห็นว่าตอนนี้กำลังลืมตาหรือหลับตา จมูกโต ริมฝีปากบางและกว้าง ผิวค่อนข้างขาว นี่เหรอว่าที่สามีในอนาคต หญิงสาวเห็นแล้วอยากจะเป็นลมล้มพับตรงนั้น แต่เสียงแม่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ดังขึ้นมาก่อน ‘สวัสดีป้าชุมสายกับชาติชายสิจ๊ะ ลูกมิกา’
หล่อนยกมือขึ้นไหว้เพื่อนของแม่และชายผู้นั้น เขมิกาฝืนส่งยิ้มให้อีกฝ่าย ทั้งที่อยากจะวิ่งหนีไปกรี๊ดดังๆ เพื่อระบายสิ่งอัดอั้นในใจ
‘มิกาจำผมได้ไหมครับ’ เป็นคำทักทายของชายตัวเตี้ยพุงพลุ้ย
‘จำไม่ได้ค่ะ’ หล่อนยอมรับออกมาตรงๆ แม้ในใจจะบอกว่าไม่เจอกันตั้งสิบปี จำได้ก็บ้าแล้ว แต่ถ้ารู้ว่าเขามีรูปร่างหน้าตาแบบนี้ อยากบอกเหลือเกินว่า ต่อให้เจอกันเมื่อวาน ก็ไม่อยากจะจำ
‘แต่ผมยังจำได้นะ ตัวจริงสวยกว่าในรูปที่แม่ให้ผมดูอีก’ ชาติชายพูดด้วยเสียงเริงร่า
หล่อนไม่สนใจคำพูดและรอยยิ้มของชายหนุ่มที่ส่งมาให้ แต่ต้องยิ้มรับแบบไม่เต็มใจ แล้วเดินเข้าบ้านนำแขกไปยังโต๊ะอาหาร
วันแรกที่ได้เห็นหน้าคนที่แม่อยากให้เป็นคู่ชีวิต หล่อนแทบกุมขมับ คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรให้ตนไม่ต้องแต่งงาน
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปยังหาทางออกไม่ได้ แม่ขอคำตอบทุกวัน แต่หล่อนยังให้คำตอบไม่ได้ เพราะเขมิกาเหมือนกับสาวทั่วๆ ไปที่มีผู้ชายในฝัน สามีของหล่อนต้องหล่อดูดีพอกัน ไม่ใช่อ้วนเตี้ยแบบนั้น ถ้าลูกชายของป้าชุมสายมีลักษณะเหมือนชายในอุดมคติ หล่อนคงยินดีที่จะแต่งงานด้วย ไม่ต้องลำบากใจมากขนาดนี้จนต้องเก็บเอามาฝัน
เสียงเคาะประตูทำให้เขมิกาหลุดออกจากภวังค์ความคิด
“พี่มิกา มินทร์ได้ยินเสียงดังในห้อง เกิดอะไรขึ้น” เสียงถามจากน้องชาย
เมื่อนั่งพักจนความปวดลดน้อยลง หญิงสาวลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปเปิดประตู พบชายหนุ่มหน้าตาคล้ายคลึงบิดา หุ่นดีอย่างกับนายแบบ ตัวสูงกว่าหล่อน สวมชุดนักศึกษา
“ไม่มีอะไรหรอก พี่ละเมอดิ้นตกเตียง” เขมิกาให้คำตอบแก่เขมินทร์
“เป็นอะไรมากไหมพี่”
“เจ็บตรงสะโพกนิดหน่อย”
“แม่ให้มินทร์มาปลุกพี่มิกา น้านางจะมาคุยธุระที่บ้าน” น้องชายหมายถึงน้าสาวที่ชอบมาหาเป็นประจำ
“มินทร์ไม่อยู่เจอน้านางพร้อมพี่เหรอ”
“ไม่หรอกครับ มินทร์ขอติดรถพ่อไปลงมหาวิทยาลัยด้วยเลย นัดติวกับเพื่อนก่อนเข้าเรียน” เขมินทร์พูดจบจึงรีบลงไปด้านล่าง เนื่องจากพ่อบีบแตรรถ
หล่อนปิดประตูห้อง รีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อลงไปพบน้าสาวตามคำสั่งของแม่
