
ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 11 : ในคืนที่ฟ้าไร้ดาว
โดย : สิปัณฑ์
ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา
ชายหนุ่มในชุดสูทสีแดงเข้มที่แม้บัดนี้จะถูกมองด้วยสายตายั่วโทสะเพียงใดแต่เขากลับทำได้เพียงสะกดกลั้นอารมณ์ต่างๆ ที่กำลังเดือดดาลอยู่ในใจ
“อสูรพวกนั้นมิใช่ทหารของเจ้าหรือยะษา หวังให้ข้าสังหารพวกมันแล้วกลับไปรับทัณฑ์ที่เชิงเขาไกรลาสอีกเช่นนั้นหรือ”
ศิคินส่งจิตไปถามชายตรงหน้า แต่สายตาที่ตอบกลับมานั้นหาได้รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย ยะศิณาที่ได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะหันไปมองพี่ชายของตน
“รู้จักสิครับคุณริชา คนคุ้นเคยกันทั้งนั้น จริงไหมศิคิน…”
ภายใต้สถานการณ์ที่จ้องกันไปมานั้นริชาที่รับรู้ได้ถึงความอึดอัดนี้จึงสะกิดพิภพเบาๆ พิภพตอนนี้ราวกับว่าความคิดในหัวที่ตีกันไปมา เพราะแม้จะพยายามคิดเท่าไรก็จำไม่ได้เลยว่าเคยพบยะษาที่ไหนมาก่อน
“เชิญเข้าด้านในเถอะครับ อีกสักครู่งานประมูลจะเริ่มแล้ว”
เจ้าของงานแก้สถานการณ์ได้เป็นอย่างดีเสียจนริชาที่ในตอนแรกไม่รู้จะทำเช่นไรกับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าอยากปรบมือให้พิภพเป็นรางวัล
เมื่อเดินเข้ามาภายในงานมีการจัดแสดงของหายากหรือของเก่าต่างๆ ที่บรรดาแขกในงานนำมาจัดแสดงไม่ว่าจะเป็นเครื่องลายคราม เครื่องประดับ ภาพเขียน หรือแม้แต่ผ้าไหมอายุหลายช่วงอายุคน ริชาเดินดูไปเรื่อยเพราะเธอเองไม่ชอบที่จะเป็นเป้าสายตาเท่าใดนักเมื่อยามยืนอยู่ข้างพิภพ
จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ภาพวาดภาพหนึ่ง เป็นภาพวาดคล้ายจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์วิหารของไทยโดยลายเส้นที่ใช้เน้นความอ่อนช้อยของลายเส้นอย่างไทย ริชามองดูอยู่พักใหญ่เพราะต้องการทราบว่ารูปภาพนั้นต้องการบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งใด
“พิธีกวนเกษียรสมุทรครับ”
“คะ…” เสียงของศิคินดังขึ้นจากด้านหลังก่อนริชาจะถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“ผมสังเกตจากสองฝั่งครับ คุณจะเห็นว่าตรงกลางนั้นคือภูเขาชื่อว่ามันทรคีรีที่มีพญานาควาสุกรีเป็นดังเส้นเชือก โดยมีสองฝั่งตรงนี้คือส่วนเศียรพญานาคเป็นอสูรและส่วนหางเป็นเทพครับ”
เขาพูดพลางชี้ให้เธอมองตามคำอธิบายของเขา ริชาพยักหน้าตามศิคินและฟังอย่างตั้งใจก่อนจะนึกถึงเรื่องตำนานการกวนเกษียรสมุทรที่พ่อของเธอมักเล่าให้ฟังในวัยเด็ก
“ส่วนตรงนี้หมายถึงของวิเศษที่ผุดขึ้นมาจากการกวนเกษียรสมุทรครับ ดอกบัวที่มีพระนางลักษมีประทับอยู่ สังข์ หริธนู…” ศิคินที่ชี้ไปยังส่วนต่างๆ ก่อนจะมาหยุดที่ภาพของต้นไม้ต้นหนึ่ง คำพูดอธิบายที่เงียบไปนั้นทำให้ริชาที่กำลังมองไปที่ภาพวาดค่อยๆ หันมามองที่ศิคินอย่างต้องการคำอธิบายต่อ
“ปาริชาต…คือต้นปาริชาตครับ”
น้ำเสียงสั่นเครือนั้นพูดทั้งที่เขากำลังยิ้มให้ริชา แต่แววตาของศิคินนั้นกลับเศร้าลงในทันทีจนเธอสามารถสังเกตได้ ริชาเหมือนกับว่ารับรู้ถึงความรู้สึกนั้นได้ภายในใจ จู่ๆ ความรู้สึกของเธอก็เศร้าขึ้นมาเช่นกัน
“เหมือนที่พ่อฉันชอบเล่าให้ฟังเลยค่ะ พ่อเป็นอาจารย์วิชาสังคม ท่านเลยมีอะไรแบบนี้มาเล่าให้ฉันฟังเป็นประจำ แต่คุณศิคินเก่งมากเลยนะคะ สังเกตนิดเดียวก็รู้เลยว่าเป็นภาพอะไร ฉันมองอยู่ตั้งนานสองนาน”
ริชาพยายามเปลี่ยนเรื่องในการสนทนาในทันที ก่อนทำท่าจะเดินออกไปจากชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยเธอนั้นรู้สึกไม่ดีอย่างอธิบายไม่ได้ยามที่มองสายตาอันแสนเศร้าสร้อยนั้น หากแต่มือใหญ่ของศิคินกลับไวกว่าก่อนจะคว้าไปที่มือของริชา
ไม่มีแม้คำพูดใดเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของทั้งสอง ก่อนศิคินจะค่อยๆ ปล่อยมือของริชาให้เป็นอิสระจากการเกาะกุมของเขา
“ผมขอโทษครับ…”
“ก็ริชาไม่เคยตั้งใจฟังพ่อเล่าเลยน่ะสิศิคิน” สถานการณ์อึดอัดดังกล่าวเบาบางลงได้ด้วยเสียงของวิษณุที่เดินเข้ามาหาทั้งสองคน
“หนูตั้งใจฟังนะแต่อาจจะจำไม่ได้ทั้งหมด เห็นพ่อคุยกับอาตรีอยู่หนูเลยไม่อยากกวน นานทีๆ คุณวิษณุจะว่างมาออกงานแบบนี้”
“แกก็พูดไปเรื่อย ศิคินไม่ต้องไปฟังริชาเยอะนะ” เขามองค้อนลูกสาวเบาๆ ก่อนจะรีบแก้ตัวกับศิคิน
“ว่าแต่หลังงานนี้หนูมีงานใหญ่ๆ อีกไหมลูก พ่อว่าจะชวนเราสองคนไปเที่ยวซะหน่อย”
“มีงานแต่งอีกสองสามงานค่ะพ่อ แต่ก็เดือนหน้าโน่นเลย ว่าแต่เที่ยวที่ไหนคะ” ริชาถามขึ้นอย่างแปลกใจด้วยปกติพ่อของเธอนั้นถ้าหากไม่สอนนักศึกษาก็จะช่วยดูเอกสารงานวิจัยต่างๆ จนเวลาว่างไปเที่ยวนั้นแทบไม่มี
“จะบอกว่าเที่ยวก็ไม่เชิงหรอกนะ เพื่อนพ่อชวนไปดูงานที่อยุธยาน่ะ แต่มันตรงกับช่วงเทศกาลโขนด้วยพอดีเลยจะชวนไปด้วยกัน”
“กะแล้วไม่มีผิด พ่อน่ะเหรอจะว่างไปเที่ยว” ริชายิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจด้วยตนนั้นรู้ทันผู้เป็นพ่อที่สุดเสมอ
“ผมว่างครับคุณอา เดี๋ยวผมขับรถให้เอง” ศิคินตกปากรับคำในทันทีก่อนริชาเสียอีก
“คุณไม่ต้องไปก็ได้นะ ไหนๆ ก็ต้องปิดร้านจะได้พักผ่อนด้วย”
“คนเขามีน้ำใจไอ้ลูกคนนี้”
วิษณุตาเขียวเสียงเข้มใส่ลูกสาวในทันที และริชาที่คิดว่าอย่างน้อยสองสามวันนี้อาจจะไม่ต้องเห็นสายตาและรอยยิ้มของศิคินบ้างเป็นอันต้องฝันสลายเมื่อเขาตกปากรับคำอย่างง่ายดาย
“ผมไปด้วยครับ สองสามวันนี้ผมก็ว่าง”
ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสนิทที่เดินเข้ามาพูดขึ้น พิภพมองไปที่ศิคินก่อนจะยิ้มให้เขาเช่นกันแต่ช่างเป็นรอยยิ้มที่แสนฝืนใจที่สุดเท่าที่วิษณุเคยเห็น จนเขาอดไม่ได้ที่จะกลั้นหัวเราะด้วยเพราะต้นเหตุคงมาจากลูกสาวเขาเป็นแน่
“ไม่ต้องแย่งกัน ไปด้วยกันทั้งหมดนี้ละ”
ชายวัยกลางคนพยายามจะไม่หัวเราะก่อนจะจูงมือลูกสาวเดินออกมา ทิ้งให้ชายหนุ่มสองคนเดินตามกันมาแทบจะไม่ทัน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ในสายตาของสองพี่น้องเสมอ โดยยะษาและยะศิณานั้นลอบสังเกตความเคลื่อนไหวของทั้งริชาและพิภพที่ไม่ว่าอย่างไรศิคินก็ไม่ห่างทั้งสองคนเลย
“เทพอัคคีคงไม่ห่างนางเป็นแน่”
“หรือเราจะกลับกันก่อนท่านพี่ แล้วค่อยหาวิธีการใหม่…” ยะศิณาเสนอขึ้น
“กลับหรือ…” เขาทวนคำพูดของยะศิณาอย่างไม่สบอารมณ์นักก่อนคนเป็นน้องจะรีบหลบสายตาในทันที
“ศิคินมันไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามหรอก เพราะถ้ามันทำผิดข้อตกลงอีกครานั้นหมายถึงจองจำที่ถ้ำทัณฑ์อัคคี” ความคิดบางอย่างที่แล่นอยู่ในหัวนั้นทำให้อสุราหนุ่มถึงกับยิ้มออกมาด้วยความสะใจ
“ถึงตอนนี้จะทำกระไรมันไม่ได้ ไหนเลยข้าขอทดสอบเสียหน่อยว่าเทพแดนสวรรค์จะซื่อตรงต่อหน้าที่หรือซื่อตรงต่อหัวใจมากกว่ากัน”
“ท่านพี่จะทำกระไรเจ้าคะ”
ยะศิณาถามขึ้นอย่างร้อนใจก่อนจะพอเดาใจพี่ชายของตนออก สายตาที่ยะษาจับจ้องไปที่พิภพนั้นทำให้ยะศิณารู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ขณะที่พิธีกรเริ่มการประมูลไปนั้น ริชาตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อยกับของที่ขึ้นประมูลบนเวทีด้วยล้วนแล้วแต่เป็นของเก่าหาดูได้ยากยิ่ง เว้นแต่ศิคินที่ตอนนี้ถึงแม้จะดีใจเพียงใดที่ริชาเริ่มที่จะไม่มีความคิดต่อต้านเขาเท่าใดนัก แต่เพราะสองพี่น้องทิพยอสุราที่มาป้วนเปี้ยนในงานทำให้เขาต้องคอยระวังให้กับพิภพอีกคน
จากนั้นยะศิณาที่ตอนนี้เดินตรงเข้ามาหาพิภพเพียงผู้เดียวไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้เป็นพี่ชาย
“สวัสดีค่ะคุณพิภพ เรายังไม่ได้ทักทายกันเลยนะคะ”
“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะครับ”
พิภพกล่าวทักทายถึงแม้จะรู้ว่าเป็นเพียงมารยาทเท่านั้นยะศิณาก็หาได้ใส่ใจ
“เพื่อนเหรอลูก…” เหมือนดาวที่ยืนอยู่ข้างพิภพถามขึ้นก่อนจะหันไปยิ้มให้ยะศิณา
“เขากับพี่ชายเป็นแขกคุณแม่ไม่ใช่เหรอครับ…” คิ้วเข้มของพิภพผูกเป็นปมก่อนเสียงดนตรีจะดังขึ้นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เขาถามผู้เป็นแม่
“อะไรนะลูก แม่ฟังไม่ถนัด…”
เสียงดนตรีที่ดังขึ้นนั้นทำให้เหมือนดาวได้ยินที่พิภพพูดไม่ชัดเจน ยะศิณาอาศัยจังหวะนั้นคว้ามือของพิภพก่อนจะจูงเขาออกไปจากบริเวณนั้นในทันที พิภพตกใจอยู่ไม่น้อยแต่เพราะไม่อยากให้แขกรอบๆ แตกตื่นจึงยอมเดินตามเธอออกมาจากงาน
ศิคินที่เห็นดังนั้นจึงมองไปริชาเหมือนกำลังชั่งใจครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจ
“ริชา เดี๋ยวผมมานะ คุณอยู่ใกล้ๆ คุณอาวิษณุไว้นะ”
คำพูดสุดแสนแปลกประหลาดของเขาทำให้เธอถึงกับต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไรชายหนุ่มในชุดสูทสีแดงเข้มก็เดินหายไปท่ามกลางผู้คนอย่างรวดเร็ว
เสียงดนตรีดังขึ้นพร้อมๆ กับไฟที่เวทีกลางดับลงก่อนพิธีกรสาวและชายหนุ่มคนหนึ่งจะขึ้นมาบนเวที ชายหนุ่มร่างกำยำใบหน้าหล่อเหลาเสียจนแขกสาวๆ ในงานอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงจอแจพูดคุยกัน
ยะษายืนอยู่บนเวทีข้างๆ พิธีกรสาวท่ามกลางแสงไฟมากมายที่ส่องไปยังเขา และสิ่งของที่ถูกจัดวางอยู่ด้านหน้านั้นถูกคลุมด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงสดเพื่อไม่ให้ผู้คนจากด้านล่างที่มองขึ้นไปทราบได้ว่าของที่อยู่ภายในนั้นคือสิ่งใด
“ของชิ้นต่อไปถือเป็นอีกหนึ่งชิ้นที่น่าจับตาในค่ำคืนนี้เป็นอย่างมากเลยนะคะ ดิฉันได้แอบเห็นรูปมาบ้างแต่ก็ยังไม่เห็นของจริงเช่นกันค่ะ” น้ำเสียงพิธีกรสาวพูดด้วยความตื่นเต้น
“ผมคงต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่าของที่อยู่ด้านหน้าของผมที่ทุกคนจะได้เห็นต่อไปนี้ ที่จริงแล้วผมอยากให้ทุกคนได้ชม ไม่ได้จะร่วมประมูลนะครับ เพราะมันคงจะตีค่าเป็นราคาเช่นนั้นไม่ได้”
เสียงโห่ร้องอย่างผิดหวังดังขึ้นก่อนยะษาจะยกมือขึ้นเป็นสัญญาณเหมือนดั่งว่าให้ทุกคนใจเย็นลงก่อน
“ใจเย็นๆ ครับ ทุกคนอาจจะคิดว่าผมพูดเกินจริงไป เช่นนั้นลองชมแล้วตัดสินกันนะครับว่าผมพูดเกินจริงหรือไม่ว่ามันไม่สามารถประเมินค่าได้”
พูดจบยะษาก็กระชากผ้าที่คลุมสิ่งนั้นออกทันที เผยให้เห็นอัญมณีสีดำสนิทเม็ดโตที่วางอยู่บนแหวนสีทองที่ส่องประกายสีดำออกมาอย่างน่าประหลาด ไร้ซึ่งดวงไฟใดๆ มีเพียงถาดรองที่ทำจากผ้ากำมะหยี่เท่านั้นแต่แสงของมันกลับส่องสว่างเสียจนผู้คนในงานถึงกับโห่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
ริชาที่เห็นดังนั้นก็อดที่จะตกใจไม่ได้ ด้วยตนและพ่อยืนอยู่แทบจะติดกับขอบเวทีเช่นกันกับทั้งธาตรีและเหมือนดาวที่มองไปยังแหวนประดับอัญมณีนั้นด้วยความตื่นตะลึง
ดั่งต้องมนตรา ทุกคนในงานต่างนิ่งมองอัญมณีนั้นราวถูกสะกด…
“โอ๊ย!”
เสียงร้องของริชาที่ยืนอยู่ข้างๆ ผู้เป็นพ่อนั้นดังขึ้น พร้อมๆ กับร่างบางทรุดลงคุกเข่าที่พื้นพรมสีเข้ม หญิงสาวที่จู่ๆ ร่างกายของเธอนั้นก็ร้อนขึ้นดังไฟเผาพร้อมๆ กับอาการเจ็บแปลบที่หน้าอกอย่างรุนแรงจนไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ พร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากของชายผู้ยืนอยู่บนเวทีที่คลี่ออกอย่างพึงพอใจ
“คุณครับเราจะไปไหนกัน…”
หลังจากจูงมือของพิภพออกมายังบริเวณด้านหน้างานที่เป็นสนามหญ้าได้สำเร็จ ยะศิณาที่จู่ๆ ก็หยุดเดินก่อนจะหันกลับมามองชายหนุ่มแล้วจึงค่อยๆ ปล่อยมือเขา
“มีอะไรจะคุยกับผมรึเปล่าครับ” พิภพถามขึ้นพลันในใจก็นึกถึงเรื่องที่เกศราเคยนำวิดีโอเมื่อวันที่เขาเปิดตัวโรงแรมให้ชม
“คุณจำฉันได้บ้างไหมคะ”
น้ำเสียงสั่นเครือที่เจือไปด้วยความรู้สึกสงสัยของยะศิณาก่อนจะมองจ้องไปที่ดวงตาของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ดวงหน้าหวานบัดนี้นัยน์ตาเริ่มแดงก่ำมองไปยังพิภพที่ตอนนี้สีหน้าของเขาดูสงสัยกับคำถามที่เธอเพิ่งถามไปอยู่ไม่น้อย
“จำได้สิครับ เราพบกันครั้งแรกที่งานเปิดตัวโรงแรมของผม”
“ฉันหมายถึงก่อนหน้านั้น คุณพิภพเคยเห็นฉันมาก่อนบ้างไหมคะ”
“คุณหมายถึงช่วงที่เราบังเอิญพบกันที่บาร์หรือครับ ผมไม่เข้าใจ…”
คำตอบของพิภพทำให้สีหน้าของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่สู้ดีนักด้วยความผิดหวัง หลังจากเหตุการณ์ที่ใต้ต้นทองหลางนั้น ยะศิณาเห็นด้วยตาของตนว่าพิภพนั้นเหมือนดั่งว่าได้พลังบางส่วนของตนครั้งที่เคยเป็นองค์ราพสูรกลับมาบ้างแล้ว จึงพอจะมีหวังให้เขาสามารถจดจำหล่อนได้บ้าง
“คุณยะศิณาเป็นอะไรรึเปล่าครับ…” เขาถามหล่อนอีกครั้งด้วยไม่รู้ว่าตนพูดอะไรผิดหูเธอหรือไม่
“ฉันอาจจะคาดหวังบางอย่างมากจนเกินไปค่ะ”
แววตาของยะศิณาที่แสนเศร้านั้นไม่รู้ทำไมเมื่อพิภพได้เห็นจึงรู้สึกเศร้าขึ้นใจเช่นกัน ถึงแม้เหตุการณ์ในวันงานเปิดตัวของโรงแรมจะหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วเธอนั้นมีส่วนทำให้เกิดขึ้นหรือไม่ แต่จากที่เขาสามารถสัมผัสได้ด้วยความรู้สึกนั้น เธอต้องไม่ได้เป็นคนที่คิดร้ายต่อเขาเป็นแน่
“ผมอาจจะไม่รู้ว่าสิ่งที่คุณคาดหวังต่อผมเป็นแบบไหน แต่ถ้าตอนนี้คุณรู้สึกไม่ดีผมจะอยู่เป็นเพื่อนเองครับ…”
คำปฏิเสธที่แสนนุ่มนวลหวานหูนั้นไม่ว่าจะเป็นตอนนี้ที่เขาคือพิภพหรือในตอนที่เขาคือองค์ราพสูรของหล่อนเมื่อชาติภพที่ผ่านมา ยามได้ฟังเมื่อใดก็สร้างความเจ็บปวดบาดลึกลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ดังเช่นเดิมเมื่อครั้งกาลก่อน เขาก็จะเป็นคนที่อยู่เคียงข้างเธอในยามเศร้าใจแม้จะอยู่ในสถานะที่เธอต้องการไม่ได้ก็ตาม
เทพอัคคีหนุ่มมองไปยังชายหญิงที่อยู่ตรงหน้าทำได้เพียงทอดถอนหายใจเท่านั้น ด้วยเข้าใจดีว่ายะศิณานั้นทำเพื่อราพสูรเพียงใด
ยะศิณารู้ดีอยู่แล้วนั้นว่าศิคินกำลังจับตามองตนกับพิภพอยู่ ด้วยไม่อยากให้ผู้ใดต้องมาเห็นตนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ แต่เพราะคำบัญชาของผู้เป็นพี่นั้นหญิงสาวจึงโผเข้ากอดพิภพในทันที
“คุณยะศิณา!”
พิภพตกใจเป็นอย่างมากที่หล่อนโผเข้ากอดเขาในทันที แต่ด้วยท่าทางที่เศร้าสร้อยของยะศิณานั้นทำให้เขาไม่กล้าที่จะสะบัดเธอออกไปเช่นกัน แม้ดวงตาของเทพอัคคีจะกำลังเพ่งพินิจภาพตรงหน้าแต่ทว่าในดวงใจนั้นกลับกำลังคิดคำนึงหาใครผู้หนึ่ง
เพียงชั่วขณะที่เขากำลังนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ผันผ่านไปนั้น ความรู้สึกบางอย่างก็เข้ามาแทนที่ในทันที ความร้อนจากฝ่ามือทั้งสองที่ปะทุขึ้นและแต้มอัคคีสีแดงฉานที่ฝ่ามือกลับร้อนขึ้นก่อนมันจะส่องแสงสว่างสีแดงออกมา
“อย่างไรเทพอัคคี จะปล่อยให้ข้าพาองค์ราพสูรไปหรือจะกลับไปช่วยนางกันเล่า”
เสียงของยะศิณาที่ดังขึ้นในจิตพร้อมๆ กับเสียงกรีดร้องของริชาที่ดังขึ้นด้วยความเจ็บปวด ศิคินที่มีสายตาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรีบร่ายพระเวทกำกับไปที่พิภพและยะศิณา ทำให้ทั้งสองไม่สามารถขยับได้ชั่วขณะ
“พระเวทของเรานั้นไม่สามารถกักเจ้าไว้ที่นี่ได้นานนักหากเราไปช่วยริชา…แต่เราเชื่อว่าเจ้าไม่ใช่คนไร้ความคิดแยกแยะดีชั่วไม่ออก…องค์ยะศิณา”
พูดจบร่างของศิคินก็หายไปในทันที ทิ้งไว้เพียงคำพูดที่บาดลึกเข้าไปที่ใจของนางเท่านั้น เมื่อได้ฟังคำของเทพศิคินภาพความทรงจำเมื่อครั้งอดีตเมื่อครั้งที่ราพสูรพูดกับนางก็ดังขึ้นเช่นกัน
“เราเกิดเป็นใคร สูงต่ำเพียงไหนหาวัดได้ไม่..อยู่ที่เจ้ากระทำตนเช่นไร รู้หรือไม่เจ้าตัวเล็ก”
เสียงขององค์ราพสูรที่ดังขึ้นนั้นและเมื่อมองไปยังคนในอ้อมกอดของหล่อนแล้ว แม้เขาจะเคยเป็นใครมาก่อนหากแต่ตอนนี้เขาเป็นเพียงผู้บริสุทธิ์ผู้หนึ่งที่ถูกลากมาเกี่ยวข้อง และเป็นหมากบนกระดานเกมความขัดแย้งของพี่ชายนางกับแดนสวรรค์
หลังจากพระเวทของศิคินคลายออก ยะศิณาที่พยายามซึมซับไออุ่นจากอ้อมกอดนั้นก็ผละออกจากอ้อมกอดของเขาในทันที
“ขออภัยคุณพิภพนะคะที่ฉันเสียมารยาท แต่คุณกลับเข้าไปในงานเถอะค่ะ ฉันขออยู่คนเดียวสักครู่”
พิภพเองกำลังมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เพราะเขาเองไม่อยากรบกวนจิตใจของเธอไปกว่านี้จึงเดินจากมาอย่างเงียบๆ
แสงสว่างสว่างวาบขึ้นข้างๆ ริชาที่ตอนนี้ทรุดลงไปกองอยู่ที่พื้น แสงสว่างสีแดงเจิดจ้าจากแต้มอัคคีที่ฝ่ามือของหญิงสาวบัดนี้ลุกโชนขึ้นด้วยมันกำลังต่อสู้กับอันตรายที่เกิดขึ้นกับเจ้าของ เช่นเดียวกันกับที่อัญมณีสีดำที่อยู่บนแหวนที่บนเวทีนั้นส่องแสงออกมาอย่างเจิดจ้าเช่นกัน เหมือนกำลังต้านกับพลังอัคคีของริชา
ริชาที่ยังคงมีสติมองไปยังศิคินที่บัดนี้กลับมาอยู่ข้างๆ ตนแล้วด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามมากมาย แม้ร่างกายไม่อาจขยับได้เพราะความเจ็บปวดเสียจนจวนเจียนสติดับลงในทุกขณะ
“ดวงจิตของทิพย์สุคนธายังมีไฟกัลป์หะลาหละสินะ องค์อัคคีศิคิน…”
ยะษายิ้มออกมาด้วยความสะใจเมื่อเห็นริชาที่กำลังเจ็บปวดเพียงสัมผัสกับพลังของมณีนิลกาฬบนแหวนนั้น เขาหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งเพราะเพียงความคิดสงสัยเท่านั้นว่าเหตุใดในกายของริชายังคงมีอัคคีเทพของศิคินคอยปกป้องอยู่เสมอ
“หุบปาก!”
ศิคินตะโกนออกมาอย่างเดือดดาลก่อนที่เขาจะใช้พระเวทในจังหวะที่ยะษาไม่ทันระวังตัวนั้นย้ายร่างของเขาและอัญมณีนิลกาฬกลับไปยังพิภพอสุราในทันที แล้วจึงพาร่างของริชาและตนเองหายตัวมายังที่บริเวณดาดฟ้าของโรงแรมเช่นกัน
ริชาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดราวกับว่าร่างกายของเธอเหมือนกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ และสติของเธอที่เริ่มจะหลุดลอยไปนั้นท่ามกลางเปลวไฟสีแดงฉานกลับปรากฏเปลวไฟสีดำสนิทที่เริ่มก่อตัวขึ้นที่บริเวณกลางหน้าอกของเธอ
“ริชา!”
ศิคินที่เห็นดังนั้นจึงเรียกสติของเธอด้วยเสียงตื่นตระหนก เพราะเขาทราบดีว่าเธอจวนเจียนจะหมดสติลงแล้ว ในจังหวะที่จวนเจียนจะหมดสตินั้นเองเสียงอันแสนคุ้นเคยของชายที่กำลังกอดเธอไว้ในอ้อมแขนก็ดังขึ้น
“คุณห้ามหลับนะริชา…”
น้ำเสียงแสนอ้อนวอนนั้นในขณะที่มือของเขายังคงพยายามใช้พลังของตนเข้าไปยับยั้งไฟสีดำที่กำลังก่อตัวขึ้น
“ผมรู้…ว่าที่ผมรู้สึกยังไม่เท่ากับที่คุณกำลังเจ็บปวดตอนนี้ แต่ถ้าคุณยอมแพ้มันแล้วหลับไป อัคคีเทพของผมในตัวคุณก็จะปกป้องคุณไม่ได้ ดังนั้นได้โปรดอย่าเพิ่งยอมแพ้เลยนะ!”
เสียงอ้อนวอนของศิคินด้วยดวงตาที่แดงก่ำ หยาดน้ำตาของเทพอัคคีไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุมมันไว้ได้อีกต่อไป เมื่อมองไปที่คนรักที่กำลังเจ็บปวดจากไฟกัลป์ที่กำลังแผดเผาร่างบางนั้น
ไฟกัลป์สีดำสนิทเมื่อยามกระทบกับอัคคีเทพของศิคินยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เสียงร้องของริชาที่ดังขึ้นเปรียบดั่งคมมีดบาดลงที่ดวงใจศิคินซ้ำแล้วซ้ำเล่า เทพอัคคีที่บัดนี้เร่งพลังของตนเข้าต้านกุมมือบางไว้แน่นหากแต่สติสุดท้ายนั้นใกล้ดับลงเต็มที
“ทิพย์สุคนธา!”
ศิคินที่ตะโกนสุดเสียงและน้ำตาของเขาที่พรั่งพรูออกมานั้น มีหยดหนึ่งหยดลงบนกลางหน้าผากของหญิงสาว ทำให้ริชาที่จวนเจียนจะหมดสติกลับมาได้ยินเสียงของเขาอีกครั้ง…
ดวงตาที่ลืมขึ้นช้าๆ มองไปยังชายตรงหน้าด้วยสายตาที่ตั้งคำถามมากมาย หากแต่ริชาที่ได้สติกลับมานั้นกลับจับมือของศิคินไว้แน่น ทำให้เกิดแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วบริเวณ
เมื่อแสงสว่างค่อยๆ หายไปพร้อมๆ ร่างกายของริชาที่สงบลงเช่นเดียวกัน เปลวไฟสีดำที่กลางอกก็สลายหายไปอย่างช้าๆ ทำให้เทพอัคคีที่บัดนี้ดวงตาทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตากอดร่างของริชาไว้แน่นด้วยความดีใจ
วินาทีที่ร่างกายไร้ซึ่งความเจ็บปวดนั้น เสียงของศิคินยังคงก้องดังอยู่ในใจของริชา และภาพแรกที่เธอเห็นนั้นคือดวงตาแดงก่ำจากหยาดน้ำตาของชายหนุ่มที่มักยิ้มให้เธอเสมอ บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความหวาดหวั่น
ริชารับรู้ได้ถึงความรู้สึกของศิคินทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นจนไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ดวงตากลมโตของหญิงสาวบัดนี้มีหยดน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุมกอดร่างของศิคินไว้แน่นเช่นกัน
“คุณไม่เจ็บแล้วใช่ไหม” เขาบรรจงเช็ดน้ำตาที่อาบแก้มของริชาเบาๆ ด้วยความทะนุถนอม
“ไม่…ไม่แล้วค่ะ” เธอตอบเขาอย่างยากลำบาก ก่อนจะพยายามเอื้อมมือของตนออกไปเช็ดน้ำตาที่ให้กับศิคินเช่นกัน ทำให้ดวงตานั้นเบิกโตด้วยความตกใจเพราะเหตุการณ์นี้คล้ายว่าเคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อสิบปีก่อน
“คุณจะบอกฉันได้รึยังว่าตกลงแล้วคุณเป็นใครกันแน่” ริชาผละออกจากอ้อมกอดของเขาช้าๆ แล้วจึงมองเข้าไปที่นัยน์ตานั้นอย่างอ่อนโยน
แววตาของศิคินลังเลก่อนที่เขาจะค่อยๆ ยกฝ่ามือของเขาขึ้น ริชาที่เห็นดังนั้นจึงมองไปที่เขาด้วยสายตาที่แสนอ้อนวอน ด้วยแสงสว่างที่ปลายมือนั้นราวกับว่าเขากำลังจะกระทำบางสิ่ง
“ฉันจำได้นะว่าคุณคือคนคนเดียวกับเมื่อสิบปีก่อนที่สนามหญ้าโรงพยาบาลที่ช่วยฉันไว้ แล้วฉันก็จำได้ทั้งหมด ทั้งเรื่องที่ร้านดอกไม้ที่คุณเคยเป็นคุณลุงคนนั้น ทั้งเรื่องที่คุณหน้าเหมือนกับคนที่ฉันเคยเจอในฝัน…”
ริชาพูดไปพลางค่อยๆ ใช้มือของตนจับไปที่มือข้างที่ศิคินกำลังจะร่ายพระเวท
“ฉันจะถามคุณอีกครั้ง คุณ…เป็นใครกันแน่…”
ริมฝีปากของเทพอัคคีเม้มเข้าหากันแน่น ก่อนศิคินจะค่อยๆ ลดมือที่จะร่ายพระเวทลบความทรงจำของริชาลง เสียงถอนหายใจของชายตรงหน้าดังขึ้นพร้อมๆ กับสีหน้าที่กำลังคิดบางสิ่งวกไปวนมาจนได้คำตอบ
“ผมก็คือศิคิน เพียงศิคินของคุณเท่านั้นริชา” เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าเขาจะต้องเป็นผู้บอกความจริงทั้งหมดด้วยตัวของเขาเอง
เทพอัคคีผู้ทรงฤทธิ์มีสายตาที่แสนเจ็บปวดเมื่อมองไปที่ริชา พลันมือของเขาก็วาดไปบนอากาศก่อนที่ไฟที่เคยส่องสว่างบนตัวอาคารและตึกสูงต่างๆ จะดับลงในทันที ริชาที่เห็นดังนั้นก็สะดุ้งด้วยความตกใจแต่เพราะแบบนั้นจึงทำให้ท้องฟ้าที่เคยสว่างด้วยแสงไฟของความศิวิไลซ์นั้นมืดขึ้นจนสามารถมองเห็นดวงดาวได้อย่างชัดเจน
เธอมองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าก่อนที่ละอองแสงสีแดงจากฝ่ามือของเธอและเขาจะค่อยๆ เรืองแสงสีแดงขึ้นอีกครั้ง ในครั้งนี้กลับกันโดยสิ้นเชิงที่มันไม่ได้สร้างความเจ็บปวดใดๆ มีเพียงละอองแสงสีแดงดั่งหิ่งห้อยนับล้านตัวที่ล่องลอยอยู่รอบๆ ตัวของริชาและศิคินเท่านั้น
ภาพที่เห็นดั่งคล้ายความฝันที่ริชาเคยฝันถึง หากแต่ตอนนี้สติสัมปชัญญะของเธอนั้นครบถ้วนทุกประการ
“คุณอยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าก่อนหน้าที่ผมจะมาที่นี่ผมทำงานอะไรบ้าง ถึงเวลาที่เทพอัคคีต้องส่งดวงดาราที่หมดอายุขัยแล้ว!”
เพียงสิ้นคำพูดนั้น ที่กลางหน้าผากของศิคินก็ปรากฏแสงสว่างขึ้นก่อนที่ตามร่างกายของเขาจะปรากฏอักขระลวดลายคล้ายรอยสักที่เรืองแสงสีทองออกมาอย่างชัดเจน เขาวาดมือไปบนท้องฟ้าก่อนที่ฝ่ามือของเขาจะเรืองแสงสีแดงออกมาอย่างเจิดจ้า
วินาทีนั้นท้องฟ้ายามราตรีที่มืดมิดก็ปรากฏดาวตกสีแดงหลายสิบดวงขึ้นมาทาบผ่านบนท้องฟ้าสีดำสนิท มันเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์และต่อเนื่องตามจังหวะการวาดมือของศิคิน
“ไม่จริง…”
ริชาพึมพำขณะที่มองภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึงก่อนจะรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด ในขณะเดียวกันนั้นเองภาพของตนเองเมื่อครั้งในอดีตที่กำลังขอพรกับท้องฟ้ายามค่ำคืนและทุกครั้งก็จะมีดาวตกสีแดงเช่นนี้เสมอก็แจ่มชัดขึ้นเช่นกัน
เธอละสายตาจากฝนดาวตกสีแดงบนท้องฟ้าก่อนจะมองไปยังศิคิน ทุกครั้งที่เธอทุกข์ใจไม่ว่าจะครั้งไหนยามเธอมองไปที่ท้องฟ้าเมื่อนั้นมักจะมีดาวตกสีแดงเพื่อให้ริชาขอพรเสมอ เธอเคยคิดมาโดยตลอดว่าดาวตกนั้นหมายถึงการที่แม่ของเธอที่จากไปแล้วรับรู้ได้ถึงความทุกข์ใจของเธอและกำลังปลอบประโลมเธออยู่จากบนฟากฟ้า
แท้จริงแล้วกลับเป็นศิคินที่อยู่เบื้องหน้าริชาในขณะเวลานี้…
“ริชา…” เสียงของศิคินเรียกหญิงสาวที่ยืนข้างๆ เขาอย่างแผ่วเบา
“ครั้งนี้ผมจะขอพรจากดาวตกให้คุณเอง…”
สายตาที่แสนมีความสุขนั้นเหมือนดั่งคำตอบที่ศิคินเฝ้าตั้งคำถามมานานแสนนาน ด้วยเขาเองไม่แน่ใจเท่าใดนักว่าริชาจะรู้สึกเช่นไรหากเขาสารภาพความจริงกับเธอ แต่ในทางกลับกันเหมือนดังว่ายกภูเขาพระสุเมรุออกจากอก
ไร้ซึ่งคำตอบใดจากปากของหญิงสาว แต่กระนั้นศิคินกลับดีใจยิ่งกว่าเพราะริชาตอบเขาด้วยรอยยิ้มกว้างเป็นครั้งแรก
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 17 : หมื่นดวงดารามิอาจเทียบเทียม
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 16 : หลบเลี่ยง
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 15 : ทิพย์สุคนธา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 14 : เป็นหนึ่งเดียว
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 13 : เสียงคลื่นคลั่ง
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 12 : มหรสพ...อลหม่าน
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 11 : ในคืนที่ฟ้าไร้ดาว
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 10 : สิ้นคำเจรจา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 9 : ทองหลางนอกฤดู
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 8 : ไม่ใช่เพียงต้นหญ้าต้นหนึ่ง
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 7 : ผู้ช่วยคนใหม่
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 6 : ใต้เงาทองหลาง
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 5 : ทิพยอสุรา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 4 : ชายปริศนา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 3 : ศิคิน
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 2 : หญิงสาวปริศนา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 1 : คำปลอบโยนจากฟากฟ้า
- READ ดั่งมนต์สุคนธา : บทนำ