ฉันเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ ตอนที่ 3 : ฉันกับสาวเจ้าอารมณ์

ฉันเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ ตอนที่ 3 : ฉันกับสาวเจ้าอารมณ์

โดย : โสภี พรรณราย

Loading

ฉันเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ โดย โสภี พรรณราย…เมื่อชีวิตของชาลิสาพลิกผันไปจากความร่ำรวย กลายมาเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ เธอต้องงัดเอากลยุทธ์มากมายมาจัดการให้เรื่องราววุ่นวายทั้งหลายผ่านไปให้ได้ แต่ยังมีเรื่องวุ่นๆ ของหัวใจที่เกิดขึ้นทุกทีที่พบกับธีทัต เธอจะรับมืออย่างไร นวนิยายจากอ่านเอา ที่นำมาให้ทุกท่านอ่านออนไลน์ค่ะ

ขโมย?

แต่ชาลิสายังต้องหยุดคิดเพราะไม่แน่ว่า เธอคนนั้นอาจจะหยิบสร้อยคอประดับคริสตัลเพื่อจะเดินไปชำระเงินที่ช่องชำระเงิน

เปล่า…

เธอคนนั้นยังเดินผ่านเคาน์เตอร์ชำระเงินไปเฉยและเดินไปเรื่อยๆ ทั้งที่ยังมีสร้อยอยู่ในมือ…และสักครู่ก็หย่อนสร้อยลงกระเป๋าถือ

คราวนี้ชัดเลยละ ตั้งใจไม่ชำระเงินแน่ แถมยังเดินแบบสบายๆ ดูนั่นดูโน่นไปเรื่อยๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วยังเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับตัวเอง

สติดีหรือเปล่าเนี่ย

จนเห็นเจ้าหล่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ ก็กลัวว่าอาจจะคลาดกัน ชาลิสาจึงเข้าจับแขน

“คุณขโมยของในห้าง!”

เธอคนนั้นเลิกคิ้ว งงๆ ถามว่า

“ฉันเรอะ…ขโมย?”

อะไรเนี่ย ชาลิสาผงะ ยังมาถามกลับหน้าตาเฉย ภาพรวมเธอคนนั้นก็สวยมาก แต่งตัวเรียบหวาน ไฮโซ…ดูแพง แบบไม่ต้องอธิบายเลย ดูดีไปทั้งตัว เครื่องประดับแบรนด์เนม กระเป๋าก็ใช้ราคาหลักล้าน รองเท้า…ถ้าชาลิสาจำไม่ผิด ราคาเกือบสามแสนแน่ๆ

“ฉันเห็นคุณหยิบสร้อยแฟชั่นที่แผนกเครื่องประดับ”

เจ้าหล่อนยังทำหน้ายียวน สลับกับแกล้งงง

“เรอะ”

“คุณหยิบชัดๆ”

“เห็นเรอะ”

“เห็นสิ จึงเดินตามคุณว่าคุณจะชำระเงินไหม”

“ชำระเงิน?” ยังทำท่างงๆ กับคำว่า ชำระเงิน

“คุณซื้อของก็ต้องชำระเงิน”

“พี่ณาจ่าย…” อ้าว…หันซ้ายหันขวา ไม่มีลักขณา…

เจ้าหล่อนคือ…ริก้า

“คุณยังไม่จ่ายเงิน”

ริก้าทำหน้าลอยหน้าลอยตา

“จ่าย…ต้องจ่ายด้วยเหรอ…ไม่มั้ง”

“ฉันจะส่งคุณไปให้เจ้าหน้าที่ห้างจัดการ”

ชาลิสาผู้ซื่อตรง ทนไม่ได้จะปล่อยผ่าน ตรง…และมุ่งมั่นจนคนใกล้ตัวให้เธอรู้จักปล่อยวางบ้าง เธอมักเครียดตลอดเวลา

ปกติเครียดอยู่แล้ว ชะตาชีวิต ยังทำให้เครียดมากขึ้นอีก

ยังจับแขนริก้าแน่น

ริก้าพยายามจะสะบัด แต่ไม่หลุด ต้องร้องเบาๆ

“ปล่อยทีเถอะ…จับแน่นแบบนี้ เจ็บนะ” ไม่มีใครกล้าทำคนอย่างริก้า…เจ็บ

ตนเติบโตมาแบบริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม ทะนุถนอมราวกับแก้วบาง จับแขนหน่อย บริเวณต้นแขนก็มีรอยช้ำแดงแล้ว

พอร้องเจ็บจริงๆ ไม่ได้แกล้ง ชาลิสาจึงรีบปล่อยมือ เพราะคิดว่าถ้าวิ่งหนีเรอะ เธอวิ่งทันแน่ เพราะถึงรูปร่างจะบอบบาง แต่อีกฝ่ายบอบบางมากกว่าเห็นๆ

เห็นชาลิสาตัวบาง อย่าคิดว่าอ่อนแอ เธอออกกำลังกายเสมอ และฝึกศิลปะการต่อสู้มามากมาย ทั้งชกมวย ทั้งยูโด คาราเต้ ตอนแรกเรียนรู้เพื่อป้องกันตัว แต่มีพรสวรรค์จนเข้าแข่งขันชนะมาหลายรายการ

ผู้ชายตัวใหญ่ๆ ก็ล้มได้ ประสาอะไรกับสาวตัวเล็กบอบบางอย่างคนตรงหน้า

ริก้ามองต้นแขนตัวเอง ก็ร้องโวยวาย

“เห็นไหม…ช้ำ…และแดงแล้ว มือผู้หญิงหรือเปล่าเนี่ย แข็งยังกับมือผู้ชาย”

ชาลิสาเห็นต้นแขนขาวนวลของอีกฝ่ายแดงเป็นรอยมือของตนจริงๆ จนต้องพึมพำ

“โอ้โห…ผิวบางขนาดนี้เลย”

“ไม่หนังหนาแบบเธอนี่…”

ชาลิสาตาโต

พูดจา…ใช้อารมณ์ชัดๆ ทั้งๆ ที่เป็นขโมย คงจะแกล้งโวยวายกลบเกลื่อนความผิดสิท่า

“ไม่แตะต้องตัวคุณแล้ว แต่คุณต้องตามฉันไปหาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เพราะคุณขโมยของในห้าง”

ริก้าเบ้ปาก

“ทำไมต้องไป ทำไมต้องตามเธอ เสียใจ อย่ามาเกะกะทางเดิน ฉันจะไปทำธุระของฉัน”

“อย่าพยายามจะหนี”

“เอ๊ะ…เธอเป็นใคร มาขัดขวางทางเดินฉัน”

“ก็เป็นพลเมืองดี ทนเห็นคนทำผิดไม่ได้ ฉันไม่ปล่อยผ่านหรอก คุณต้องสารภาพความผิด”

ริก้ายังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน

“บอกว่าอย่ามาเกะกะ”

“ฉันนัดเพื่อนไว้ ใกล้เวลานัดแล้ว ไม่มีเวลากับคุณแล้ว” ชาลิสามองนาฬิกา และจับต้นแขนริก้าอีกครั้ง “ไปกับฉัน”

เลยถูกโวยวาย

“บอกว่าเจ็บ มือคนหรือคีบหนีบกันแน่”

เสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ มีลูกค้าผ่านมา แต่ไม่ได้สนใจสองสาวที่เหมือนกำลังถกเถียงกัน

หากก็มีเสียงหนึ่งคุ้นๆ แทรกทักชาลิสา

“สา…มาทำอะไรตรงนี้”

ชาลิสาเห็นเค้าก็ยิ้มกว้าง

“นที…มาพอดีเลย มาช่วยกันจับขโมย”

เสียงหนุ่มที่ทักคือ นที เพื่อนหนุ่มคนสนิทตั้งแต่เรียนมัธยมมาด้วยกัน เขาเป็นหนุ่มหนุ่มตัวใหญ่ ร่างกายแข็งแรง เป็นเจ้าของบริษัทนักสืบและรักษาความปลอดภัย เขาจึงแต่งแต่งตัวดีเสมอ มักสวมสูท สุภาพ และแข็งแกร่ง สร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า

นทีชื่นชอบชาลิสามานานแล้ว พยายามจะข้ามโซนเพื่อนให้เป็นคนรักแต่ยังทำไม่สำเร็จ ความรักยังไม่สำเร็จ แต่บริษัทของเขากำลังไปได้สวย มีลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

นทีมองซ้าย…ขวา…

“จับขโมย…ไหน…ขโมย” เพราะด้วยงานของเขา รักษาความปลอดภัยด้วย จับขโมยจึงควรกระทำ

วันนี้บริษัทของนทีได้รับว่าจ้างให้ส่งคนมาดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับห้องจัดนิทรรศการโชว์ภาพวาดที่ศิลปินมาจัดงานโชว์ในห้าง นทีส่งลูกน้องมาดูแลงานสี่คน และเขาก็มาควบคุมอีกคนหนึ่งเพื่อดูความเรียบร้อยของลูกน้อง

“นี่ไง…คนขโมยสร้อยคอคริสตัลราคาห้าหกพันบาทจากแผนกเครื่องประดับ สาเห็นกับตาเลยตามมาจับตัวไว้ก่อนจะหนีออกจากห้าง”

นี่…ผู้หญิงคนนี้ นทีมองไปที่ข้างๆ ชาลิสา

แล้วสายตานทีก็เบิกกว้างเล็กน้อย

“อ้าว…นี่มันคุณริก้า”

“นทีรู้จักเรอะ”

“ก็…คุณริก้า น้องสาวคุณธีทัต เจ้าของห้างนี้”

ริก้ายกมือกอดอก ยิ้มกระหยิ่ม ยังดีมีคนรู้จักตน คราวนี้ก็ไม่ต้องตามผู้หญิงที่อ้างว่าจับขโมยไปให้เสียเวลา

“เจ้าของห้าง…” ชาลิสางงๆ ในตอนแรก แต่ก็พูดว่า “แล้วมีสิทธิ์หยิบของเลยเรอะ เป็นเจ้าของห้างแต่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า คริสตัลแบรนด์นี้เป็นของต่างประเทศ เป็นเจ้าของห้างก็หยิบของไปเลยได้ใช่ไหม”

นทีกำลังอึดอัด พูดไม่ออก

“ผมจัดการเอง…คุณนที” ชายอีกคนเดินมา

เจ้าของเสียงก้าวมาใกล้ ทำให้นทีโล่งอก

“คุณธีทัต สวัสดีครับ”

เขาคือ…ธีทัต ที่นทีรู้จักเคยเจอสองสามครั้ง ตอนติดต่อประสานงานเรื่องการรักษาความปลอดภัย ปกติที่ห้างหรือโรงแรมของธีทัตมีแผนกรักษาความปลอดภัยกินเงินเดือนประจำอยู่แล้ว แต่งานนอกเหนือคาดหมายงานที่เพิ่มขึ้นต่างๆ บางครั้งลูกค้าก็ต้องการทีมรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม จึงเรียกใช้บริการจากนที

“คุณธีทัตครับ…เรื่องของคุณริก้า” นทีดูเกรงอกเกรงใจอีกฝ่าย ไม่ทันใจชาลิสา จึงโพล่ง

“คุณริก้าคนนี้ขโมยของในห้าง ฉันเห็นกับตา ไม่เชื่อก็ดูในกระเป๋าถือเธอ มีสร้อยคริสตัลเส้นนึงอยู่แน่ๆ”

เขาหันมามองคนพูด…ฝ่ายชายดูจะสงบนิ่ง แต่ฝ่ายหญิงทำท่าคิดครู่หนึ่ง

ผู้ชายคนนี้

“อ๋อ…นึกออกแล้ว คุณนั่นเอง ที่เจอที่โรงแรม”

ผู้ชายที่ใกล้ชิดกับสาวสวยคนหนึ่ง ที่ชาลิสาบังเอิญได้ยินคุยกันและโดนกล่าวหาว่าเป็นนักสืบมาจับผิดเขากับเธอคนนั้น

ผู้ชายที่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงที่มีเจ้าของ!

แอบพบกัน…หลบๆ ซ่อนๆ และคอยระแวงมีคนตามระแวง กระทั่งหล่อน

ดูเหมือนเขาจะจำได้เหมือนกัน แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่พูดถึงวันนั้น

“ริก้าเป็นน้องสาวฉันเอง” เสียงพูดเรียบๆ

ชาลิสาเบ้ปาก นั่นไง…ไม่กล้าพูดเรื่องที่เจอกันที่โรงแรม

“น้องสาวแล้วไงคะ ทำผิดถือว่าไม่ผิดใช่ไหมคะ”

“ริก้ามีข้อยกเว้น”

“หรือว่ารวย หรือถือเป็นเจ้าของห้าง”

“มันมีเหตุผล”

“ดีนะ…อยากได้อะไรก็หยิบไปเฉย”

“เธอไม่รู้อะไร”

“เห็นกับตา ใครจะทนได้”

“ให้มันผ่านไปเถอะ ฉันจะจัดการภายหลังเอง”

“เรอะ….เพราะเป็นน้องคุณเรอะ ถ้าเป็นฉันคงถูกจับส่งตำรวจแล้ว หรือถูกปรับยี่สิบเท่าหรือกี่เท่าก็ไม่รู้”

นทีพยายามจะสะกิดแขนชาลิสา ให้ลดราวาศอกบ้าง

“สา…สา…เบา…เบา…”

ชาลิสากลับเสียงดังขึ้นอีก

“หรือเพราะเป็นน้องสาวคุณ เลยทำผิดไม่ได้ใช่ไหม” ความรู้สึกไม่พอใจเกิดขึ้นตั้งแต่พบกันครั้งแรก เขาก็ต่อว่าหาเรื่องเธอ แย่งโทรศัพท์มือถือเธอไปดูว่าแอบถ่ายเขากับสาวหรือเปล่า

พอเห็นในโทรศัพท์ไม่มีภาพ แทนที่จะขอโทษสักคำ ก็ไม่มีหลุดออกจากปาก แล้วครั้งนี้เขาจะแก้ตัวแทนความผิดของน้องสาวอย่างไรอีก

ธีทัตสูดลมหายใจลึกๆ ลึก เขาจะพูดอย่างไรดีเพื่อรักษาภาพพจน์ของริก้า

ริก้ายิ้มกว้างกับพี่ชาย และพูดขึ้น

“คราวนี้ริก้าพลาดไปนิด ถูกคนจับได้ ไม่ตื่นเต้นเลย”

พี่ชายส่งสายตาดุๆ ให้น้อง แต่ในสายตานั้น ชาลิสาเห็นแววตารักและสงสารน้องเป็นที่สุด

พี่ชายที่รักน้องมาก

“ไม่ต้องพูดเลย!”

“ริก้าขอโทษ”

“เงียบ!”

“ขอโทษค่ะ…ขอโทษค่ะ พี่ธี…”

พี่ชายโคลงศีรษะ และพยักหน้ากับชาลิสา ให้เดินห่างออกมา

“เราต้องคุยกันสองคน”

หญิงสาวเลิกคิ้ว

“คุยที่นี่ไม่ได้หรือคะ ฉันมีนทีเป็นเพื่อน”

“ตามมา” เขาไม่อยากให้น้องสาวได้ยิน แล้วเดินห่างมาราวสามสี่เมตรเท่านั้นละ

หญิงสาวอยากรู้ว่าเขาพูดอะไร จึงยอมเดินตาม และนทีก็พยักหน้า เหมือนบอกว่าไปเถอะ เขาอยู่คุยกับริก้าเอง

ธีทัตพูดขึ้นมาเบาๆ

“เรื่องน้องสาวฉัน ฉันจะจัดการเอง แต่ขอเป็นเรื่องภายใน ริก้าเป็นโรคจิต โรคชอบหยิบของ และรักษาตัวอยู่”

ชาลิสาชะงักเล็กน้อย

“เอ้อ…”

“เรื่องต้องเงียบ ฉันเพิ่งรู้ตอนหาหมอเดือนที่แล้ว ริก้าไม่ได้ไป ความจริงแล้วอาการริก้าดีขึ้นเยอะ ไม่หยิบของมานานแล้ว”

“ถ้าเธอไปขโมยของข้างนอก จะเป็นปัญหานะคะ”

“ปกติริก้ามีเลขาติดตามตลอด และการรักษาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนมาวันนี้…ไม่น่าเกิดขึ้นเลย ดีมาเป็นปีแล้ว”

โรคนี้…โรคชอบหยิบของ หรือขโมยของ ชาลิสาเคยได้ยินมาบ้าง เพิ่งมาเจอกับตัว

แล้วก็มีเสียงหญิงสาวคนหนึ่งร้อง

“โอ๊ย…ตามหาตัวเสียทั่ว มาอยู่ตรงนี้เอง” ลักขณาวิ่งมาอย่างลนๆ ยิ่งเห็นธีทัตอยู่ใกล้ๆ ก็ยิ่งกลัวความผิดจะถูกดุ “ณาตามหาตัวทั่วเลย ออกจากห้องประชุม คุณริก้าก็หายไป นึกว่าอยู่ห้องน้ำในห้องประชุมเสียอีก แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นคะ…” ถามธีทัต

“ริก้าก่อเรื่อง…แต่เคลียร์เรียบร้อยแล้ว วันหลังก็เฝ้าใกล้ชิดหน่อย แล้วอาทิตย์นี้ก็อย่าลืมพาริก้าไปหาจิตแพทย์ด้วย” พูดเท่านี้ก็เข้าใจกัน

“อ๋อ…ค่ะ…ค่ะ” ลักขณาโคลงศีรษะ ริก้าทำให้ตัวเองเดือดร้อนทุกที

ธีทัตพูดกับชาลิสา

“เธอทำหน้าที่เป็นพลเมืองดีก็ดีแล้ว ขอให้จบแค่นี้นะ”

หญิงสาวเลิกคิ้ว

อ้าว…เป็นพลเมืองดี ขอบใจสักคำก็ไม่มี พูดแล้วเขาเดินจากไป

 



Don`t copy text!