ขณะนี้เขมิกาขอหยุดเรียนระยะยาว เนื่องจากเลือกเข้าไปเรียนในคณะตามกระแสนิยม เมื่อเรียนไปช่วงหนึ่งรู้สึกไม่ใช่ทางของตนเอง จึงถอนตัวออกมา
ระหว่างที่ทาครีมตามร่างกาย หล่อนนึกถึงน้าสาวผู้นั้น เขมิกาเพิ่งค้นพบทางออกให้ตัวเอง อารมณ์เสียจากฝันร้ายกลับกลายเป็นแช่มชื่นขึ้นมาทันใด หญิงสาวเดินออกจากห้องนอนอย่างสบายใจ คิดหาวิธีอยู่หลายวัน หล่อนค้นพบเสียทีที่จะไม่ต้องไปเป็นภรรยาของผู้ชายอ้วนเตี้ยคนนั้น
หญิงวัยใกล้ห้าสิบ แต่งหน้าขาวเนียน ทาปากสีแดงจัด ใส่เสื้อผ้า ใช้กระเป๋ารองเท้ามียี่ห้อและราคาแพง ทรงผมซอยสั้นเผยให้เห็นใบหูชัดเจนคล้ายรองทรงของผู้ชาย ท่าทางกระฉับกระเฉงเดินเข้ามาในบ้านหลังนี้อย่างคนรู้จักสถานที่เป็นอย่างดี แขกผู้นี้เดินตรงไปหาหลานสาวในห้องนั่งเล่นทันทีโดยไม่ถามคนที่มาเปิดประตูหน้าบ้านให้
“สวัสดีจ้ะ หลานมิกาของน้า” หล่อนกำลังนั่งอ่านหนังสือในมือเงยหน้าขึ้นมองคนที่เอ่ยทักซึ่งมีโครงหน้าและรอยยิ้มคล้ายมารดา แต่ต่างกันแค่ทรงผม
เขมิกาลุกขึ้นยืนแล้วยกมือไหว้น้าสาว “สวัสดีค่ะ น้านาง”
“ตามสบายนะหลาน น้าแค่แวะมาเยี่ยม”
หล่อนรู้ว่าไม่ใช่แค่นั้น และจุดประสงค์จริงๆ ของแขกที่มาเยือนในวันนี้ถูกเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีรอ
“หลานมิกาเห็นโฆษณารับสมัครสาวงามสยามประเทศของปีนี้แล้วใช่ไหม ถ้าสนใจบอกน้าได้นะ”
มือนางเป็นพี่เลี้ยงสาวงามซึ่งกำลังเฟ้นหาคนสวยตามที่ต่างๆ เข้าเรื่องทันที เพราะตามตื๊อหลานสาวตัวเองให้เข้าประกวดมาตั้งแต่ปีที่แล้ว
“มิกาว่า น้านางถามแม่ดีกว่าค่ะ” ทั้งที่ความจริงหล่อนอยากตอบตกลง เพราะเห็นทางออกที่ไม่ต้องแต่งงาน
“น้าเห็นแววความสวยของหลานมิกา เมื่อไหร่จะยอมไปสมัครประกวดสาวงามกับน้าสักที”
“ไม่ใช่มิกาไม่อยากไปประกวดนะคะ แต่ถ้าแม่ไม่อนุญาต มิกาก็ไปกับน้านางไม่ได้ค่ะ”
เขมิกายอมรับว่าเมื่อปีที่ผ่านมา หล่อนไม่เคยสนใจเวทีประกวดสาวงามเพราะไม่อยากใส่ชุดโชว์เรือนร่าง โชคดีที่แม่ทัดทานไว้ หล่อนจึงเลี่ยงมาได้ แต่ครั้งนี้ต้องเข้าประกวดให้ได้เพื่อเป้าหมายบางอย่าง
“น้าอยากคุกเข่าลงไปกราบแม่ของหลานงามๆ สักที ปีนี้น้าหาสาวๆ มาหลายที่แล้ว แต่ยังไม่เจอคนไหนถูกใจเลยสักคน มีหลานสาวคนนี้แหละที่จะไปสู้กับคนอื่นได้ น้าเหนื่อยมากเลยนะ” คนพูดทำท่าเหนื่อยอ่อน มือข้างหนึ่งควานหายาดมในกระเป๋าถือ ยกขึ้นมาจ่อตรงจมูก สูดดมจนชื่นใจ
“น้านางคิดว่ามิกาสู้คนอื่นได้หรือคะ”
