สาปแสงรัก บทที่ 7 : ความรักเพิ่งเริ่มต้น
โดย : ตวงทิพย์ ยุวชิต
สาปแสงรัก โดย ตวงทิพย์ ยุวชิต เรื่องรักของผู้ชายธรรมดาที่ต้องคำสาปที่ว่า เมื่อพบรักแท้จะพบแต่ความทุกข์ทรมานไม่รู้จักจบสิ้น “อานุภาพ” ชายที่ไม่มีพลังอำนาจเหมือนชื่อของเขาเลย แถมยังไม่มีของวิเศษ เวทย์มนตร์คาถา แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้กับแรงอาฆาตพยาบาทที่สาปส่งข้ามภพข้ามชาติได้ ติดตามเอาใจช่วยเขาได้ในอ่านเอา anowl.co
หลังจากพักฟื้นได้สามวันอานุภาพก็ตั้งใจจะเริ่มทำงานทันที วันรุ่งขึ้นเขาตื่นแต่เช้า แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยยังไม่ทันจะเปิดประตูออกมาจากห้องนอนน้องสาวก็โผล่เข้ามา
“พี่อ้าย ทำไมพี่ชลบอกว่าพี่อ้ายจะไปทำงานวันนี้ คุณยายบอกให้เริ่มงานอาทิตย์หน้าก็ได้ไม่ใช่เหรอ นุชว่าน่าจะรอให้หมอตัดไหมก่อน”
พี่ชายสะกิดใจกับคำที่น้องสาวเรียกชลธีแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร ตอนที่เจอกันครั้งแรกอนุชยังไว้ตัว คงเพราะเธอไม่พอใจที่ชลธีตีลูก แต่ผ่านไปแค่สามวันสรรพนามและท่าทีห่างเหินก็เปลี่ยนเป็นเริ่มสนิทสนมกัน คนที่ดีใจที่สุดไม่ใช่ใครที่ไหน คือเด็กชายชเลผู้ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์นั่นเอง และตอนนี้เด็กชายก็เลิกติดสอยห้อยตามอานุภาพไปติดน้องสาวของเขาแทนแล้ว
“ใช่ แต่หยุดมาหลายวันแล้ว พี่เบื่อ”
“แล้วทำไมพี่อ้ายบอกพี่ชล ไม่บอกนุช” น้องสาวทำท่างอน พี่ชายก็รู้ว่าแกล้ง
“ก็จะบอกอยู่นี่ไง ที่พี่บอกพี่ชลก็เพราะพี่ให้เขาช่วยไปถามหลวงพ่อที่วัดว่าท่านว่างให้พี่ไปพบไหม วันนี้พี่แค่จะไปสำรวจก่อนว่าจะต้องบูรณะอะไรตรงไหนบ้าง”
“งั้นนุชไปด้วย”
“นุชนัดจะไปดูงานที่โรงงานเซรามิกไม่ใช่เหรอ พี่เห็นชเลคุยอวดกับทุกคนว่าจะสอนพี่นุชปั้นถ้วย”
“เลื่อนเป็นวันอื่นก็ได้”
“ผิดสัญญากับเด็กไม่ดีนะ”
“แต่…”
“พี่รู้ว่านุชเป็นห่วง พี่ไม่เป็นไรหรอกน่า” พี่ชายรู้ว่าถ้าเสียงแข็ง น้องสาวก็จะยิ่งไม่ยอม เขาจึงเลือกใช้ไม้อ่อน พูดเสียงอ่อนๆ แล้วก็ได้ผล
“ก็ได้…” น้องสาวพยักหน้าบึ้งๆ อย่างไม่เต็มใจนัก
เมื่อมาถึงวัดเล็กๆซึ่งเป็นวัดแห่งเดียวบนเกาะเดือนดับอานุภาพก็รู้สึกเดจาวูเหมือนเมื่อตอนที่เขามาถึงชายหาดในวันแรก รู้สึกคุ้นเคยหลายๆ สิ่งในวัดนี้ เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูวัดเข้ามาเขารู้สึกว่ามีลมเย็นพัดมาสัมผัสกายแล้ววูบหายไป ชายหนุ่มคิดไปว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์อาจรับรู้ถึงการมาถึงของเขา
จากประตูวัดมาก็มีลานวัดกว้าง มองตรงไปด้านหน้าเป็นโบสถ์ ทางซ้ายของโบสถ์เป็นสถูปเจดีย์หลายองค์ซึ่งน่าจะเป็นที่บรรจุอัฐิของชาวบ้าน ทางขวาของโบสถ์มีหอระฆัง และมีทางเดินเล็กๆ ระหว่างโบสถ์กับหอระฆังซึ่งน่าจะเป็นทางไปกุฏิของหลวงพ่อเจ้าอาวาสตามที่ชลธีบอกไว้
ชลธียังเล่าให้อานุภาพฟังด้วยว่านอกจากหลวงพ่อนิลซึ่งเป็นเจ้าอาวาสแล้ว วัดนี้มีพระหนุ่มอีกห้ารูป และสามเณรน้อยอีกรูปที่คอยอุปฐากหลวงพ่อ ชลธีเล่าให้อานุภาพฟังว่า หลวงพ่อนิลเป็นพระสายกรรมฐานที่เน้นการปฏิบัติ เคร่งวินัยสงฆ์ แม้แต่จะขอไฟฟ้าเข้ามาใช้ในวัดท่านก็ไม่อนุญาต ท่านว่าคนมาบวชเพื่อฝึกตนไม่ใช่เพื่อความสะดวกสบาย
