ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 3 : ทางออก?

ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 3 : ทางออก?

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

ธามทศ ล่ากฎหลอน โดย ไข่เจียวหมูสับ หรือ สรสิทธิ์ เลิศขจรสุข กับเรื่องราวของธามทศและเมืองสมมติที่เต็มไปด้วยกฎแปลกๆ ที่อันตรายถึงชีวิต เขาจะเอาชีวิตรอดจากกฎหลอนที่ว่าไหม ตัวแปรมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้เขาต้องทิ้งลมหายใจในเมืองสมมติแห่งนี้หรือเปล่า อ่านนวนิยายออนไลน์จากอ่านเอาได้ใน anowl.co

บัดนี้เขาอยู่ใจกลางของสวน นั่นคือเขตที่ ๑ นั่นเอง

หลังจากอ่านกฎทวนไปมาอยู่สามครั้ง รู้สึกแปลกๆ ตรงกฎส่วนที่มีเส้นใต้ขีดอยู่ มันไม่ได้ถูกเขียนด้วยสีแดงเหมือนกฎด้านบน แต่หากถูกเขียนด้วยปากกาสีดำ

แม้จะพอเดาอะไรออก แต่คงไม่มีเวลาสนใจแล้ว ตัวเลขบนนาฬิกาสมาร์ตวอตช์คือ ‘หนึ่งทุ่ม’ ตรง

‘ต้องรีบหาทางออก’…เขาย้ำกับตนเอง พลางสอดสายตาไปทั่วทิศ

สวนที่เคยอุดมด้วยต้นไม้ใหญ่เขียวสบายตา แอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่ร้อยเรียงกันอย่างสวยงาม บัดนี้ทุกส่วนถูกเปลี่ยนไปอย่างน่าสยอง มันมืดเกินจะมองเห็นชัดด้วยตาเปล่า ต้นไม้ทั้งหมดนั้นเน่าเปื่อย บ้างก็แตกระแหงแทบจะเป็นเศษ แอ่งน้ำล้วนเป็นสีเลือด ทางเดินที่เคยมีใบไม้ร่วงประปรายให้ผ่อนคลายสายตา เหลือเพียงเศษหนองที่หยดตามพื้นไปทั่วเท่านั้น

สายลมหนาวมาพร้อมไอหมอกสีสนิม ธามทศกระชับเสื้อแจ็กเก็ตสีดำที่สวมใส่ มืออ้อมไปด้านหลังเพื่อตบใส่กระเป๋าสะพายสีเทา สัมภาระที่อยู่ในกระเป๋านั้นยังคงอยู่ดี คิดว่าอีกไม่นานคงต้องใช้

เขาค่อยๆ ก้าวอย่างใจเย็น พยายามไม่ให้รองเท้าบูตเหยียบโดนน้ำหนองเหล่านั้น สายตามองไปทั่วเพื่อหาประตูหมายเลข ๒

แต่ยังเดินไม่ทันได้ถึงสิบก้าว ก็รู้สึกได้ว่ามีคนเดินตามหลังด้วยความเร็วเท่าๆ กัน และเมื่อก้าวต่อไป ก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าสิ่งที่ตามเขานั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

ห้ามหันกลับไปมอง ห้ามหันกลับไปมอง

แต่คงเพราะตั้งสมาธิกับด้านหลังมากเกินไป ขาจึงสะดุดอะไรบางอย่างที่พื้น ส่งผลให้ล้มคะมำลง

หลุดปากส่งเสียงออกมาว่าอะไรวะ แต่ก็ตั้งสติได้และรีบเอามืออุดปากไว้ เมื่อหันไปมองสิ่งที่ขวางตีนเมื่อครู่ ก็พบว่าเป็นร่างของอะไรบางอย่าง

มันคล้ายกับมนุษย์ที่ไม่มีกะโหลก สมองไหลออกมาเป็นน้ำ ทั่วร่างเน่าเปื่อยช้ำหนองไปทั่ว กำลังคลานไปมาอย่างไร้ทิศทาง

ฉับพลันก็คิดขึ้นได้ว่าพลาดแล้ว เพราะเมื่อหันกลับมามองสิ่งที่ขวางบนพื้น ก็เท่ากับว่าตนหันไปมองสิ่งที่เดินตามมาตั้งแต่เมื่อครู่