คนสูดยาดมเรียกเรี่ยวแรงกลับคืนมา มือนางขยับเข้ามานั่งใกล้หลานสาว แล้วยกมือข้างหนึ่งจับคางผู้อ่อนวัย หันหน้าหล่อนไปซ้ายไปขวา เพื่อพิศดูความงาม
“น้าผ่านเวทีประกวดมามาก เห็นสาวงามมาหลายคน หน้าตาอย่างหลานมิกา ขาวใส จมูกโด่งดวงตามีประกายแบบนี้ น้าเชื่อว่าต้องเตะตาคณะกรรมการแน่นอน หลานมิกาอาจเป็นตัวเต็งของปีนี้แน่ๆ ถ้าไปยืนอยู่บนเวที” หล่อนนั่งนิ่งให้น้าสาวเพ่งมองพินิจดูใบหน้า
มือนางจับตัวหลานสาวลุกขึ้นยืนแล้วหมุนตัว หล่อนไม่ขัดขืน สายตาของน้าสาวมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“ตัวสูงโปร่ง ร่างระหง ดูสง่า ใส่ชุดไหนคงสวยไปหมด หลานมิกาเดินให้น้าดูหน่อยสิ”
หล่อนทำตามอย่างว่าง่าย ก้าวขาไปข้างหน้าช้าๆ ห้าก้าว แล้วหมุนตัวเดินกลับมายืนอยู่ที่เดิม
“เดินพอใช้ได้ ต้องฝึกอีกหน่อยถึงจะดี”
ทั้งสองคนนั่งลงบนโซฟา เขมิกาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ “ถ้ามิกาเข้าประกวดต้องใส่ชุดว่ายน้ำใช่ไหมคะ”
“ใช่จ้ะ แต่ชุดว่ายน้ำที่เดินบนเวทีดูไม่โป๊ ไม่น่าเกลียดหรอกนะ ยิ่งหลานใส่ด้วยแล้ว น้าเชื่อว่าหุ่นอย่างมิกาดูดีแน่นอน ครั้งหนึ่งในชีวิตเราเลยนะ”
มือนางพูดให้หลานสาวคลายกังวล หล่อนยังไม่ได้พูดตอบกลับไปอย่างที่ใจนึก เสียงแม่ดังขึ้นแทรกเข้ามาก่อน “ครั้งหนึ่งในชีวิตลูกสาวของพี่จะโชว์ขาอ่อนให้ชาวบ้านประชาชีดูน่ะสิ”
“พี่แขก็คิดมากไป ชุดว่ายน้ำถ้าดูให้มันงาม มันก็งาม แต่ถ้าดูให้มันโป๊ มันก็โป๊ อยู่ที่เจตนาของคนมองมากกว่า แล้วสาวๆ ที่ใส่เดินบนเวที คนดูมองหุ่นที่มีทรงสวยเท่านั้นแหละพี่”
แม่รับฟัง แต่ยังไม่มีความเห็นใดๆ ออกมา เดินเข้ามานั่งข้างหล่อน
“พี่มีลูกสาวแค่คนเดียว ผิวพรรณที่เฝ้าทะนุถนอมมาตั้งแต่เกิด อยู่ดีๆ จะไปโชว์เนื้อหนังขาวๆ ให้คนอื่นดู พี่เห็นว่าไม่เหมาะไม่ควร” แม่หวงลูกสาวขึ้นมาทันที แล้วยังพูดต่อ “พี่คิดไว้ไม่มีผิด ว่าน้องสาวเข้ามาหาด้วยเรื่องประกวดสาวงาม”
“ไม่ใช่หรอกนะพี่แข น้องมาเยี่ยม มาพูดคุยกันตามปกติ แต่ที่หายหน้าไปเป็นเดือน น้องต้องตามหาสาวงามส่งเข้าประกวด พูดแล้วก็เหนื่อยใจ น้องยังไม่เจอคนไหนถูกใจเลย พี่แข” มือนางบ่นเรื่องเดิมให้พี่สาวฟัง แล้วยังพูดต่อ “พี่แขรู้ไหม ลูกสาวของพี่หรือหลานสาวของน้องคนนี้แหละ ถูกใจนางมาก อยากส่งเข้าไปประกวด ฉันถามหลานมิกาดูแล้วก็บอกว่ารอให้พี่อนุญาตเท่านั้นเอง”
แม่หันหน้ามองลูกสาว หล่อนยิ้มรับ ไม่มีคำปฏิเสธใดๆ