อานุภาพตั้งใจว่าจะไปพบหลวงพ่อทันทีที่มาถึงวัด แต่ครั้นก้าวพ้นประตูวัดเข้ามาก็กลับรู้สึกว่าโดนดึงดูดให้ไปยังโบสถ์ เมื่อไปถึงหน้าโบสถ์เขาก็เข้าไปลูบคลำบันไดนาคหน้าโบสถ์อย่างคุ้นเคย พญานาคคู่บนราวบันไดทั้งฝั่งซ้ายและขวา มีรอยชำรุดปูนแตกหักไปตามกาลเวลา เมื่อชายหนุ่มสัมผัสพญานาคเขาก็เห็นภาพใหม่เกิดขึ้นในมโนสำนึก สัมผัสเกล็ดพญานาคที่แตกหักแหว่งวิ่นก็เห็นเป็นเกล็ดที่สมบูรณ์เรียงตัวสวยงามราวกับเพิ่งปั้นแต่งเสร็จไปเมื่อไม่นาน อานุภาพรู้สึกเป็นสุข อิ่มเอมใจเหมือนทุกครั้งที่เขาทำงานปั้นเสร็จสมบูรณ์ พญานาคปูนปั้นคู่นั้นมีมนตร์ดึงดูดเขาให้ดื่มด่ำกับความอิ่มใจนั้นนานเท่าไรก็มิอาจรู้ อานุภาพรู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อได้ยินเสียงเรียก
“คุณโยม คุณโยมคือคนที่มาหาหลวงปู่ใช่ไหม”
เมื่ออานุภาพหันหลังมาตามเสียงก็เห็นว่าเจ้าของเสียงคือสามเณรที่เขาคาดคะเนจากหน้าตาและความสูงว่าอายุไม่น่าจะเกินสิบสองปี
“เอ่อ ใช่ครับ”
“ไปหาหลวงปู่ได้แล้วละ หลวงปู่ให้เณรมานำทาง หลวงปู่บอกว่าคุณโยมหลงอยู่นานเกินไปแล้ว”
“หลงอยู่หรือครับ” อานุภาพไม่เข้าใจสิ่งที่เณรน้อยพูดแต่ก็เดินตามไปโดยดี
“ได้เจอกันอีกจนได้นะโยม” หลวงพ่อนิลทักเมื่ออานุภาพเข้าไปกราบท่านภายในกุฏิ
“เจอกันอีก ผมยังไม่เคยพบหลวงพ่อมาก่อนเลยนะครับ”
“คนเราต้องเคยพบเจอกันมาแล้วทั้งนั้นแหละโยม ไม่มีใครหรือผู้ใดมาพบกันได้โดยบังเอิญหรอก”
อานุภาพยิ้มรับคำของหลวงพ่อ ครู่ต่อมาเขาก็รู้สึกขนลุกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าหลวงพ่อนิลหน้าตาเหมือนออทองดำ พ่อลุงเจ้าของเรือนไทยที่เขาพบในความฝันราวกับคนคนเดียวกัน
“คุณโยมมัทนาบอกว่าได้คนมาบูรณะซ่อมแซมงานปูนปั้นรอบโบสถ์แล้ว อาตมาก็ดีใจ และคิดว่าโยมคือผู้เหมาะสมที่สุดที่จะทำงานนี้ เห็นว่าบาดเจ็บ หายดีแล้วรึ”
“ดีขึ้นแล้วครับ”
“ถ้าเจ็บอยู่ก็ยังไม่ควรทำนะโยม โยมต้องประเมินตนเองให้ดี ว่าทำได้แค่ไหน ถ้ามันฝืน หรือจะเจ็บเกินไปโยมก็ควรหยุด ไม่ควรฝืนนะ”
“หลวงพ่อหมายถึงเรื่องอะไรครับ” อานุภาพถามเพราะคำเตือนของหลวงพ่อชวนให้คิดถึงเรื่องที่อาประณตเตือนเขา
“ก็ทุกเรื่องนั่นแหละโยม ทุกอย่างก็ต้องพอดีจึงจะเหมาะจริงไหม…เอาละ อาตมาต้องขอตัวแล้ว บ่ายนี้อาตมามีกิจนิมนต์ต้องไปต่างจังหวัดจะต้องไปจัดเตรียมของ โยมเขานิมนต์ให้ไปถึงลพบุรี อาตมาจะต้องรีบไปเสียก่อน จะต้องไปค้างที่โน่นเพราะกิจที่รับไว้เริ่มตั้งแต่เช้ามืดเลย”
“ผมคิดว่าหลวงพ่อจะกรุณาพาผมสำรวจรอบโบสถ์เสียอีกครับ”
“โบสถ์หลังนี้โยมรู้จักดี สำรวจเองก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าต้องการคนช่วยนำทาง เดี๋ยวโยมก็คงได้เจอ” หลวงพ่อนิลพูดจบก็ลุกขึ้นจากอาสนะแล้วเรียกให้สามเณรน้อยที่นั่งรออุปฐากตามท่านเข้าไปในห้อง ทิ้งให้อานุภาพครุ่นคิดถึงคำพูดของท่านอยู่อย่างนั้น