ใช่แล้ว บัดนี้มันยืนอยู่ตรงหน้าเขาเอง ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ

เงาตะคุ่มสีควันที่มองไม่เห็นเนื้อใน กำลังตระหง่านค้ำหัวธามทศที่คุกเข่าอยู่บนพื้น พร้อมส่งเสียงครวญออกมา

“มาเดินเล่นหรือ”

เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของคนที่ยังมีชีวิต ไม่ใช่เสียงของคนด้วยซ้ำ มันกรีดผ่านอากาศ ชอนไชเข้ามาในหูราวกับปรสิต แค่ฟังยังรู้สึกว่ากำลังจะมีเลือดทะลักออกจากปากและดวงตา

อย่าตอบ อย่าตอบเด็ดขาด เขาพยายามลุกขึ้นยืนโดยไม่สบตากับเงานั่น ไม่รู้หรอกว่ามันมีดวงตาหรือไม่ แต่มั่นใจเลยว่ามันกำลังจ้องมาอยู่

ชายหนุ่มค่อยๆ หันหลังกลับ เดินจากที่ตรงนั้นช้าๆ และเมื่อพบว่าเงานั่นกำลังพุ่งตามหลังมาราวกับคนกำลังวิ่งเข้าใส่ เขาก็เริ่มออกวิ่งทันที

แม้มั่นใจว่าตนไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรกับเงานั่น แต่หากอยู่เฉยๆ ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่ถูกมันควักไส้ออกมา และเมื่อหันกลับไปมองระหว่างวิ่งก็ยิ่งแน่ใจ เพราะสองมือที่ยื่นออกมาจากเงานั่น กำลังทำท่าไล่ตะครุบเขาอยู่

อย่างไรก็ตาม มีบางกรณีที่ผู้ใช้บริการคนอื่นๆ มุ่งหวังจะทำร้ายท่าน แม้ท่านจะไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรด้วยก็ตาม แม้จะพบได้น้อยแต่ก็เป็นอันตรายถึงชีวิต หากพบเจอกรณีเช่นนี้ ขอให้ท่านใจเย็น และทำตามกฎข้อที่ ๔ เช่นกัน เชื่อเราเถิดว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว

กฎข้อนั้นแทรกเข้ามาในหัว นั่นสินะ คนอย่างเขามักต้องเจอกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรอดออกไปให้ได้

ทว่าวิ่งเท่าไรก็ไม่พบประตูหมายเลข ๒

เขต ๓ เขต ๔ เขต ๒ เขาวิ่งไล่ไปทั่วทุกเขตก็ยังไม่พบ และลักษณะทางกายภาพทุกเขตก็แทบไม่ต่างกัน การจะแยกเขตนั้นทำได้แค่มองจากป้ายทางเข้า-ออก หรือไม่ก็ตามเสาที่นานๆ จะปรากฏเท่านั้น ที่พบก็มีแต่เงาพวกนั้นที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ

และในที่สุดเขาก็กลับมายังเขต ๑ พร้อมกับเงาสี่ตัวที่กำลังวิ่งตามจากด้านหลัง ไม่นานก็สะดุดกับไอ้ศพไร้กะโหลกตัวเดิม

ธามทศกลิ้งไปกับพื้น พร้อมกับถูกรุมคร่อมด้วยเงาทั้งสี่ พวกมันรุมกัดทึ้งและขีดข่วนอย่างบ้าคลั่ง เสื้อแจ็กเก็ตที่สวมนั้นถูกทอให้หนาและเบาเป็นพิเศษจึงพอป้องกันไม่ให้ถูกเส้นเลือดใหญ่ แต่กระนั้นก็ยังเจ็บจนแทบจะร้องไห้ออกมา แต่นั่นแหละ เขาไม่ได้มาเพื่อให้พวกมันกินทั้งเป็น

หากพวกมันสามารถแตะต้องตัวได้ ทางเขาก็โต้กลับได้เช่นกัน

สองนิ้วโป้งจิ้มเข้าไปตรงที่ที่ควรจะเป็นลูกตาของหนึ่งในเงาตรงหน้า ได้ผล! มันกรีดร้องและถอยกลับออกไป ส่งผลให้พวกมันอีกสามตัวชะงัก และสร้างจังหวะให้เขาถีบสองเท้าออกไปสุดแรง ดิ้นรนต่อไม่นานก็หลุดออกมาได้ และเริ่มวิ่งอีกครั้ง

ต้องหาประตูหลายเลข ๒

เขาวิ่งทะลุไปยังเขต ๒ เขต ๓ เขต ๔ อีกครั้ง แต่ก็ยังไม่พบทางออก และเมื่อย้อนหลับมาที่เขต ๑ ก็ต้องตาโต

นั่นไงประตูหมายเลข ๒

เมื่อพิเคราะห์จากระยะไม่ถึงห้าเมตร ก็มั่นใจเลยว่าไม่ใช่ประตูหลอก ไม่มีเสียงโหยหวน มองทะลุตาข่ายเหล็กไปก็ไม่พบเงาทุรนทุราย ทว่ายังไม่ถึงประตู ก็พบว่ามีตัวอะไรบางอย่างกำลังเดินทางประตูจากทางด้านข้าง มันมีรูปร่างไม่ต่างกับหญิงสาวในชุดเทนนิสสีขาว แต่ไม่มีตา ปาก และจมูก

ธามทศยืนนิ่งสักพัก พยายามไม่มีปฏิสัมพันธ์กับมัน จากนั้นจึงค่อยๆ เดินย่องเข้าไป หญิงในชุดเทนนิสยืนตรงหน้าประตูหมายเลข ๒ ระยะห่างจากประตูกับแผ่นหลังของเธอน่าจะประมาณสองเมตร เพียงพอให้เดินอ้อมไปด้านหลังแล้วเปิดประตู

แต่พอไปใกล้ระดับหนึ่ง เกิดเส้นตรงสีดำขึ้นที่ตรงกลางใบหน้าอันว่างเปล่านั่น ก่อนจะปริแยกออกบนล่าง กลายเป็นปากขนาดใหญ่ที่มีคมเขี้ยวเรียงมั่วซั่วจากริมฝีปากไปถึงด้านในคอ ไม่ช้าปากนั้นก็ขยายออกไปในแนวตั้ง ช่องว่างระหว่างบนล่างประมาณหัวคนได้ จากนั้นหญิงในชุดเทนนิสจึงถอยไปประชิดกับประตูรั้ว

แน่นอนว่าตัวเขาเลือกก้าวถอยหลังออกมาจากตรงนั้น ไม่กล้าเข้าไปหาเรื่องด้วยหรอก

เวลาขณะนี้คือสองทุ่มห้าสิบนาที หมดหวังที่จะหาทางออกแล้ว จะบู๊กับสาวเทนนิสก็คงเกินเวลาอยู่ดี อีกไม่ช้าเขาก็จะหมดสติลง แล้วฟื้นขึ้นมาที่เขตใดสักเขต และต้องหาทางออกสู่เขต ๑ ให้ได้

ธามทศย้ายก้นไปนั่งลงที่ใต้ซากต้นไม้ใหญ่ เมื่อไม่มีท่าทีว่าพวกเงาหรือสาวเทนนิสจะมารังควานแล้ว จึงรีบวางกระเป๋าสะพายออกจากหลัง หยิบสารอาหารอัดแท่งและเครื่องดื่มชูกำลังออกมากัดกร้วมอย่างรีบเร่ง แค่พริบตาเดียวร่างกายก็เริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่สายตาจะมัวมืดลง ภาพที่เห็นตรงหน้าเริ่มแคบเข้ามาสู่ศูนย์กลาง ไม่ช้าก็ผล็อยหลับไป

 

ธามทศตื่นขึ้นมาในท่านอนคว่ำกับพื้น เมื่อได้สติก็รีบควานหากระเป๋าสัมภาระ และต้องโล่งใจเมื่อพบว่ามันวางอยู่บนพื้น ไม่ห่างไปจากตัวสักเท่าไรนัก

เวลาในตอนนี้คือตีสาม…หลับไปนานทีเดียว

ไม่มีประโยชน์อะไรที่ท่านจะรอให้ดวงอาทิตย์ขึ้น เพราะหลังเวลาตีสามเป็นต้นไป เวลาจะไม่เดินไปไหน

นั่นสินะ ไม่ต้องรอเวลา แค่ต้องหาทางออกเท่านั้น

หลังจากจัดแจงทุกอย่างให้เข้าที่จึงเริ่มตรวจสอบสภาพแวดล้อม

อากาศนั้นน้อยกว่าที่คิดไว้มาก ส่งผลให้หายใจลำบาก หมอกลงหนาและเต็มไปด้วยกลิ่นควันที่ไม่คุ้นเคย ด้านขวามือมีตึกอาคารกีฬาที่มีแต่สนิมและตะไคร่ มันสูงประมาณสามชั้น แต่จ้างให้ก็คงไม่เข้าไปเหยียบในนั้นหรอก

ป้ายตั้งพื้นที่เก่าและผุกร่อนแจ้งให้ทราบว่าเขาอยู่ในเขตที่ ๕ ซึ่งอยู่ไกลที่สุดจากเป้าหมายเท่าที่จะไกลได้ แต่นับว่าโชคยังดีพอใช้ที่ไม่ได้ไปโผล่นอกเขตทั้ง ๕ ไม่งั้นก็ตายสนิทแน่

ฉับพลันหางตาก็เห็นอะไรบางอย่างกำลังคลานอยู่บนพื้น ไม่ใช่ข้างเดียว แต่เป็นหางตาทั้งสองข้าง เมื่อเลือกมองไปยังด้านขวา สิ่งที่เห็นก็เรียกของในท้องให้จุกขึ้นมาถึงคอ

เพราะร่างคล้ายคนที่กำลังคลานอยู่นั้นมันมีสภาพเน่าเละที่สุดเท่าที่มันจะเละได้ สองหัว สี่ขา สองมือ ดูอย่างไรก็รู้ว่าอันตราย

ไม่จำเป็นต้องหันไปมองอีกด้าน ธามทศรีบวิ่งหนีออกจากที่ตรงนั้นทันที ปอดและกล้ามเนื้อที่ผ่านการฝึกมาอย่างดีเริ่มทำงานอีกครั้ง สิ่งที่ต้องทำไม่ใช่สู้กับพวกมัน แต่เป็นการหาสะพานเชื่อมไปสู่เขตที่ ๔ ต่างหาก

นับว่าโชคช่วยที่พวกมันเคลื่อนที่ช้า จึงไม่อาจไล่ตามเขาทัน วิ่งมาสักพักก็ถึงสะพานไม้ขึ้นราที่จะนำไปสู่เขตที่ ๔

และเมื่อเดินข้ามสะพานที่ยาวประมาณห้าสิบเมตร เขาก็มาโผล่ยังเขตที่เต็มไปด้วยความเงียบงัน

ไม่มีสัญญาณของบางสิ่งที่เคลื่อนไหวนอกจากเขา เดินต่อไม่กี่ก้าวก็พบว่าด้านซ้ายมือมีสะพานสู่เขต ๑ ด้านขวาคือสะพานสู่เขต ๓ แน่นอนว่าแผนผังของสวนที่จำได้มิใช่แบบนี้ แต่ในเวลาหลังสามทุ่ม อะไรก็เกิดขึ้นได้ เขาควรจะทำตามกฎโดยไม่บิดพลิ้ว

ธามทศไม่สนสะพานด้านซ้าย ก้าวสู่สะพานไปที่จะนำไปถึงเขต ๓ ทันที แน่นอนว่าก่อนข้ามก็ตรวจดูอย่างละเอียด และพบว่ามันมีป้ายติดตรงต้นสะพานว่า ‘ไปสู่เขต ๓’

ไม่ใช่สะพานหลอกสินะ ชายหนุ่มบอกกับตนเอง ทว่าอารมณ์ที่กำลังสัมผัสอยู่นี้มิใช่ความโล่งใจ แต่มันคือความวิตก…

มันง่าย ง่ายเกินไปมาก สิ่งที่น่ากลัวกำลังรอคอยเขาอยู่แน่นอน

ธามทศเดินไม่ถึงนาทีก็มาถึงเขต ๓ อันเป็นเขตที่อันตรายที่สุด และมั่นใจว่าตนเองคงไม่เจอกับสถานการณ์เรียบๆ เหมือนสองเขตที่ผ่านมา

เขตที่ ๓ นั้นจัดแต่งให้คล้ายกับสวนหย่อมที่มีแต่ต้นไม้เตี้ย อากาศหนาวกว่าเขตที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด และก็ไม่ต้องรอคอยอีกต่อไป เพราะสิ่งที่กำลังรอเขาที่ใจกลางเขต ๓ คือสตรีกิโมโนนั่นเอง

ใบหน้าขาวจากการตกแต่ง มันเคยดูสวยงามยามมองผ่านหน้าจอโทรทัศน์ แต่ไม่ใช่เวลาเช่นนี้ เขายืนห่างจากเธอประมาณสิบเมตร พยายามมองผ่านม่านหมอกหนาว่ากิโมโนที่เธอสวมใส่นั้นมีสีและลวดลายอะไร หวังอย่างยิ่งว่าจะเป็นลวดลายธรรมดาที่ไม่มีอะไรเคลื่อนไหว

และสิ่งที่พบคือหล่อนกำลังสวมกิโมโนลายดอกไม้อะไรสักอย่าง ที่มองไม่ชัดนั่นเพราะมันมีเลือดสีแดงดำเปรอะเปื้อนอยู่เต็มไปหมด

ราวกับถูกโลหิตชโลมใส่จากหัวไหล่ถึงส้นตีน พื้นที่เต็มไปด้วยหิมะถึงกับเปลี่ยนจากสีขาวกลายเป็นสีแดงฉาน

หิมะตกเต็มพื้นเมื่อไรไม่ทราบ ธามทศได้แต่ยืนนิ่งงัน ยะเยือกเย็นไปถึงกระดูก ในขณะที่เธอนั้นหยุดรำในท่าง้างมีดขึ้นสุดแขน นิ่งราวกับรูปปั้น ไม่ก็ราวกับตุ๊กตาที่ถูกจัดวางในท่าอันน่าสยอง

จากนั้นจึงค่อยๆ หันหัวมาทางเขาช้าๆ โดยไม่สนว่าคอนั้นจะบิดผิดรูปขนาดไหน แน่นอนว่าทีแรกเธอหันหลังให้กับเขาอยู่ ไม่นานทั้งคู่ก็ยืนจ้องตากัน ดวงตาของมันเป็นสีดำ ไม่มีตาขาว

และยังไม่ทันได้ขยับ มันก็ขยับตัวหันมาทางเขา โดยที่หัวนั้นยังคงอยู่ตำแหน่งเดิม ไม่ช้าหัวกับตัวก็อยู่ทิศเดียวกัน ห่างจากเขาไปประมาณหกเมตร

และมันก็เริ่มเดินซอยเท้าเข้ามาใกล้ บรรจงก้าวสั้นๆ รัวๆ อย่างกับระบำอะไรสักอย่าง มีดปลายแหลมในมือนั้นสว่างจ้าในความมืดมิด

ด้วยความเร็วของมัน ธามทศลังเลว่าจะวิ่งหนีหรือต่อสู้ ทันใดนั้นความหวาดกลัวก็ชนะ เขากลับหลังหันแล้ววิ่งหนีอย่างที่ทำมาตลอดทั้งคืน แต่คราวนี้ต่างออกไปมาก เพราะวิ่งได้เพียงครู่เดียว ก็รู้สึกได้ถึงคมมีดที่แทงเข้ากลางหลังดัง ‘ฉึก’

หลังจากร้องอ๊ากสุดเสียง ธามทศรีบวิ่งต่อโดยไม่ยั้งฝีเท้า มีดของมันปักตรงด้านบนของกระเป๋าสะพายด้านหลัง ซึ่งความหนาของกระเป๋าก็ช่วยป้องกันในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามปลายมีดยังคงแทงเข้ามาในร่างประมาณหนึ่งนิ้ว ซึ่งก็มากพอจะเป็นอันตรายถึงชีวิตแล้ว

ไม่มีทางรอดเลย มันเร็วกว่ามาก ธามทศคิดในใจ แต่ทว่าไม่นานก็เริ่มรู้ตัว

สตรีกิโมโนไม่ได้วิ่งตามมาแล้ว แต่กลับยืนรำอยู่กับที่ ห่างจากเขาไปหลายสิบเมตร งั้นหรอกหรือ เดาได้เลยว่ามันจะวิ่งสลับกับรำ น่าจะรำเสร็จถึงช่วงหนึ่งจึงจะล่าต่อได้

แต่นั่นก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน เขารีบปั่นเท้าต่อมายังสะพานเชื่อมไปสู่เขต ๒

และเมื่อวิ่งไปถึงกลางสะพาน ปลายเท้าก็สัมผัสได้ถึงการสั่นไหว

เอี้ยวหันไปมองก็พบสุภาพสตรีในชุดกิโมโนกำลั่งพุ่งเข้าใส่ด้วยตาดำสนิท มีดค้างบนอากาศเตรียมจ้วงแทงอีกครั้ง

แต่คราวนี้เขายอมใช้ตัวช่วยสุดท้าย ในช่วงที่มันกำลังจะเข้าถึงตัว มือขวาก็ล้วงเข้าไปในแจ็กเก็ต แล้วชักปืนพกขนาด ๙ มิลลิเมตร ออกมายิงใส่กลางหัวของสตรีในชุดกิโมโน

เสียงดังปังลั่นก้องในสวน…ร่างของมันหงายหลังลงบนกลางสะพาน ส่วนเขาไม่รอช้ายิงซ้ำอีกนัด แล้วจึงกลับหลังวิ่งข้ามไปยังเขต ๒

และก้าวแรกที่เหยียบเข้ามาก็รู้สึกเสียใจภายหลัง นั่นเพราะเสียงปืนคงทำให้ผู้อาศัยในเขตนี้ตื่นจากหลับใหล ดูได้จากมือจำนวนนับร้อยที่ค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน แหวกว่ายเข้ามาหาตัวเขาจากด้านหลัง ราวกับดินและหญ้าเป็นเพียงของเหลวเท่านั้น

‘วิ่งสิวะ’ ธามทศตบหน้าขาตัวเองแล้วออกวิ่งอีกครั้ง มือสยองนั่นตามหลังมา มีเสียงตวัดดึงฝุบๆ ไม่หยุด ก่อนจะเงียบลง คงเพราะวิ่งนำพวกมันมาแล้ว ไม่ช้าเขาก็เลยมายังเขต ๑ ได้สำเร็จ

ทางข้างหลังที่เพิ่งผ่านมา เต็มไปด้วยมือสยองที่ยังไม่ละลดความพยายามจะตามมา ทว่าเมื่อมาถึงเขตสะพาน พวกมันก็หยุดและถอยกลับไป ดูท่าแล้วคงจะว่ายข้ามแผ่นไม้มาไม่ได้

แต่ก็สบายใจได้ไม่ถึงสองวินาที ปลายสะพานฝั่งดังกล่าวก็ปรากฏนางรำอีกครั้งหนึ่ง และคราวนี้ลายของกิโมโนก็บ้าคลั่งเป็นทวีคูณ

ธามทศไม่อยากยุ่งกับมันแล้ว และเริ่มทอดสายตาหาทางออกในเขตนี้ นั่นไง ทางขวามือ! ไกลออกไปสักร้อยเมตรกว่าๆ มันมีประตูรั้วเหล็กเปิดอยู่

หันกลับไปมองสตรีกิโมโนที่ปลายสะพานอีกครั้งเพื่อคำนวณระยะทาง ก่อนจะพบว่ามันยืนอยู่ประชิดตัวแล้ว!

พร้อมปลายมีดที่กำลังจะเสียบเข้าที่ท้อง

เขาเบี่ยงหลบได้ แต่ก็ถูกแทงเฉียดสีข้างเป็นแผลเหวอะ เลือดเริ่มทะลักออกมา ก่อนที่ธามทศจะส่งปลายตีนยันมันลงกับพื้น ตามด้วยกระสุนเข้าที่หัว เสียงดังปัง ร่างมันชักกระตุก และก็ทำท่าจะลุกขึ้นอีก

ธามทศไม่สู้แล้ว เขาวิ่งหนีสุดชีวิตที่ทางออก ก่อนจะคะมำอีกครั้ง

ไอ้สตรีกิโมโนมันจับที่ข้อเท้าเขาอยู่

กระสุนดังขึ้นอีกสี่นัด จึงพาตัวเองหลุดออกมาได้ ในขณะที่มันก็ยังจะฝืนลุกขึ้นมาแทงอยู่

เขาถีบขาให้มันล้มอีกครั้ง จากนั้นจึงพาร่างเลือดอาบของตัวเองวิ่งไปยังประตูรั้วเหล็กที่เปิดรออยู่ท่ามกลางความมืดมิด

 



Don`t copy text!