“จะให้ฉันไหว้พี่ก็ได้นะ ถือว่าช่วยน้องคนนี้ แล้วยังเป็นการสร้างโอกาสให้ลูกสาวของพี่ อาจมีแมวมองพาไปถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา หรือถ่ายละครที่พี่แขชอบดูด้วยนะ”
“ขอเวลาให้พี่คิดดูก่อน”
“อย่าคิดให้นานนะพี่แข สามวันจะปิดรับสมัครแล้ว ปีนี้น้องยังหาใครไม่ได้เลย แต่น้องรับรองด้วยเกียรติของพี่เลี้ยงสาวงาม ว่าจะปั้นหลานมิกาให้สวย มีออร่าที่สุด จนได้เป็นสาวงามสยามประเทศคนใหม่ให้ได้”
เมื่อปีก่อนที่หล่อนถูกมือนางขอให้ไปประกวดสาวงาม เขมิกากังวลมากในเรื่องชุดว่ายน้ำ จึงไปปรึกษาแม่ว่าไม่อยากใส่โชว์ให้ใครเห็น แม่บอกปฏิเสธน้าสาวไป แต่ครั้งนี้หล่อนยอมใส่ชุดว่ายน้ำเดินบนเวที ดีกว่าได้แต่งงานกับคนที่ไม่ใช่ชายในฝัน
“มิกาสงสารน้านางนะคะแม่ ปีนี้ยังหาใครส่งเข้าประกวดไม่ได้เลย” ลูกสาวพยายามพูดให้แม่อนุญาตสมัครเข้าประกวด
“ใช่จ้ะพี่ ถือว่าเห็นใจน้องสาวตาดำๆ คนนี้เถอะนะ”
“แล้วนี่จะอยู่ทานข้าวกลางวันด้วยกันไหม” แขไขเปลี่ยนเรื่องคุย
“ฉันฝากเรื่องไว้ให้พี่แขพิจารณา แต่ยังหวังว่าจะได้ข่าวดีจากพี่ วันนี้ต้องขอตัวก่อน คงตระเวนหาสาวๆ ส่งเข้าประกวด ถ้าปีนี้หาไม่ได้ฉันคงแย่แน่ ผู้ใหญ่ของบริษัทคงไล่ออกก็คราวนี้” มือนางพูดให้ตัวเองดูน่าสงสาร
“ถ้าโดนไล่ออกจริง ก็มาทำงานที่บริษัทของครอบครัวพี่แล้วกัน” แขไขบอกออกไป
“น้ากลับก่อนนะหลานมิกา พูดกล่อมแม่ให้ดีๆ บางทีอาจใจอ่อน” มือนางหันหน้ามาบอกหล่อน เพราะไม่อยากรับรู้งานของบริษัทที่พ่อและแม่เป็นเจ้าของกิจการ ซึ่งเป็นอย่างนี้ทุกที ตอนที่แม่เริ่มพูดถึงเรื่องงานในบริษัท
“น้องลาละพี่แข ไว้คราวหน้าจะมาเยี่ยมใหม่ หวังว่าจะได้ข่าวดีจากพี่นะ” มือนางพูดทิ้งท้าย ก่อนลุกขึ้นยืน ถือกระเป๋า แล้วก้าวขาเดินอย่างคนทะมัดทะแมงออกไปจากห้อง
มารดาขอไปดูอาหารกลางวันในครัว ส่วนหล่อนนั้นยังไม่รู้จะเอ่ยกับแม่อย่างไรกับสิ่งที่ตัวเองคิดไว้ จึงหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ
เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วโมง แขไขอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากเตรียมมื้อกลางวันเสร็จเรียบร้อย มารดาเดินยิ้มร่าลงมาจากชั้นบน จนลูกสาวอดทักขึ้นมาไม่ได้ “วันนี้แม่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก มิกา แค่วันนี้แม่มีความสุข” คนพูดซึ่งมีหน้าตาอ่อนกว่าวัย เส้นผมยาวถึงไหล่ สีหน้าแจ่มใสกำลังเดินไปยิ้มไป
หล่อนคิดว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแต่ยังคิดไม่ออก เดินตามหลังมารดาไปยังโต๊ะอาหาร