เมื่อลงมาจากกุฏิหลวงพ่อ อานุภาพก็เดินคิดไปเรื่อยๆ เขามองดูรอบตัว โบสถ์หลังนั้นเขารู้สึกคุ้นเคยจริงๆ อย่างที่หลวงพ่อบอก แต่สิ่งก่อสร้างอื่นในวัดไม่ได้ทำให้เขารู้สึกแบบเดียวกัน เว้นแต่ต้นโพธิ์ต้นใหญ่ที่เหมือนมีอะไรดึงดูดให้เขามองไปในทิศทางนั้น ต้นโพธิ์ใหญ่ปลูกอยู่ด้านข้างลานหินกว้างซึ่งอยู่ด้านหลังของกุฎิหลวงพ่อนิล อานุภาพรู้สึกเหมือนเคยเห็นมาก่อนแต่บริเวณนี้ผิดแปลกไปในความรู้สึกของเขา
“ชอบหรือคุณ เข้าไปซะใกล้เชียว”
อานุภาพหันมาตามเสียงจึงเห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นชายวัยคราวพ่อที่กำลังกวาดลานหิน ชายหนุ่มเพิ่งรู้ตัวว่าเข้าไปยืนเกือบชิดต้นโพธิ์ นี่เองเป็นสาเหตุที่ชายคนนี้ร้องเรียกเขา อานุภาพรีบถอยออกมา
“ว่าไง อยากขูดหาเลขหรือคุณ” ชายคนเดิมถาม
“เปล่าๆ ครับ” อานุภาพรีบบอก
“ตรงนี้น่ะเป็นลานปฎิบัติธรรม หลวงพ่อท่านเอาไว้เป็นที่เทศน์ในวันพระ แต่ช่วงใกล้วันหวยออก ญาติโยมชอบแอบเอาแป้งมาประต้นโพธิ์ขูดหาเลข ต้องคอยห้ามกันเรื่อย”
อานุภาพกำลังแปลกใจกับภาพที่เขาเห็น เมื่ออานุภาพมองกลับไปที่ใต้ต้นโพธิ์เขาก็เห็นว่าต้นโพธิ์ต้นเล็กกว่าที่เห็นแวบแรก กิ่งก้านสาขาของต้นยังไม่แผ่ไปไกลนัก เขาเห็นพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดหน้าตักประมาณสี่สิบนิ้วเป็นพระปางห้ามสมุทร ทรงเครื่องอย่างกษัตริย์ประดิษฐานอยู่บนแท่นหินใต้ต้นโพธิ์ เมื่อเขาเพ่งมองอีกครั้งกลับไม่เห็นแท่นหินและพระพุทธรูป อานุภาพขยี้ตามองดูอีกครั้งก็เห็นเพียงต้นโพธิ์ต้นใหญ่
“ลุงครับ ตรงนี้เคยมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่ไหมครับ”
“เคยมี ตอนสมัยลุงยังไม่เกิดเลย พ่อลุงเคยเล่าว่าตอนพ่อเด็กๆ ตรงนี้เคยมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ต่อมาเกิดฝนตกใหญ่ ฟ้าผ่า พระพุทธรูปแตกร้าว ทางวัดหาช่างมาซ่อมใหม่ก็ไม่สำเร็จ จะปั้นใหม่ก็มีอันร้าวทุกทีไป หลวงพ่อเจ้าอาวาสองค์ก่อนท่านก็เลยไม่ให้ปั้นต่อแล้ว เรื่องนี้มีแต่พ่อแก่แม่เฒ่าที่รู้ ทำไมคุณถึงรู้ล่ะ เป็นลูกหลานคนที่นี่รึ”
“เอ่อ…เปล่าหรอกครับ ผมหาข้อมูลมาน่ะครับ ผมเป็นช่างที่จะมาบูรณะงานปูนปั้นครับ”
“อ้อ…นายช่างน่ะเอง”
“ผมขอเดินสำรวจรอบโบสถ์หน่อยนะครับ”
“เชิญเลยคุณ คุณได้เข้าไปไหว้พระประธานในโบสถ์หรือยังล่ะ จะมาทำงานในวัดก็ควรจะไปไหว้เสียก่อนนะ”
อานุภาพเดินขึ้นบันไดนาคเข้าไปในโบสถ์ เมื่อเข้าไปภายในโบสถ์เขาจึงรู้ว่ามีคนเข้ามากราบพระประธานอยู่ก่อนแล้ว คนคนนั้นก็คือนวลดารา
นวลดารากำลังก้มกราบพระตอนที่อานุภาพเข้ามานั่งคุกเข่าเยื้องไปทางด้านหลัง เมื่อเธอขยับจากท่ากราบเป็นนั่งตัวตรง ชายหนุ่มก็กราบพระบ้าง
“ขอบคุณคุณมากนะที่ช่วยฉันวันนั้น” นวลดาราพูดกับอานุภาพเมื่อเขากราบพระเรียบร้อยแล้ว
เขาหันมามองหน้าเธอแล้วอมยิ้มเหมือนขำ
“คุณขำอะไร” นวลดาราถาม แล้วเธอก็ตอบเอง “นี่คุณจะว่าฉันไม่เต็มใจขอบคุณคุณเหรอ”
“ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย”
“ก็สายตาคุณเหมือนที่มองฉันที่หาดวันนั้น”
“ดีใจจังที่คุณจำได้ด้วย” ชายหนุ่มว่าแล้วยิ้มอีก
