สาปแสงรัก บทที่ 6 : คลื่นความเจ็บปวด

สาปแสงรัก บทที่ 6 : คลื่นความเจ็บปวด

โดย : ตวงทิพย์ ยุวชิต

Loading

สาปแสงรัก โดย ตวงทิพย์ ยุวชิต เรื่องรักของผู้ชายธรรมดาที่ต้องคำสาปที่ว่า เมื่อพบรักแท้จะพบแต่ความทุกข์ทรมานไม่รู้จักจบสิ้น “อานุภาพ” ชายที่ไม่มีพลังอำนาจเหมือนชื่อของเขาเลย แถมยังไม่มีของวิเศษ เวทย์มนตร์คาถา แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้กับแรงอาฆาตพยาบาทที่สาปส่งข้ามภพข้ามชาติได้ ติดตามเอาใจช่วยเขาได้ในอ่านเอา anowl.co

“อ้ายจะไปแล้วนะครับอาจ๋า” อานุภาพถือวิสาสะเข้าไปในห้องนอนของอา เพราะอาไม่ยอมลงไปรับประทานอาหารเช้าร่วมกัน ชายหนุ่มเดาออกว่าอาหลบหน้าเพราะโกรธเขา หลังจากเมื่อคืนนี้เขาบอกว่าวันนี้จะกลับไปเริ่มงานที่เกาะเดือนดับ

อาจารีเห็นแล้วว่าหลานชายเข้ามาในห้อง เธอเดินหนีไปนั่งลงบนเตียง และพูดโดยไม่หันกลับมามอง “เดินทางดีๆ ระวังตัวให้ดีด้วย”

“อาจ๋า…” หลานชายโอดครวญเมื่อเห็นท่าทีของอา “อาจ๋าโกรธอ้ายจริงๆ เหรอฮะ” ชายหนุ่มนั่งลงข้างๆแล้วกอดเอวอาอย่างออดอ้อน

ผู้เป็นอาหันมาแกะมือหลานแล้วดุว่าอย่างไม่จริงจังอะไร “ไม่ต้องมาอ้อนอา ว่าอะไรก็ไม่ฟัง”

“ฟังสิฮะ อ้ายจะระวังตัว แล้วอ้ายก็สัญญากับอาณตแล้ว”

“อย่านึกว่าอาไม่รู้นะ อ้ายไม่ได้ยอมอาณตหรอก ใช่ไหม”

“อาจ๋า…” อานุภาพเถียงไม่ขึ้น เพราะไม่มีใครรู้ใจเขาเท่ากับอาคนนี้ที่เป็นยิ่งกว่าแม่

“อารู้ อาเข้าใจทุกอย่าง อารู้ว่าความรักมันห้ามกันไม่ได้ แต่อาก็เป็นห่วง ห่วงมากๆ นะลูก” ยิ่งพูดความเป็นห่วงก็ยิ่งทบทวี สุดท้ายน้ำตาก็รื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

หลานชายเห็นน้ำตาของอาแล้วอดใจหายไม่ได้ เขาพยายามปลอบใจอาและปลอบใจตัวเองไปด้วยในเวลาเดียวกัน เขาไม่ได้กลัวภัยอันตรายที่จะเกิดกับตัวเอง แต่เขาเสียใจที่ทำให้คนที่เขารักต้องมาไม่สบายใจไปด้วย อานุภาพจับมืออามากุมไว้แล้วว่า “อาจ๋าเชื่ออ้ายนะครับ มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ อ้ายรักเขาก็จริง แต่เขาก็มีแฟนแล้ว ถ้าเขาไม่โอเคกับอ้าย มันก็ไม่มีอะไรหรอกฮะ อ้ายไปทำงาน งานเสร็จก็จบเท่านั้น”

“ให้มันจริงเถอะ”

“อาจ๋าไปกินข้าวเถอะฮะ เดี๋ยวไม่สบาย อาปล่อยให้อ้ายกินข้าวกับอาณตสองคน ไม่อร่อยเลย นุชก็ไปไหนแต่เช้าไม่รู้”

“ยายนุชก็ไปทำงานของเขา” อาจารีบอกแล้วก็ใจอ่อนยอมตามหลานชายลงมารับประทานอาหารที่ชั้นล่าง

ประณตลุกจากโต๊ะอาหารมานั่งดื่มกาแฟที่มุมนั่งเล่นแล้วเมื่อภรรยากับหลานชายลงมาจากชั้นบน เขารอจนหลานชายไปส่งอาหญิงที่โต๊ะอาหารแล้วอ้อยอิ่งร่ำลากันจนเสร็จสิ้นจึงเอ่ยขึ้น