หากความสงสัยในเรื่องแรกยังไม่กระจ่างใจดี ความสงสัยเรื่องใหม่เริ่มเข้ามา เมื่อเห็นจานอาหารจำนวนมากบนโต๊ะ
“กับข้าวเยอะจัง ทานแค่สองคนไม่ใช่เหรอคะ หรือพ่อกับมินทร์จะเข้ามาทานข้าวด้วยกัน”
แขไขยังไม่ยอมตอบคำถาม เดินเข้าไปนั่งประจำที่ของตัวเองอย่างสบายใจ แต่ลูกสาวยังยืนจ้องมองมารดาอยู่อย่างนั้นไม่ยอมลงนั่งบนเก้าอี้ จนผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้น “ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้นมิกา วันนี้มีคนพิเศษของแม่มาทานข้าวกลางวันร่วมกับพวกเรา”
หล่อนได้ยินคำตอบของแม่จึงลงนั่ง หากยังคิดไม่ออกว่าคนพิเศษของแม่ที่พูดถึงนั้นเป็นใคร ถึงทำให้มารดามีความสุขสบายใจมากมายขนาดนี้
เขมิกาลงนั่ง ก้นสัมผัสเบะเก้าอี้เพียงชั่วพริบตา เสียงกริ่งของบ้านดังขึ้น
มารดารีบเดินออกไปรับผู้มาเยือน
ระหว่างรอลุ้นว่าคนผู้นั้นเป็นใคร หล่อนจำเป็นต้องกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อเห็นอาหารในจาน
“คนพิเศษของแม่มาแล้วจ้ะ มิกา” เสียงมารดามาก่อนตัว หล่อนหันหน้าไปมองแล้วเจอคนผู้นั้น
“นายชาติช่วย” หล่อนเผลอพูดอย่างลืมตัว
“สวัสดีครับ มิกา ผมชาติชายครับ” เขาแนะนำตัวเอง
ทำไมหนอ หล่อนไม่คิดว่าแขกของแม่จะเป็นผู้ชายอ้วนเตี้ย ตาเล็กคนนี้ อยากถามเหมือนกันว่าหลับตาเดินก็ได้ด้วยเหรอ
ตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอตัวจริง แม่พูดถึงนายคนนี้เข้าหูทุกวัน ให้ลูกสาวเห็นดีเห็นงามด้วย แต่หล่อนไม่คล้อยตามแน่นอน เพราะนายชาติชายห่างไกลหลายล้านโยชน์จากลักษณะของหนุ่มในฝัน หล่อนยังอยากเป็นเจ้าสาวของผู้ชายคมเข้ม หน้าตาหล่อเหลา ร่างสูงและกำยำ น่าควงไปไหนมาไหนให้คนอื่นอิจฉา ยิ่งมีแผงอกน่าซบด้วยแล้ว หล่อนยิ่งถูกใจ แต่ถ้าเป็นชายผู้นี้ที่แม่เลือกให้ หล่อนยอมนอนแล้วไม่ตื่นมาอีกเลยจะดีกว่า เหมือนดังเจ้าหญิงนิทราที่รอหนุ่มรูปงามมาจุมพิตแล้วค่อยฟื้นมาใช้ชีวิตอันแสนสุข
“สวัสดีค่ะ” หล่อนยกมือไหว้อีกฝ่ายไปโดยไม่รู้ตัว
“ไม่ต้องไหว้ก็ได้ลูก อายุห่างกันแค่ไม่กี่เดือน” แม่บอกลูกสาวและหันไปบอกคนที่ไม่ใช่แขกของหล่อน “ทำตัวตามสบายนะชาติชาย คิดว่าเป็นบ้านตัวเอง อนาคตคงชิน บ้านนี้ยินดีต้อนรับเสมอ”
แม่เชื้อเชิญแขกเต็มที่ คงอยากได้ผู้ชายคนนี้เป็นลูกเขยจริงๆ ถ้าหล่อนมีน้องสาวอีกคนจะยกผู้ชายคนนี้ให้ หากมีแต่น้องชาย หรือจะให้แต่งเข้ามาเป็นเมียนายเขมินทร์ หญิงสาวนึกเล่นๆ เผลอขันออกมาเบาๆ แต่ไม่รอดพ้นสายตาผู้เป็นแม่