“ใครดีใครร้ายฉันจำได้หมดนั่นแหละ ฉันเอายาแก้ปวดมาให้ ฝากไว้ที่ป้าชื่นนะ น่าจะแก้ปวดดีกว่ายาแก้ไข้ที่หมอให้ แต่อย่ากินรวมกันนะคุณ ตายได้นะ” เสียงท้ายประโยคนั้นแข็งกร้าว
“ขอบคุณนะครับ” อานุภาพกลั้นยิ้มเมื่อได้ยินเสียงแข็งกร้าวนั้น เขาดีใจจริงๆ ที่อย่างน้อยเธอเป็นห่วงเขา แต่เพียงครู่เขาก็คิดว่าเขาอาจจะแสดงให้เธอเห็นความในใจมากเกินไป ประโยคต่อมาของเธอจึงหักมุม
“ฉันทำตามที่ยายบอก แค่นั้นแหละ”
“ว้า…” คราวนี้เขาแกล้งบ่นเบาๆ เธอจึงหันมาค้อน ชายหนุ่มคิดอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะตัดสินใจเอ่ยว่า “ผมจะไปสำรวจรอบโบสถ์ คุณไปเป็นเพื่อนผมหน่อยได้ไหม”
นวลดารานิ่งมองอานุภาพก่อนตอบว่า “คุณไปคนเดียวก็ได้มั้ง กลางวันแสกๆ ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก” หญิงสาวพูดจบก็เดินผ่านอานุภาพจะออกจากโบสถ์ไป
“คุณจะขอบคุณผมด้วยคำพูดเท่านั้นจริงๆ เหรอ”
อานุภาพนึกดีใจที่คำพูดของเขาทำให้นวลดารายอมเดินสำรวจรอบโบสถ์กับเขา อานุภาพรู้จากการโต้เถียงกันสองสามครั้งว่าหญิงสาวไม่ชอบให้ใครมาท้าทาย หรือตำหนิเธอไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เขาคิดว่าเธอที่ยอมมากับเขาแม้ว่าจะไม่เต็มใจนักก็เพราะไม่อยากให้เขาคิดว่าเธอไร้น้ำใจ หรือไม่เธอก็ไม่อยากติดหนี้บุญคุณเขา
อานุภาพเดินตามนวลดาราสำรวจดูงานปูนปั้นรอบอุโบสถ เขาพบว่าลายปูนปั้นฐานบัวด้านล่างของผนังโบสถ์ด้านนอกนั้นทำเป็นลายลูกคลื่นแตกต่างจากลายฐานบัวในวัดที่นิยมปั้นกันทั่วไปซึ่งมักจะปั้นเป็นลายกลีบบัว ลายกระจัง หรือลายกนก แม้ว่าปูนปั้นที่ฐานบัวนั้นจะแตกหักสึกกร่อนไปตามกาลเวลาแต่ก็ยังเห็นร่องรอยว่าน่าจะเป็นลายลูกคลื่น
“ฐานบัวของเดิมน่าจะเป็นลายลูกคลื่นนะผมว่า หรือคุณว่าไง”
“ดูจากเสี้ยวของเส้นโค้งนี่ก็น่าจะใช่นะ”
“คุณพอรู้ไหมว่าทางวัดมีภาพถ่ายเก่าให้ผมดูเป็นแบบไหม เมื่อกี้ผมคุยกับหลวงพ่อ พอดีท่านมีกิจนิมนต์รีบไป ผมก็เลยไม่ทันได้ถาม”
“เท่าที่ฉันรู้ เคยมี แต่ภาพเก่าพวกนั้นถูกไฟไหม้ไปหมดแล้วตั้งแต่ตอนที่กุฏิหลังเก่าของหลวงพ่อนิลไฟไหม้”
“ไฟไหม้…เมื่อไม่นานนี้เองใช่ไหมครับ”
“เมื่อปลายปีที่แล้วนี้เอง คุณรู้ได้ยังไง”
“ผมเดาเอาจากกุฏิของหลวงพ่อที่ดูใหม่มาก ต่างจากอาคารอื่นในวัด…ถ้าไม่มีแบบเดิมให้ดู ผมก็คงต้องเดาเอาจากจินตนาการของตัวเอง ฐานบัวเป็นคลื่นแน่ๆ แต่ที่ผมสงสัยก็คือลายปูนปั้นเหนือฐานบัวนี่สิ มันเป็นรูปอะไร ผมว่าคล้ายๆ กลีบบัว ตรงนี้คล้ายก้านบัว” อานุภาพนั่งลงพิจารณาดู นวลดาราก็นั่งลงตาม
“ฉันว่าตรงนี้คล้ายปลา เหมือนเกล็ดปลา” เธอบอกพลางชี้ไปที่ลายปูนปั้นใกล้กับจุดที่อานุภาพบอกว่าคล้ายก้านบัว
สองคนขยับดูตรงนั้นตรงนี้ ดูไปดูมา ตัวก็ขยับมาจนเกือบจะชิดกัน หันหน้ามาประสายสายตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ
ฉับพลันนั้นอานุภาพก็รู้สึกเหมือนเข็มทิ่มแทงทั่วร่าง เขาต้องหลับตาเพื่อข่มความรู้สึกนั้น
“เป็นอะไรคุณ…”
“เปล่าๆ” เขารีบบอก แล้วลุกขึ้นยืน หันหน้าไปทางอื่น