“อาจะให้รินไปส่งนะ เพราะวันนี้อาไม่ได้เข้าบริษัท จะไปคุยงานกับลูกค้าอีกทีก็ตอนเย็นเลย”

ถึงประณตจะวางมือจากงานบริษัทรับออกแบบตกแต่งสวนที่เขามอบอำนาจบริหารให้หลานชายดูแลแล้ว แต่ก็ยังไปช่วยเป็นที่ปรึกษา ส่วนที่ไปพบลูกค้านั้นเป็นลูกค้าของบริษัทผลิตเครื่องไทยทานอย่างประณีตที่เน้นสร้างบุญกุศลมากกว่าผลกำไร ประณตเพิ่งตั้งบริษัทนี้เมื่อสองปีก่อนหลังจากวางมือจากงานหลัก

“ครับอา ขอบคุณนะครับ” ไม่ได้ขอบคุณแต่ปาก อานุภาพไปกราบลาประณตที่ตัก

ประณตลูบหัวหลาน ให้ศีลให้พรแล้วไม่ลืมกำชับว่า “สวดมนต์ไหว้พระทุกวันอย่าให้ขาด และให้อยู่ในศีลในธรรมเสมอ ถ้ารู้สึกไม่สบายก็ให้ข่มใจอย่างที่อาบอก ไม่ว่าเรื่องจะหนักหนาแค่ไหนก็ใช้ใจที่ดี ที่บริสุทธิ์ของเราเป็นเกราะป้องกันนะลูก”

 

“คุณอ้าย…ดูเครียดๆ นะครับ” จรินทร์คนขับรถเก่าแก่ของประณตเอ่ยขึ้นเมื่อเขาขับรถออกมาจากบ้านได้ราวครึ่งชั่วโมง

“ผมดูง่ายขนาดนั้นเชียวหรือครับ”

“คุณอ้ายไม่ใช่คนมีเล่ห์เหลี่ยมหรือดูยากอะไรนี่ครับ เห็นกันมาตั้งแต่เล็กๆ ตอนเด็กเป็นยังไงตอนโตก็เป็นอย่างนั้น”

“แล้วมันดีหรือไม่ดีล่ะฮะ”

“ก็ มีทั้งดีและไม่ดีครับ คนดีเกินไป ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมก็ถูกเอาเปรียบได้ง่ายๆ คุณอ้ายอ่อนไหวตามนิสัยคนรักศิลปะ คุณณตกับคุณอ่อนถึงได้เป็นห่วง”

“น้ารินนี่อ่านคนขาดเลยแฮะ” อานุภาพบอกอย่างทึ่ง

“ก็ชีวิตผมมันผ่านนรกสวรรค์มาหมดแล้วนี่ครับ” จรินทร์บอกอย่างอารมณ์ดี

“น้าริน…” อานุภาพตกใจเพราะเรื่องที่คุยกัน ไปๆ มาๆ อาจจะไปกระทบกระเทือนจิตใจของจรินทร์เข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องมันผ่านมานานแล้ว”

จรินทร์เข้ามาเป็นคนขับรถของประณตได้ยี่สิบเอ็ดปีเท่ากับเวลาที่อานุภาพเสียพ่อแม่ไป แม้ว่าจรินทร์จะเคยต้องโทษคดีฆ่าคนตาย แต่ประณตก็รับเขาเข้าทำงานด้วยความเต็มใจเพราะถือว่าจรินทร์เป็นผู้ที่มีบุญคุณต่อครอบครัว

อานุภาพพบจรินทร์ครั้งแรกในเหตุการณ์ที่เขาสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต จรินทร์คือพลเมืองดีที่ช่วยแจ้งหน่วยกู้ชีพเมื่อผ่านมาพบพ่อแม่ของเขาประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ แม้หน่วยกู้ชีพจะมาถึงที่เกิดเหตุในเวลาไม่นานนัก แพทย์นำผู้บาดเจ็บไปถึงโรงพยาบาลและทำการรักษาอย่างสุดความสามารถแล้วแต่ก็ไม่อาจยื้อชีวิตของท่านทั้งสองไว้ได้ ถึงจะไม่ได้พบหน้าพ่อแม่เป็นครั้งสุดท้าย แต่เด็กชายอานุภาพก็ยังได้รับรู้ถึงความรักที่พ่อและแม่ฝากฝังไว้ให้เขา จากคำบอกเล่าของจรินทร์

อานุภาพยังจำคำพูดของจรินทร์ที่บอกกับเขาในวันที่พบกันในงานเผาศพพ่อแม่ได้ไม่ลืม

‘หนูคือน้องอ้ายใช่ไหมครับ’ จรินทร์ในวัยหนุ่มถามเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่อานุภาพจำได้จนโต

เด็กชายกอดอาจ๋าแน่น ไม่ตอบแต่พยักหน้าทั้งน้ำตา เมื่ออาเขยอธิบายว่าจรินทร์คือคนที่ช่วยพาพ่อแม่ของเขาไปส่งโรงพยาบาล เด็กชายก็ยอมไปคุยกับจรินทร์

‘น้าขอโทษนะครับ ที่มาเจอคุณพ่อคุณแม่ของหนูช้าไป หนูรู้ไหมว่าคุณพ่อคุณแม่ฝากให้น้ามาบอกเรื่องสำคัญกับหนู คุณพ่อของหนูบอกน้าว่า ฝากดูแลลูกผมด้วย แปลว่าคุณพ่อรักและเป็นห่วงหนูมาก หนูต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ นะครับ ส่วนแม่ของหนู ท่านเรียกชื่อหนูเป็นคำสุดท้าย แปลว่าท่านรักหนูมากที่สุดเลยนะ’

อานุภาพจำได้ว่าวันนั้นเขาพยายามกลั้นสะอื้นแม้ว่ามันจะยากเย็น เด็กชายรู้ตัวว่าเขาจะต้องเข้มแข็งและต้องอยู่ต่อไปให้ได้ นับตั้งแต่วันนั้นอานุภาพก็รักและนับถือจรินทร์เหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง

“เงียบเลยนะครับคุณอ้าย” จรินทร์ทักขึ้นเมื่อเห็นเจ้านายน้อยของเขาเงียบไปนาน

“ผมคิดถึงพ่อแม่น่ะครับ อยากรู้ว่าถ้าพ่อแม่อยู่ ท่านจะแนะนำให้ผมทำยังไง”

“มีปัญหาอะไรล่ะครับ ใช่เรื่องเดียวกับเจ้านายน้าหรือเปล่านะ”

“อาณตเล่าอะไรให้น้ารินฟังหรือเปล่าครับ”

“ท่านไม่ได้เล่าอะไรมากหรอกครับ ท่านว่าเป็นห่วงที่คุณอ้ายจะไปทำงานที่ใหม่นี้น่ะครับ เออ…คุณอ้ายจะไปทำงานที่เกาะสีชังเหรอครับ ถึงให้ผมไปส่งที่เกาะลอย”

“ไม่ใช่ครับน้า เอ่อ…ผมเพิ่งนึกได้ ผมลืมเอาของฝากให้น้า” ชายหนุ่มว่าแล้วเปิดช่องเก็บของหน้ารถหยิบกล่องกระดาษเล็กๆ ออกมา “ผมแยกเอาไว้ กลัวจะติดไปกับของที่จะให้อากับยายนุช เลยลืมเลย…แกะอวดเลยดีกว่า” ชายหนุ่มว่าแล้วก็ปิดกล่องหยิบเอากระดิ่งลมเซรามิกที่มีสายดึงกระดิ่งเป็นเซรามิกรูปดาวเหมือนกับลายของตัวกระดิ่งออกมาถืออวด “ผมเห็นนกไม้ที่แขวนอยู่หน้าห้องน้าปีกจะหักแล้ว เอาอันนี้มาแทนน่าจะดี เด็กที่โรงงานบอกว่าเป็นลายซิกเนเจอร์ของโรงงานเลย คงเพราะพ้องกับชื่อเจ้าของโรงงานมั้งฮะ”

“นี่คุณอ้ายจะไปทำงานที่เกาะเดือนดับหรือครับ”

“ครับ น้ารู้ได้ยังไง”

“ผมเคยอยู่ที่นั่นเมื่อตอนหนุ่มๆ น่ะครับ”

“งั้นน้าต้องรู้จักคุณยายมัทนาแน่เลย”

“รู้จักครับ ผมเคยช่วยงานที่โรงงานของสามีท่านด้วย ท่านมีบุญคุณกับผมมาก แต่คุณอ้ายอย่าไปบอกท่านว่ารู้จักผมนะครับ คนประวัติไม่ดีอย่างผม…”

“ผมเข้าใจครับน้า”

“คุณยายกับหลานสาวท่านสบายดีใช่ไหมครับ”

“สบายดีครับ คุณยายดูสาวกว่าวัยมาก น้ารู้จักคุณนวลดาราด้วยหรือครับ”

“ครับ ผมไม่เคยลืมความน่ารักของเธอเลย”

“ใช่ครับ คนอะไรไม่รู้ เจอครั้งแรกก็ลืมไม่ลงเลย” อานุภาพนึกถึงเธอขึ้นมาก็รู้สึกใจสั่น เลือดลมในตัวเหมือนจะร้อนขึ้น ชายหนุ่มพยายามข่มใจเหมือนที่อาประณตเคยบอกไว้

“คุณอ้ายเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” จรินทร์ถามเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของชายหนุ่ม

อานุภาพข่มใจอยู่ชั่วอึดใจจึงตอบออกมาได้ “ไม่เป็นไรครับน้า…น้ารินเชื่อเรื่องอานุภาพของความรักไหมครับ”

“คุณอ้ายหมายถึงพลังของความรักน่ะหรือครับ”

“ครับ น้าเชื่อไหมว่าความรักจะเอาชนะทุกอย่างได้”

“ทำไมคุณอ้ายถึงถามอย่างนี้ล่ะครับ จะไปชิงรักหักสวาทกับใครเขาครับ”

“สู้กับตัวผมเองนี่แหละครับน้า ผมคิดว่าผมเจอคนที่ใช่ แต่อาณตบอกว่าเธอเป็นคนที่ผมไม่ควรเข้าใกล้ คบกันไปผมก็จะทุกข์ทรมาน”

“แต่คุณอ้ายอยากคบเธอ”

“ครับ ถึงเธอจะเกลียดผมก็เถอะ”

“อย่าบอกนะครับว่าเธอคือคุณนวลดารา”

“ใช่ครับ”

“คนที่เกลียดแรง เวลารักก็รักมากเหมือนกันนะครับ มันสำคัญที่ว่าคุณอ้ายจะเปลี่ยนใจเธอได้หรือเปล่า”

“ผมจะทำให้ได้ครับน้า”

“ใครได้คุณอ้ายเป็นลูกเขยก็นับว่าโชคดี ผมเอาใจช่วยนะครับ”

“โห น้าริน…ทั้งบ้านก็มีแต่น้านี่แหละที่อยู่ข้างผม” อานุภาพพูดอย่างอารมณ์ดี ดูเหมือนอาการไม่สบายกายจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง

 

อานุภาพเลือกโดยสารเรือรอบเที่ยงเขาจึงมาถึงท่าเรือในเวลาประมาณบ่ายโมงครึ่ง อานุภาพกำลังคิดว่าจะไปสำรวจวัดที่เขาจะมาบูรณะซ่อมแซมงานศิลปกรรม แต่ก็ทำได้เพียงแค่คิด เพราะเจอคนที่เขาไม่คิดจะได้เจอที่นี่

“พี่อ้าย…มาถึงซะที นุชรอตั้งนานแล้วเนี่ย” น้องสาวร้องทักพลางเดินมาคว้าแขนเขาไปควงเมื่ออานุภาพเดินขึ้นจากท่าเรือเพียงไม่กี่ก้าว

“ยายนุช มาทำอะไรที่นี่”

“ก็มาทำงานน่ะสิคะ พี่อ้ายต้องดูแลงานบูรณะวัด นุชก็ต้องดูแลงานตกแต่งสวน ถูกต้องไหมคะ”

“แต่พิพิธภัณฑ์ยังไม่ได้สร้างเลยนะ สัญญาออกแบบตกแต่งสวนก็ยังไม่ได้เซ็นด้วยซ้ำ เราจะรีบมาทำไม”

“นุชเอาร่างแบบแนวคิดเกี่ยวกับการออกแบบภูมิทัศน์รอบพิพิธภัณฑ์มาให้คุณมัทนาดู คุณยายชอบด้วยละ”

“คุณยาย…เรียกอย่างนี้แปลว่าไปบ้านคุณยายมาแล้ว”

“นุชมาถึงตั้งแต่สิบโมงครึ่งแล้ว ไปกินข้าวมื้อหนึ่งแล้วด้วย แล้วก็มารอพี่อ้ายนี่แหละ”

“นินทาอะไรพี่บ้างหรือเปล่านะ”

“เยอะแยะ” น้องสาวว่าแล้วหัวเราะ

ว่าแล้วสองพี่น้องก็เดินควงกันจากท่าเรือหัวเกาะไปยังบ้านเรือนไทยของคุณมัทนา ตลอดทางอนุชก็เล่าว่าเธอทำอะไรบ้างตั้งแต่มาถึงที่นี่ เล่าว่าคุณยายมัทนาให้เธอพักที่เรือนรับแขกชั้นสองห้องติดกับที่เขาเคยพัก อานุภาพจึงได้รู้ว่าน้องสาวของเขาสนิทกับทุกคนในบ้านรับแขกแล้วอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะเด็กชายชเล

บรรยากาศการพูดคุยที่สนุกสนานเปลี่ยนไปทันทีเมื่อใกล้จะถึงเรือนรับแขก เสียงร้องไห้ที่ดังแว่วมาทำให้สองพี่น้องหันมองหน้ากันและเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นโดยไม่ได้นัดหมาย

“ไม่จริง…พ่อไม่ชอบให้ชเลเล่นของเล่นที่คุณทัตให้ พ่อเลยเอาไปทิ้ง” เด็กชายพูดไปร้องไห้ไป

“ชเล…”

“พ่อไม่รักชเลแล้ว”

“หยุดพูดแบบนี้นะ”

“ก็พ่อไม่รักชเล พ่อไม่รักชเล”

“อยากโดนอีกใช่ไหม” ชลธีเงื้อไม้เรียวในมือขึ้น ลูกชายยิ่งร้องไห้เสียงดัง

“หยุดก่อนคุณ…” อนุชเข้ามาฉุดแขนชลธีไว้

“คุณเป็นใคร…” ชลธีแปลกใจปนโกรธที่ผู้หญิงแปลกหน้ามาห้ามเขา เขาเกือบจะต่อว่าเธอว่ามายุ่งอะไรกับครอบครัวของเขา แต่อานุภาพเอ่ยขึ้นเสียก่อน

“นี่อนุช น้องสาวผมเอง”

อนุชไม่สนใจจะทักทายหรือทำความรู้จักกับชลธี เธอหันไปดูเด็กชาย พอสบตากันเด็กชายก็วิ่งมาหาเธอทันที

“พี่นุช พ่อตีชเล” เด็กชายสะอื้นไห้ปาดน้ำตาป้อยๆ

ชลธีอยากรู้ว่าหญิงสาวจะเข้าข้างใคร เขาจึงกลับไปนั่งสังเกตการณ์ที่โต๊ะอาหาร

อนุชดูจากอกเสื้อที่เลอะคราบกาแฟของคนเป็นพ่อเมื่อครู่ ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอคุกเข่าลงจับเด็กชายให้นั่งบนขาข้างหนึ่งแล้วเอ่ยถาม “คุณพ่อตีเพราะชเลสาดกาแฟใส่คุณพ่อใช่ไหมครับ”

เด็กชายพยักหน้าทั้งน้ำตา

“แล้วทำไมชเลทำแบบนั้นล่ะครับ”

“ก็พ่อเอาว่าวของชเลไปทิ้ง…”

“แล้วชเลได้ถามคุณพ่อไหมว่าทำไมถึงทิ้ง”

“พ่อบอกว่าว่าวมันขาดแล้ว เลยเอาไปทิ้ง”

“แล้วชเลไม่เชื่อเหรอครับ”

เด็กชายส่ายหน้า

“คุณพ่อเคยโกหกชเลเหรอครับ”

“ไม่ครับ พ่อไม่โกหก”

“อ้าว…” อนุชแกล้งร้อง “แล้วชเลรู้ไหมว่าถ้าเกิดกาแฟมันร้อน น้ำร้อนจะลวกคุณพ่อ”

“รู้ครับ แต่ชเลโกรธนี่”

“แต่พี่นุชว่า…คุณพ่อน่าจะโกรธชเลมากกว่านะ”

เด็กชายนิ่งคิดตามก็เข้าใจว่าตัวเองทำผิด เขาหันไปหาพ่อ เมื่อเห็นพ่อลุกจากโต๊ะอาหารแล้วเดินเร็วๆหนีไป เด็กชายก็วิ่งตามไปทางห้องพักชั้นล่าง เสียงร้องบอกขอโทษพ่อดังแว่วมา ผู้เป็นพ่อตอบว่าอะไรไม่มีใครได้ยิน ได้ยินแต่เสียงเด็กชายร้องบอกเสียงดังว่าจะอาบน้ำกับพ่อ

“นุชนี่น่าจะไปเป็นครูอนุบาลเนอะ ทั้งขู่ทั้งปลอบเด็กเก่งขนาดนี้” พี่ชายว่า

“ก็อยากเป็นอยู่นะ แต่พ่อกล่อมให้นุชเรียนสาขาที่เอื้อกับงานบริษัทซะแล้วนี่…พี่อ้ายหิวไหม” น้องสาวถาม

“ไม่หิวหรอก เพิ่งแวะกินมาอีกรอบตอนก่อนข้ามเรือ…พี่อยากดูแบบร่างงานแต่งสวนของนุชน่ะ”

“เดี๋ยวนุชเอาให้ดู” น้องสาวเปิดกระเป๋าหยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กออกมา

ขณะที่สองคนกำลังปรึกษาเรื่องงานกันก็มีเด็กหนุ่มวิ่งกระหึดกระหอบเข้ามาในบ้าน “พี่ชลอยู่ไหนครับ”

“เขาอาบน้ำอยู่ มีอะไรเหรอ” อานุภาพถาม

“ที่โรงงานมีเรื่องน่ะครับ พี่นวล เฮ้อ…” เด็กหนุ่มสีหน้ากลัดกลุ้มเหมือนไม่รู้จะอธิบายให้อานุภาพฟังให้เข้าใจอย่างไร

“คุณนวลเป็นอะไร” อานุภาพถามอย่างร้อนใจ

 

ที่หน้าโรงงานเซรามิกมีความวุ่นวายมากกว่าทุกวัน ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ท่าทางเหมือนคนเมากำลังร้องท้าทายนวลดาราให้ออกมาเจรจากัน คนงานหลายคนกระจายกันทำงานตามหน้าที่ บางคนกำลังผสมดิน นวดดิน เอาดินเข้าเครื่องรีด บ้างกำลังปั้น บ้างทาน้ำยาเคลือบ บางคนก็กำลังเรียงเครื่องปั้นดินเผาใส่รถล้อเลื่อนเพื่อเข้าเตาเผา ทุกคนต่างก็ตั้งใจทำงานของตนไม่มีใครสนใจว่าใครมาส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย จนเสียงนั้นเริ่มดังขึ้น และคำพูดเริ่มหยาบคายขึ้น เกือบทุกคนที่ละงานในมือได้ก็พากันเยี่ยมหน้าออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น

“ออกมาสิคุณนวล ออกมาคุยกันหน่อย จะออกหรือไม่ออกมาวะ หรือจะให้เรียกอีนวล”

“น้อยๆ หน่อยไอ้เจิม เมาแล้วก็กลับไปนอนไป อย่ามาหาเรื่อง” ชายแก่คนหนึ่งที่เดินออกมาดูตะโกนบอก

“มึงไม่ต้องยุ่ง กูไม่กลับจนกว่าจะพูดกันให้รู้เรื่อง” เจิมไม่สนใจคำปราม เขาชูมีดดาบยาวในมือขู่ไม่ให้ใครเข้ามายุ่ง

“อ้าวไอ้นี่ ไม่เกรงใจหัวหงอกหัวดำ” ชายแก่ชักจะทนไม่ไหว จะเดินไปเอาเรื่อง

“ไม่ต้องจ้ะลุงพร…จะพูดอะไรก็พูดมา” นวลดาราในชุดเสื้อยืด กางเกงยีนส์ สวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนพร้อมทำงานเดินออกมา เธอไม่กลัวนายเจิมเลย นวลดาราเกือบจะเดินออกไปประจันหน้ากับคู่กรณีแล้ว ถ้าคนงานหญิงที่ยืนอยู่ใกล้ไม่รั้งเธอไว้

“อย่าคุณ…” คนงานหญิงร้องห้าม มองไปที่มีดดาบยาวอย่างหวาดหวั่น

“น้าเจิมมาโวยวายอะไร” นวลดาราถาม

“เมื่อกี้กูมาทำงาน ไอ้ลุงพรมันบอกว่ากูไม่ต้องมาทำงานแล้ว มึงไล่กูออกแล้ว”

“ใช่ ฉันไล่น้าเจิมออกตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่น้าเมาอยู่คงจะจำไม่ได้”

“จะไล่ออกได้ไง กูไม่ยอมหรอก ถ้าจะไล่ออกก็ต้องจ่ายชดเชยหกเดือน”

“น้าทำผิดกฎที่ทุกคนห้ามกินเหล้า ฉันให้โอกาสแล้วก็ไม่กลับตัว ส่วนค่าชดเชยฉันไม่มีให้ น้าทำงานไปเมาไป ทำของเสียหายไปเท่าไหร่ ฉันไม่เรียกร้องค่าเสียหายก็ดีเท่าไหร่แล้ว”

“อ้าวพูดอย่างงี้ได้ไงวะ” เจิมโกรธมาก

“ทำไมจะไม่ได้ นี่ยังไม่นับที่น้าขโมยของไปขายนะ ฉันไม่อยากถือสา คิดว่าขอกันกิน ถ้าฉันเอาเรื่อง น้าน่ะ ไม่ได้มายืนลอยหน้าแบบนี้หรอก” พูดไปนวลดาราก็ก้าวเข้าไปจนเหลือเพียงไม่กี่ก้าวก็จะอยู่ในระยะคมดาบของเจิมโดยไม่รู้ตัว

เจิมรู้สึกว่าตัวเองโดนท้าทายจึงยิ่งโกรธมาก “มึงท้ากูเหรอ” เจิมไม่เพียงพูด เขาเงื้อดาบวิ่งเข้าหานวลดารา และฟันดาบลงเต็มแรง

ทันใดนั้นอานุภาพที่วิ่งมาถึงก็เอาตัวเองเข้ามาบังนวลดารา เขากอดเธอไว้ทำให้คมดาบฟันลงที่กลางหลังของเขาแทน

เจิมตกละลึงเมื่อรู้ตัวว่าฟันผิดคน เขาแทบจะสร่างเมาในทันที ทิ้งมีดดาบยาวหันหลังวิ่งหนีไป

“โอ๊ย…” อานุภาพรู้สึกเจ็บมาก แม้จะพยายามอดทนอย่างที่สุดแล้ว ก็ยังอดร้องออกมาไม่ได้

“คุณ…” นวลดาราตกตะลึงเมื่อเขากอดเธอ ครู่หนึ่งเธอก็ตั้งสติได้ ชั่วขณะนั้นอานุภาพรู้สึกเหมือนว่าแววตาเธอที่เคยมองขาอย่างแข็งกร้าวเกลียดชังนั้นอ่อนลง อานุภาพรู้สึกเจ็บเหมือนเข็มทิ่มแทงทั่วร่าง เขารู้ว่าไม่ใช่เพราะโดนมีดฟัน แต่มันเป็นความรู้สึกเสียดแทงแบบที่เคยเกิดเมื่อเขาเห็นหน้านวลดาราคราวก่อนที่เขาแน่ใจว่าเธอคือสาวชาวเกาะในฝันของเขา นวลดาราทำท่าเหมือนจะเอ่ยอะไรแต่เธอก็ไม่ได้พูด อานุภาพอยากรู้ว่านวลดาราห่วงใยเขาบ้างไหม แต่ก่อนที่เขาจะได้คำตอบ เสียงร้องด้วยความตกใจของอนุชที่ตามมาถึงพร้อมกับชลธีก็เบี่ยงเบนความสนใจของนวลดาราไปเสียก่อน

 

“โชคดีที่หมอนั่นเลือกฟัน ถ้าแทงละก็ ผมไม่อยากจะคิดเลย ที่นี่ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือจะช่วยพี่ชายคุณแน่ กว่าจะไปถึงโรงพยาบาลบนฝั่งคงเกือบสองชั่วโมง” ชลธีพูดกับอนุช ขณะดูนายแพทย์มารุต หมอประจำสถานีอนามัยบนเกาะเดือนดับเตรียมเย็บแผลให้อานุภาพ

“คุณไม่ต้องพูดได้ไหม แค่นี้ฉันก็หวาดเสียวจะแย่อยู่แล้ว” อนุชบอก

อานุภาพนึกดีใจที่น้องสาวมาไม่ทันเห็นเหตุการณ์ที่เขาถูกทำร้ายเพราะถ้าเธอมาทัน เธออาจจะเป็นอันตรายไปด้วย เขาสั่งให้เธอไปตามชลธีและรีบตามไปที่โรงงาน เมื่อเธอกับชลธีมาถึงหน้าโรงงานเซรามิกทั้งสองคนจึงทำได้เพียงพาเขามาส่งที่สถานีอนามัย

“เจ็บหน่อยนะพ่อหนุ่ม ยาชาเหลือไม่มาก ไม่แน่ใจว่าจะพอหรือเปล่า” นายแพทย์บอกเสียงอ่อนโยนเหมือนจะปลอบใจคนไข้ที่นอนคว่ำอยู่บนเตียง น้องสาวรีบไปจับมือให้กำลังใจพี่ชาย

เมื่อหมอเริ่มเย็บแผลความเจ็บก็แผ่ซ่าน พลันภาพหญิงสาวชาวเกาะที่อานุภาพเห็นใบหน้ารางเลือนในความฝันก็แจ่มชัดขึ้นมาเป็นใบหน้าของนวลดารา ความรู้สึกเหมือนเข็มเป็นร้อยเป็นพันเล่มทิ่มแทงทั่วร่างกายก็เกิดขึ้นอีก คนอื่นที่เห็นอาจคิดว่าเสียงครางด้วยความเจ็บปวดที่ชายหนุ่มพยายามสะกดกลั้นไว้อย่างที่สุดนั้นเกิดขึ้นจากการเย็บแผลสดๆ มีแต่อานุภาพเท่านั้นที่รู้ว่านี่คือสัญญาณจากที่ไหนสักแห่งหรือใครสักคนที่บอกเขาว่า ‘นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นของความทรมานเท่านั้น’ ในความรับรู้ของอานุภาพ เขาได้ยินประโยคนี้สลับกับเห็นภาพนวลดาราในชุดสาวชาวเกาะ ภาพและเสียงนั้นติดๆ ดับๆ เหมือนโทรทัศน์ที่จอภาพเสื่อมตลอดเวลาที่หมอเย็บแผล

หลังจากเย็บแผลเรียบร้อยแล้วอานุภาพก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อใกล้ฟ้าสางของอีกวัน ในห้องที่หมอทำการรักษาชายหนุ่มเมื่อวานมีเพียงอนุชที่ฟุบหลับอยู่ข้างเตียงโดยมือยังจับมือพี่ชายที่นอนตะแคงไว้ เมื่อพี่ชายขยับตัวน้องสาวก็รู้สึกตัวตื่น

“พี่อ้าย ตื่นแล้วเหรอ เป็นไงบ้าง”

“เจ็บแผลนิดหน่อย นุชฟุบหลับแบบนี้ทั้งคืนเลยเหรอ เมื่อยแย่เลย”

“พี่พยาบาลเขาเอาเตียงมาให้” อนุชมองไปทางเตียงผ้าใบที่กางอยู่ใกล้ๆ “แต่นุชว่ามันห่างไกลก็เลยนั่งใกล้ๆ ดีกว่า เดี๋ยวเผื่อพี่อ้ายจะเอาอะไรแล้วนุชไม่ได้ยิน พี่อ้ายก็รู้ว่านุชหลับแล้วตื่นยากจะตาย”

“น่ารักจริงเรา แล้วนี่ได้กินอะไรบ้างหรือเปล่า”

“ไม่ต้องห่วงค่ะ พอพี่อ้ายหลับไปนุชก็กลับไปกินข้าวที่เรือนรับแขก ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วถึงได้มานอนเฝ้าพี่”

“แล้วคุณนวลดาราเป็นยังไงบ้าง นายคนนั้นกลับมาทำร้ายเธออีกหรือเปล่า”

“โอ๊ย…พี่อ้ายจะไปห่วงคนแบบนั้นทำไม นุชยังโกรธไม่หายเลย”

“โกรธใคร เรื่องอะไร”

“ก็คุณนวลดาราของพี่อ้ายน่ะสิ ตอนที่นุชกลับไปเรือนรับแขก นุชเจอเขากับแฟนเขา พี่อ้ายช่วยชีวิตเขาไว้แท้ๆ เขาไม่เห็นถามถึงหรือห่วงใยอะไรเลย ป้าชื่นน่ะยังดูห่วงใยมากกว่าอีก”

“ก็เขาอาจจะได้ยินนุชเล่าให้ป้าชื่นฟังแล้วหรือเปล่า เขาเลยไม่ถาม”

“พี่อ้ายไม่ต้องแก้แทนเขาเลย คนถ้าเขาห่วงใยน่ะ มันต้องมีท่าทีบ้าง เรื่องอย่างนี้มันดูกันออก แฟนเขาที่มาด้วยกันก็ทำมาบอกขอบคุณที่ช่วยแฟนเขา แล้วอะไรรู้ไหม เขาน่ะ เน้นคำว่าแฟนจนน่าหมั่นไส้ พี่อ้ายต้องไปเห็นเอง นุชบอกเลยว่าพี่อ้ายไม่มีทางจะคบหากับคุณนวลดาราได้เลย แฟนเขาหวงออกขนาดนั้น”

“ของอย่างนี้ต้องให้ผู้หญิงเป็นคนเลือก” อานุภาพพูดออกไปแล้วก็นึกเสียใจที่เผลอเผยความรู้สึกในใจให้น้องสาวรู้เสียแล้ว เขารู้ว่าอนุชต้องคัดค้านแน่นอน

“พี่อ้ายเจ็บขนาดนี้แล้ว ยังคิดจะจีบเขาอีกเหรอ นุชไม่ยอมหรอกนะ พ่อแม่ก็ไม่มีทางยอม”

“นุชบอกอาจ๋าหรือเปล่าเนี่ย” อานุภาพนึกขึ้นมาได้จึงถาม

“จะบอกได้ยังไงล่ะ แม่ให้นุชมาห้าม…อุ๊บ” คราวนี้น้องสาวเป็นฝ่ายหลุดปากพูดบ้าง

“อ้อ…พี่รู้แล้ว ที่เรามาที่นี่ก็เพราะอาจ๋าสั่งให้มาคุมพี่ใช่ไหม”

“จะใช่หรือไม่ใช่ นุชก็ไม่ยอมให้พี่อ้ายรักกับคุณนวลหรอก ดูสิ เจ็บแบบนี้” ท้ายประโยคน้องสาวทำเสียงเหมือนอยากร้องไห้

อานุภาพไม่ได้ต่อคำกับน้องเพราะเขารู้ว่าน้องสาวพูดเพราะรักและเป็นห่วงเขามาก

“ไม่ตอบ แปลว่าไม่เชื่อนุชเลยใช่ไหม” น้องสาวผู้รู้ใจเอ่ยด้วยเสียงติดจะงอน

พี่ชายยิ้มอ่อนให้ ในใจคิดว่าเขาพร้อมแล้วที่จะไขว่คว้าความรักครั้งนี้มาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยความทรมานแสนสาหัสเพียงใดก็ตาม



Don`t copy text!