“ตลกอะไรหรือ มิกา”
“ไม่มีอะไรค่ะแม่ มิกาแค่คาดไม่ถึง ว่าคนพิเศษของแม่จะเป็นชาติชาย”
“มิกา ตัวผอม ผมว่าเข็มขัดน่าจะคาดถึงทุกเส้นนะครับ” ชายหนุ่มพูดแทรกขึ้นมา
หญิงสาวมองหน้าเขา อยากบอกเหลือเกินว่า มุกตลกไม่เรียกเสียงฮาแล้วยังพาให้เครียดเพิ่มอีก
“แม่เชิญชาติชายมาทานข้าวกลางวันในวันนี้ แม่อยากให้สองคนรู้จักกันมากขึ้น”
หลังคำพูดของมารดา แขกที่แม่เชิญมานั้นส่งยิ้มหวาน ตาเชื่อม มาทางหล่อน หญิงสาวเห็นแล้วขนลุกจึงลูบแขนตัวเอง
“หนาวรึ ลูก”
“เปล่าค่ะ มิกาหิวข้าวจนแสบท้อง กินข้าวกันดีกว่าค่ะ”
“กินเยอะๆ เลยนะ ชาติชาย ไม่ต้องเกรงใจ ถ้าถูกปากก็มากินที่นี่บ่อยๆ ได้”
“กับข้าวหน้าตาน่ากินจังเลยครับคุณป้า รสชาติคงอร่อยไม่แพ้กัน” เป็นคำยอของเขา
“ป้าทำเองนะจ๊ะ ไม่เชื่อถามมิกาสิ”
หล่อนแค่ยิ้มให้ เพราะไม่อยากพูดคุยด้วย ระหว่างมื้อกลางวันบนโต๊ะอาหารผ่านไป โดยที่ไม่มีใครพูดคุยกัน หล่อนรำคาญรอยยิ้มและสายตาของผู้ชายฝั่งตรงข้าม กินไปก็บ่นในใจไป จะมองฉันทำไหม แต่หญิงสาวทำเป็นไม่รับรู้ใดๆ สนใจแต่จานข้าวตน
หลังทานข้าวเสร็จ แม่ทิ้งให้หล่อนนั่งคุยกับชาติชายเพียงสองคน ทั้งสายตาและท่าที เขมิกาพอจะรู้ว่าชายคนนี้พอใจในตัวหล่อน หญิงสาวอยากจะลุกหนีไปให้ไกล หรือจะทำเหมือนในฝันไปกระโดดจากหน้าต่างในห้องนอนให้กระดูกหักเพื่อยืดเวลาแต่งงานออกไป ไม่ได้สิ! ถ้าชายคนนี้มาเฝ้าไข้ก็คงหนีไปไหนไม่พ้น
หญิงสาวทำได้แค่ยิ้มให้บ้าง พูดคุยพอเป็นพิธีเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่ารังเกียจ ทั้งที่ใจจริงจะรู้สึกอย่างนั้นก็ตาม หล่อนโล่งใจขึ้นมาเมื่อชาติชายขอตัวกลับ ยิ่งได้พูดคุยและอยู่ใกล้ ยิ่งรู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่อยากได้มาเป็นเจ้าบ่าว
หล่อนต้องพูดกับแม่เสียที นี่คงเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ไม่ต้องแต่งงาน
“แม่คะ มิกามีเรื่องจะพูดด้วย” เมื่อเห็นมารดาเดินเข้ามาในบ้าน หลังจากออกไปส่งแขกคนพิเศษ
“มิกายอมแต่งงานกับชาติชายแล้วใช่ไหมลูก แม่ดีใจจังที่คำสัญญาของสองบ้านจะเป็นจริง” หล่อนอยากทึ้งผมตัวเอง เมื่อแม่คิดไปอีกทางซึ่งไม่ตรงกัน
ทั้งที่ไม่อยากให้แม่ผิดหวัง แต่หญิงสาวต้องยื่นข้อเสนอบางอย่าง เพราะรู้ว่ามารดาหวงลูกสาวคนนี้มาก “ถ้าแม่ไม่ให้มิกาเข้าประกวดสาวงามสยามประเทศ มิกาจะไม่ยอมแต่งงานกับชาติชาย”