“ฉันเพิ่งนึกได้ เราไปดูด้านหลังโบสถ์ดีกว่า ด้านหลังจะมีลายปูนปั้นสมบูรณ์มากกว่านี้ คงเพราะคนไม่ค่อยเดินผ่านเลยไม่ค่อยถูกลูบคลำเท่าไหร่” นวลดาราบอกโดยไม่ได้หันไปมองชายหนุ่ม แล้วเธอก็ลุกขึ้นเดินนำทางไป
“นี่ไงคุณ” นวลดาราชี้ให้อานุภาพดูลายปูนที่ฐานบัวเชิงผนังด้านหลังโบสถ์
อานุภาพย่อตัวลงนั่งมองภาพปูนปั้นตรงหน้า เขาเอื้อมมือไปลูบคลำลายปูนแกะสลักตรงหน้า รู้สึกราวกับต้องมนตร์สะกด
“พี่แสงจักปั้นรูปกระไรรึจ๊ะ” เสียงหวานใสถามขึ้น
“เจ้าคิดว่าเป็นรูปกระไรเล่า แม่เดือน” นายช่างหนุ่มเอ่ยถามแม่หญิงที่อยู่ข้างกายโดยมิได้ละสายตาจากงานแกะสลักลวดลายที่ทำ
“ดอกบัวจ้ะ”
“ถูกต้องเพียงครึ่ง”
“หมายความว่ากระไรจ๊ะพี่”
“ดอกบัวนั้นถูก พี่กำลังแกะลายดอกบัว แต่อยากให้เจ้าทายว่าดอกบัวที่พี่กำลังแกะนี้ จำแนกอยู่ในข้อธรรมคำสอนบทตอนใดที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง”
เดือนลุกขึ้น เดินกลับไปกลับมา ถอยหน้าถอยหลัง พินิจลายปูนปั้นพลางครุ่นคิด ปากก็พูดไป “ลายกระไรหนา เกี่ยวกับข้อธรรม แปลว่ามิเกี่ยวกับประวัติขององค์พระผู้มีพระภาคเจ้า”
แสงหยุดมือจากงานด้วยแกะสลักดอกบัวได้สวยสมใจแล้ว เขาหันมามองเดือน สำหรับเขาหล่อนช่างงามเหลือเกิน ท่วงท่าครุ่นคิดนั้นไร้เดียงสาอย่างเด็ก รอยยิ้มนั้นหวานจับจิตจับใจ ผิวของหล่อนแม้ไม่ขาวนวลเนียนเป็นไข่ปอกอย่างสาวเชื้อจีนในพระนครที่เขาเคยพบเห็น แต่ผิวสีน้ำผึ้งของหล่อนก็ทำให้หล่อนคมขำยิ่ง เมื่ออยู่ในชุดอย่างสาวชาวเกาะก็ยิ่งมีเสน่ห์ดึงดูดสายตาและหัวใจของเขาให้หยุดอยู่กับที่
“มิใช่ดอกบัวเจ็ดดอกที่รองรับพระบาทตอนประสูติเป็นแน่แท้…ฉันรู้แล้วจ้ะ” เสียงตื่นเต้นท้ายประโยคทำให้แสงรู้ตัวว่าเขามองหล่อนจนลืมโลกรอบตัว
“ดอกบัวสี่เหล่าใช่รึไม่จ๊ะพี่”
“เจ้าเก่งนัก แม่เดือน ไหนลองไขให้พี่ฟังทีว่า บัวสี่เหล่า นั้นมีเหล่าใดบ้าง แต่ละเหล่าเป็นเยี่ยงไร”
“ไม่ยากเลยจ้ะ บัวเหล่าแรกคือบัวเหนือน้ำ โผล่พ้นน้ำรอรับแสงอาทิตย์ เหมือนคนมีปัญญาสูงส่ง อาจมิต้องสั่งสอน หรือฟังธรรมเพียงคราเดียว ก็บรรลุธรรม บัวเหล่าที่สอง เป็นบัวปริ่มน้ำ มีปัญญา ฟังธรรมเพียงไม่กี่คราก็จักบรรลุธรรมได้ บัวเหล่าที่สาม เป็นบัวใต้น้ำ เปรียบดั่งคนด้อยปัญญา แต่ก็ยังสั่งสอนได้ แม้จักต้องสั่งสอนซ้ำไปซ้ำมาหลายเพลา ส่วนบัวเหล่าสุดท้ายเป็นบัวใต้โคลนตม เปรียบดังผู้ที่สั่งสอนเยี่ยงไรก็มิอาจจักรู้ผิดชอบชั่วดีขึ้นมาได้ เป็นคนรกโลก เปรียบเป็นบัวใต้โคลนตม มิอาจเบ่งบานรับแสงอาทิตย์ได้ ได้เพียงเป็นอาหารของเต่าปลาเท่านั้นจ้ะ”
“สมแล้วที่เจ้าพุดชมเจ้าเช้าเย็นว่าฉลาด เก่งกาจไปเสียทุกสิ่ง”
“ฉันมิเก่งถึงเพียงนั้นดอกจ้ะ พี่แสงจ๊ะ ฉันจักขอคิดเห็นเกี่ยวกับงานของพี่ได้รึไม่”
“ได้ซีแม่หญิง”
“ด้านบนของผนังพี่แสงคิดจักปั้นแต่งเป็นรูปกระไรหรือไม่”
“พี่ยังมิได้คิดเลย วัดที่พี่เคยเห็นนั้นมักมีการประดับกระเบื้องหลังคาแลตกแต่งลายปูนจำเพาะบางส่วน ที่นี้เป็นที่แรกที่พี่คิดอยากปั้นเป็นเรื่องราวเยี่ยงนี้ เพราะพ่อลุงทองดำท่านเมตตาให้พี่ได้คิดทำตามแต่ใจทั้งหมด พี่คิดว่าพี่คงมิปั้นแต่งด้านบน ด้วยมันจะเปรอะไป ไม่งาม”
“แต่ฉันว่า…ควรจักมีดวงอาทิตย์ ด้วยดอกบัวย่อมเบ่งบานรับแสงอาทิตย์”
“เจ้าคิดเข้าท่านัก”
“แลอาทิตย์ย่อมส่องแสง แสง เช่นชื่อของพี่” เดือนหยุดพูด เมื่ออีกฝ่ายหันมามอง หล่อนก็มองเขาอย่างเปี่ยมรัก เปี่ยมความหมาย ก่อนจะเอ่ยสืบไปว่า “วันใดที่พี่ทำงานล่วงแล้ว กลับพระนคร หากฉันคิดถึงพี่เพลาใด ฉันจักมาชมอาทิตย์ดวงนี้”
“คุณ คุณ…” แสงได้ยินเสียงเรียกดังมาจากที่ไหนสักแห่ง เขารู้สึกว่าตนเองถูกดึงให้ถอยออกจากที่ซึ่งเขาอยู่นั้น
“คุณ คุณ…” นวลดาราร้องเรียกอานุภาพ
ชายหนุ่มค่อยรู้สึกตัว เขาลืมตาขึ้นมาอย่างงงๆ ยิ่งไม่เข้าใจเมื่อเห็นตัวเองนั่งพิงอยู่ในอ้อมแขนของนวลดาราที่คุกเข่าชันขาขึ้นข้างหนึ่งเพื่อรับน้ำหนักตัวเขา
“เกิดอะไรขึ้น…” เขาถาม
“คุณกำลังดูลายปั้นอยู่ อยู่ดีๆ ก็วูบเป็นลม ล้มลงมาใส่ฉันเนี่ยแหละ”
“วูบเหรอฮะ” เขาขยับลุกขึ้น
“ก็ใช่น่ะสิ ดีที่ฉันรับไว้ทันนะ”
“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณจริงๆ” เขาบอก เธอยิ้มให้ คราวนี้ไม่มีค้อนแถมมาด้วย
“แปลกนะ ตรงนี้แดดก็ไม่ร้อน หน้าโบสถ์ยังร้อนกว่าอีก ทำไมคุณถึงเป็นลมได้” นวลดาราเปรยถามไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจัง
อานุภาพไม่ได้ตอบอะไร เขาแน่ใจว่าที่เขาวูบหมดสติไปน่าจะเกี่ยวข้องเรื่องราวที่เขาฝัน อาจมีใครสักคนหรืออำนาจอะไรสักอย่างต้องการให้เขาได้รู้เรื่องนี้
“คุณดูไม่ค่อยดีนะ กลับก่อนดีไหม” นวลดาราบอก
“อืม…ก็ดีเหมือนกันนะครับ”
อานุภาพเดินตามนวลดาราออกมาตามทางเดิม ครู่หนึ่งนวลดาราก็หยุดรอและปล่อยให้ชายหนุ่มเดินนำหน้าไปเล็กน้อย เมื่อเดินมาเกือบถึงลานหน้าวัดก็เหมือนมีอะไรดึงดูดให้อานุภาพมองกลับไปที่ด้านข้างโบสถ์ เขาเห็นภาพปูนปั้นแกะสลักที่สมบูรณ์เหมือนเพิ่งปั้นแต่งเสร็จบนผนังด้านข้างโบสถ์ เขามองไปที่นวลดาราที่เดินตามหลังมา ก็เห็นเธอในชุดเสื้อลูกไม้พื้นเมือง ผ้าซิ่นกรอมเท้าแบบสาวชาวเกาะที่เขาเคยเห็นเธอในฝัน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง แสงแดดที่ส่องมายิ่งพาให้มึนงง
นวลดาราเห็นชายหนุ่มซวนเซ เธอจึงรีบเข้ามาประคองเขาไว้ไม่ให้ล้มลง “ไหวไหมคุณ…”
“ไหว…” อานุภาพฝืนตอบ เขาไม่กล้ามองหน้าเธอ กลัวว่าถ้าหากสบตากันตรงๆ จะเกิดอาการแปลกประหลาดขึ้นอีก เขาจึงฝืนยืนตัวตรง ขยับออกห่างจากเธอ นวลดาราก็ผละออกจากเขาเช่นกัน
แต่แล้วเมื่อเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวเขาก็รู้สึกเวียนหัวจนต้องดึงมือนวลดาราไว้เพื่อช่วยทรงตัว
“เฮ้ย…ทำอะไรวะ”
ทัตพลเข้ามาผลักอานุภาพ เขาไม่ทันตั้งตัวจึงล้มหงายหลัง
“เดี๋ยวพี่ทัต” นวลดาราร้องห้าม “อะไรกันคะ”
“อะไรล่ะ ก็มันมาจับมือนวล” ทัตพลตะคอกตอบ
“จับมืออะไร เขาไม่สบาย” นวลดาราพยายามอธิบาย
“สำออยน่ะสิ…แกไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องตัวแฟนฉันนะเว้ย” ทัตพลหันมาพูดอานุภาพ
ระหว่างที่ทัตพลกับนวลดาราเถียงกันอานุภาพก็เห็นทัตพลอีกคนทับซ้อนอยู่บนร่างชายหนุ่มตรงหน้าเขา ทัตพลที่เขาเห็นอยู่ในชุดแต่งกายผ้านุ่งลอยชาย ไม่สวมเสื้ออย่างที่ชาวเกาะนิยมสวมใส่กันเมื่อร้อยแปดสิบกว่าปีที่แล้ว ขณะที่ทัตพลหันมาหาเขานั้น ภาพที่อานุภาพเห็นคือทัตพลชักดาบออกจากฝักและชี้ปลายดาบมาข่มขู่เขา
ชายหนุ่มได้ยินทัตพลพูดต่อว่าเขาว่า “เอ็งไม่มีสิทธิ์แตะต้องตัวแม่หญิงของข้านะเว้ย ไอ้แสง…”
“เอ็งต่างหากที่ไม่มีสิทธิ์แตะตัวแม่หญิงที่เขามิมีใจให้เอ็ง” อานุภาพยืนขึ้นตอบฉะฉาน
“มึงเรียกกูเอ็งเหรอ” ทัตพลโกรธจนเลือดขึ้นหน้า พุ่งเข้าหาอานุภาพจะเอาเรื่องทันที
นวลดารารู้สึกแปลกใจในคำพูดของอานุภาพและไม่อยากให้ผู้ชายสองคนวิวาทกันจึงพยายามยื้อยุดฉุดทัตพลไว้
“อย่านะพี่ทัต นี่มันในวัดนะ”
“นวลไม่ได้ยินเหรอว่ามันจิกด่าพี่”
ทัตพลยังจะเอาเรื่อง เขาฮึดอัดไม่ยอมถอย อานุภาพก็ยืนปักหลักอย่างไม่กลัว
“มีอะไรกันเหรอคะ” อนุชร้องทักขึ้นเมื่อมาถึง เธอรีบมายืนประกบพี่ชายทันที
“ไม่มีอะไรหรอก พี่ไม่ค่อยสบาย กำลังจะกลับแล้ว…ไปนะฮะ ขอบคุณที่เดินด้วยกันวันนี้” อานุภาพบอกกับนวลดาราแต่ตากลับมองไปที่ทัตพลแล้วยิ้มมุมปากเหมือนจะเยาะหยัน ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับอนุช
“เดินด้วยกันเหรอ…กลับมาก่อนสิวะ” ทัตพลตะโกนไล่หลัง แต่จะตามไปราวีอีกก็ไม่ได้เพราะนวลดาราฉุดแขนไว้
“พี่ทัต พอได้แล้ว”
“มันกวนประสาทพี่ นวลเข้าข้างมันเหรอ”
อานุภาพเดินไปไกลแล้วแต่ก็ยังได้ยินการถกเถียงนั้น เขาแอบยิ้มอย่างสมใจ
“พี่อ้ายไปกวนประสาทนายนั่นทำไม นี่พี่อ้ายจะแข่งจีบคุณนวลกับนายทัตพลนั่นจริงๆ เหรอ” อนุชเปิดฉากซักถามพี่ชายทันทีที่ตามพี่ชายขึ้นมาถึงห้องพักที่ชั้นสองของเรือนรับแขก
“ถ้าจริง นุชว่าพี่จะมีสิทธิ์ชนะไหม” พี่ชายตอบเรียบๆ เหมือนไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นอะไร
“ไม่ชนะ เพราะนุชไม่ให้พี่อ้ายลงแข่ง”
“นุช พี่แน่ใจแล้วว่านวลดาราคือคนรักที่พี่ตามหา”
“นุชว่านะ ผู้หญิงคนนี้คือเจ้ากรรมนายเวรที่จะมาคิดบัญชีกับพี่อ้ายอย่างที่พ่อบอกมากกว่า ตั้งแต่พี่อ้ายเจอเธอก็มีแต่เรื่องเจ็บตัว นี่ดีนะที่พี่ชลบอกว่านุชน่าจะตามไปดูพี่อ้ายเผื่อเป็นอะไร ถ้านุชตามไปไม่ทัน พี่อ้ายคงโดนนายนั่นต่อยเอาอีกแหงๆ”
“ถ้ามันต่อย คราวนี้พี่จะสู้ พี่จะทำทุกอย่างเพื่อให้คุณนวลรักพี่ให้ได้”
“พี่อ้ายต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ” น้องสาวร้อง ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอนของพี่ชาย “นุชจะพูดยังไงดีเนี่ย”
“ไม่ต้องพูด คราวนี้นุชต้องฟังพี่”
พี่ชายตัดสินใจเล่าเรื่องความฝันที่เห็นในวันนี้ให้น้องสาวฟัง หวังว่าเธอจะเข้าใจเขาขึ้นมาบ้าง แต่กลับไม่เป็นอย่างที่หวัง
“โอ๊ย…พี่อ้ายเพ้อเจ้อใหญ่แล้วรู้ไหมคะ นุชว่าพี่อ้ายเชื่อว่าคุณนวลเป็นเนื้อคู่ สมองพี่ก็เลยคิดสร้างเรื่องพวกนี้ขึ้นมาเพื่อตอบสนองความเชื่อของพี่” อนุชพูดขึ้นหลังจากฟังจบ
“เอาละ ถ้านุชไม่เชื่อ แล้วนุชตอบได้ไหมว่าอะไรทำให้พี่มาช่วยชีวิตคุณนวลทันถึงสองครั้งสองครา อย่าบอกนะว่าเรื่องบังเอิญ”
อนุชอึ้งไป อานุภาพรู้ว่าน้องสาวเข้าใจทุกอย่าง เพียงแต่เธอไม่อยากให้เขาเจ็บปวด
“นุช…อย่าห้ามพี่เลยนะ” พี่ชายนั่งลงที่ข้างๆ โอบกอดน้องให้เอนมาซบเขา เหมือนที่เคยปลอบโยนยามเมื่อเด็กหญิงอนุชร้องไห้ “แค่พี่ต้องทรมานเพราะกรรมเก่า คำสาป หรืออะไรก็ตามที่อาณตบอก มันก็ทุกข์พอแล้ว อย่าให้พี่ทุกข์เพราะทะเลาะกับนุชด้วยเลยนะ”
“แต่นุชเป็นห่วง นุชไม่อยากให้พี่อ้ายเป็นอะไรไป เรามีกันแค่สองคนนะ เรื่องอื่นนุชยอมได้ แต่เรื่องนี้นุชขอ”
“ถ้านุชขอพี่ก็ให้ได้ ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่พี่ให้นุชไม่ได้ แต่พี่หวังว่านุชจะเข้าใจพี่”
“นี่พี่อ้ายกำลังกล่อมนุชใช่ไหม”
“ไม่ ครั้งนี้พี่พูดจริงๆ พี่อยากให้นุชเข้าใจ ว่าตอนนี้พี่แน่ใจแล้วว่าคุณนวลคือคนรักที่พี่รอมาตลอดชีวิต”
“แต่คนรักที่รอจะนำความทุกข์ทรมานแสนสาหัสมาให้พี่อ้ายนะ”
“พี่อ้ายรู้ และแน่ใจด้วยว่าความรักที่พี่กำลังไขว่คว้านี่มันต้องแลกมาด้วยความทุกข์ทรมานมากแน่ๆ ถ้าต้องทรมานขนาดนั้น พี่ก็อยากมีใครสักคนอยู่ข้างๆ พี่ เหมือนวันที่เย็บแผลวันนั้น ได้ไหมคะ”
“ไม่ต้องมาคะขาเลย” น้องสาวพูดเสียงแง่งอน แต่หันมากอดพี่ชายแน่น เท่านั้นพี่ชายก็รู้แล้วว่าน้องสาวยอมตามใจเขาแล้ว
“ขอบคุณนะน้องรัก”
“เฮ้อ…ที่จริงนุชก็โล่งใจที่เลือกข้างใดข้างหนึ่ง นุชก็ทรมานที่ต้องอยู่ตรงกลางระหว่างพ่อแม่กับพี่อ้ายเนี่ย”
“เฮ้อ…รู้อย่างนี้ พี่พูดตรงๆ กับนุชซะตั้งนานแล้ว”
“แล้วที่บอกจะไขว่คว้า มีแผนแล้วใช่ไหมล่ะ” น้องสาวถาม
“พี่จะทำให้คุณนวลเห็นให้ได้ว่านายทัตพลไม่ใช่คนดีอย่างที่เธอเห็น ไม่ว่าสุดท้ายเธอจะรักหรือไม่รักพี่ อย่างน้อยเธอก็จะได้ไม่ต้องใช้ชีวิตคู่อยู่กับคนพาล”
“พี่อ้ายมั่นใจได้ยังไงว่าเขาเป็นคนพาล”
“เชื่อพี่เถอะน่า” อานุภาพบอกน้องเพียงเท่านั้น เพราะไม่รู้จะอธิบายให้น้องสาวเข้าใจได้อย่างไรว่าเขามั่นใจเพราะท่าทางนักเลงของทัตพลที่ชักดาบข่มขู่เขาในความฝัน
- READ สาปแสงรัก บทที่ 25 : ทุกภพทุกชาติเชี่อมโยงกัน (จบบริบูรณ์)
- READ สาปแสงรัก บทที่ 24 : ท้องฟ้าหลังพายุผ่าน
- READ สาปแสงรัก บทที่ 23 : ข้อความสุดท้าย
- READ สาปแสงรัก บทที่ 22 : เหตุผลที่คนทิ้งกัน
- READ สาปแสงรัก บทที่ 21 : ความจริงเรื่องพ่อ
- READ สาปแสงรัก บทที่ 20 : เหตุซ้ำรอย
- READ สาปแสงรัก บทที่ 19 : กรรมเก่า กรรมใหม่
- READ สาปแสงรัก บทที่ 18 : ระลึกชาติ
- READ สาปแสงรัก บทที่ 17 : เคราะห์ซ้ำกรรมซัด
- READ สาปแสงรัก บทที่ 16 : ความรักของยาย
- READ สาปแสงรัก บทที่ 15 : มาตามสัญญา
- READ สาปแสงรัก บทที่ 14 : ทำไมต้องลืม
- READ สาปแสงรัก บทที่ 13 : ห้ามรัก
- READ สาปแสงรัก บทที่ 12 : จะเป็นจะตายให้มันรู้
- READ สาปแสงรัก บทที่ 11 : หยุดเถอะลูก
- READ สาปแสงรัก บทที่ 10 : เพลงยาว
- READ สาปแสงรัก บทที่ 9 : เดี๋ยวเจ็บ เดี๋ยวไม่เจ็บ
- READ สาปแสงรัก บทที่ 8 : เปิดโปง เปิดใจ
- READ สาปแสงรัก บทที่ 7 : ความรักเพิ่งเริ่มต้น
- READ สาปแสงรัก บทที่ 6 : คลื่นความเจ็บปวด
- READ สาปแสงรัก บทที่ 5 : ถึงเกลียดก็จะรัก
- READ สาปแสงรัก บทที่ 4 : นางในฝัน
- READ สาปแสงรัก บทที่ 3 : เหตุผลที่คนเกลียดกัน
- READ สาปแสงรัก บทที่ 2 : แรกรัก แรกเกลียด
- READ สาปแสงรัก บทที่ 1 : คำทำนายที่ไม่อาจเลี่ยง