แขไขเบิกตากว้าง อาจตกใจกับคำพูดของลูกสาว จึงถามย้ำอีกที “ลูกมิกาพูดว่าอะไรนะ”
หล่อนเอ่ยช้าๆ ชัดๆ “มิกาจะไม่แต่งงานกับใครทั้งนั้น ถ้าแม่ไม่ยอมให้มิกาประกวดสาวงามสยามประเทศในปีนี้”
แม่ยืนนิ่ง คิดแค่ช่วงสูดหายใจเข้าลึกแล้วพ่นลมหายใจออกมาช้าๆ ทั้งที่หล่อนคิดว่าแม่จะขอเวลาตัดสินใจนานกว่านี้ “แม่จะไม่ยอมเสียคำสัตย์ที่ให้กับครอบครัวป้าชุมสาย แม่ยอมให้มิกาเข้าประกวดแลกกับมิกาต้องแต่งงานกับชาติชาย อีกอย่างเป็นการช่วยน้านางด้วยที่ไม่ต้องตระเวนหาคน”
เขมิกาไม่คิดเลยว่าแม่จะตกลงง่ายดายขนาดนี้ ทางออกที่หล่อนค้นพบถูกมารดาปิดประตูใส่แล้วตอกตะปูลงไป หากเท่านั้นยังไม่พอ แม่โบกปูนทับไม่ให้ออกไปไหนได้อีก
หญิงสาวงงงัน หลังจากที่แม่ปิดทางออกไม่ให้เดินต่อไป หล่อนยังคิดหาวิธีอยู่ในใจ จะยอมถอยไม่ขอเข้าประกวดคงไม่ได้ เพราะเป็นคนยื่นข้อเสนอเอง
“แม่ไม่หวงลูกสาวคนนี้ที่คอยเฝ้าทะนุถนอมเลี้ยงดูมา จะยอมให้คนอื่นเห็นขาอ่อนของหนูหรือคะ”
แขไขหัวเราะเบาๆ “ตอนนี้แม่ไม่หวงแล้วจ้ะ มิกากำลังจะมีคนมาจับจองเป็นเจ้าของ แต่ก่อนที่แม่หวง กลัวจะไม่มีใครมาขอหนูแต่งงาน”
เขมิกาถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม ที่ยังหาทางออกไม่พบ แล้วความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ราวกับค้นพบค้อนขนาดใหญ่ใช้ทุบกำแพงปูนที่แม่โบกไว้ทำให้หล่อนมีทางเดินไปต่อ “ถ้ามิกาไม่ได้ตำแหน่งสาวงามสยามประเทศ มิกายอมแต่งงานกับชาติชายทันทีค่ะ”
“ได้จ้ะ แม่ไม่เชื่อหรอกว่าลูกสาวของแม่จะไม่ได้มงกุฎกลับมา เตรียมตัวเป็นเจ้าสาวได้เลย”
มารดาอาจคิดผิดเพราะคนอย่างหล่อน ถ้าหวังอะไรแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด คิดจะหนีต้องหนีไปให้สุดทางเช่นกัน
หลังจากคุยตกลงกับแม่เรียบร้อยแล้ว การประกวดสาวงามปีนี้จะชี้ชะตาชีวิตของหล่อน เขมิกาโทร.บอกข่าวดีกับน้าสาว เสียงร้องดีใจของคนปลายสายซึ่งสมใจตามที่มาดหมายไว้
วันรุ่งขึ้นมือนางพาหล่อนไปสมัครเข้าประกวด ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขมิกาตั้งใจเรียนรู้ ฝึกซ้อม ดูแลผิวพรรณ รูปร่าง ตามคำแนะนำของน้าสาวอย่างจริงจัง เพื่อไม่ต้องเป็นเจ้าสาวของชายอ้วนลงพุงผู้นั้น
หญิงสาวไม่รู้เลยว่าชะตาชีวิตของตัวเองพลิกผันมากกว่าที่คิดไว้ หลังจากที่ได้ไปยืนบนเวทีประกวดสาวงามสยามประเทศ ไม่ใช่แค่การจะไม่ได้เป็นเจ้าสาวของชายผู้นั้นตามความต้องการของหล่อน แต่มีอะไรอีกหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล