ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 4 : ชายผู้รอด

ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 4 : ชายผู้รอด

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

ธามทศ ล่ากฎหลอน โดย ไข่เจียวหมูสับ หรือ สรสิทธิ์ เลิศขจรสุข กับเรื่องราวของธามทศและเมืองสมมติที่เต็มไปด้วยกฎแปลกๆ ที่อันตรายถึงชีวิต เขาจะเอาชีวิตรอดจากกฎหลอนที่ว่าไหม ตัวแปรมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้เขาต้องทิ้งลมหายใจในเมืองสมมติแห่งนี้หรือเปล่า อ่านนวนิยายออนไลน์จากอ่านเอาได้ใน anowl.co

มันเป็นอาคารสิบชั้นตั้งอยู่ใจกลางเมือง เลยลานจอดรถและพื้นที่สีเขียวออกไปคือถนนใหญ่ เธอเข้ามาออฟฟิศในช่วงบ่ายสอง จัดการเคลียร์เอกสารมากมายก่ายกองบนโต๊ะทำงานอย่างรีบเร่ง ท่ามกลางความหนาวเหน็บจากเครื่องปรับอากาศที่เป็นเหตุให้ต้องสวมเสื้อหลายชั้น แม้จะมีจัดฉากกั้นเสมือนเป็นห้องทำงานส่วนตัวที่พอมีเนื้อที่ให้ดิ้นไปมาได้ แต่ก็ยังต้องใช้เครื่องปรับอากาศร่วมกับห้องอื่นๆ อยู่ดี

หลังจากจัดการงานไปได้สักชั่วโมง วินิมัยก็แอบสบถออกมาว่า ‘แม่งเอ๊ย’

ออกเสียงเบาที่สุดเท่าที่ทำได้แล้ว แต่คงกระทบหูของใครหลายคนที่ทำงานร่วมกันในชั้นนี้ ได้ยินเสียงสะอึกแว่วมาแต่ไกล ทุกคนในชั้นต่างหวาดกลัวเธอทั้งนั้น แต่จะให้ชะเง้อมองออกไปก็คงไม่อาจระบุตัวคนที่ส่งเสียงได้หรอก เพราะทุกคนต่างก็หดหัวขดตัวอยู่หลังฉากกั้นสีแดงของตนเองทั้งนั้น

แต่ไม่นานก็ต้องสบถอีกครั้ง ประโยคเดิมแต่ดังขึ้น แน่นอนว่าคราวนี้มันมีเหตุผล

วินิมัยลุกพรวด คว้าเอกสารสองแผ่น แล้วเดินกระแทกเท้าออกจากโซนทำงานของตนเอง ไม่มีใครกล้าถามว่าเธอจะไปไหน

เธอมาจากชั้นเจ็ด ซึ่งเป็นส่วนของฝ่ายบัญชีและการเงิน ลงลิฟต์ไม่ถึงสองนาทีก็มาถึงชั้นสาม

มันคือฝ่ายพยาบาลของบริษัท พินธา ฟอร์ เฮลป์ จำกัด

รับรู้ถึงสายตาเจ้าชู้ของเจ้าหน้าที่ผู้เฝ้าหน้าหน่วยพยาบาลมาจากระยะไกล แต่ทันใดที่สมองของมันเตือนว่าสาวงามผมยาวสีแดงที่กำลังจ้องจดอยู่คือวินิมัย ไอ้หนุ่มผมยาวเฟื้อยก็งุดหน้าลงทันที

เธอเดินผ่านมันเข้าไปโดยไม่ชายตามอง เข้าไปในส่วนหัวหน้าฝ่ายพยาบาล มันเป็นห้องที่อยู่ในสุด มีประตูและกำแพงกั้นออกเป็นส่วนตัว มีเครื่องปรับอากาศของตัวเอง

ไอ้เจ้าชู้นั่น…ทั้งที่ไม่ได้มีความสามารถห่าอะไรแท้ๆ แค่เป็นญาติกับประธานเท่านั้น เธอก่นด่าเจ้าของห้องในใจ

เมื่อเข้าไปพบหน้าภาณะที่นั่งเกร็งอยู่บนเก้าอี้หรู เธอวางเอกสารลง เคาะโต๊ะแล้วจ้องตาชายวัยสี่สิบห้าที่ผมบางและใส่ชุดแบรนด์เนม

“ใครอนุญาตให้คุณใช้ค่ารักษาพยาบาลมากมายขนาดนี้! แถมยังมีการสั่งซื้อเลือดมาจากตลาดสีเทาอีก รู้ใช่ไหมว่าถ้าเอามาลงเป็นค่าใช้จ่าย ทางเราจะเจอปัญหาได้ง่ายๆ”

ภาณะอ้าปากอย่างหวั่นกลัว คงกำลังจะบอกว่า ‘ให้ลองไปคุยกับเลขาของผมดู’ คิดจะโยนภาระให้คนอื่นตามสันดานอีกแล้วงั้นหรือ

เธอไม่ปล่อยโอกาสให้มันพูด

“เรามีหน้าที่สนับสนุนและให้คำแนะนำในการเอาตัวรอดจากกฎ ไม่ใช่โรงพยาบาล ถ้าบาดเจ็บเล็กน้อยยังพอทำเนา แต่ค่ารักษาขนาดนี้ สู้ส่งต่อไปยังโรงพยาบาลยังจะดีเสียกว่า คนที่ถูกด่าน่ะมันฉันนะคะ อีกอย่าง…” วินิมัยจ้องเขม็ง แอบชมในใจว่าเสื้อเชิ้ตลายพร้อยของมันสวยดี “ให้คนป่วยมาพักกับเรานานขนาดนี้ได้ไง เราไม่ได้จดทะเบียนเป็นสถานพักฟื้นหรือคลินิกนะเว้ย”

ขณะกำลังเมามัน รุ่นน้องชายคนหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามาด้วยท่าทีโคตรลังเล พลางกระซิบบอกว่าเรื่องนี้จะให้คนชื่อกานต์อธิบาย

วินิมัยใจเย็นลงทันทีที่ได้ยินชื่อ งั้นหรือ กานต์รู้เรื่องนี้สินะ

ภาณะที่รู้ว่าตนรอดแล้วกล่าวออกมาอย่างสั่นเทา “หนูมัย…ลอง…ลองไปคุยกับนายกานต์ดูนะครับ เขาจะอธิบายให้”

เธอไม่ตอบ เดินออกมาอย่างมาดมั่นด้วยส้นสูงสีชมพู เป้าหมายคือฝ่ายพัสดุที่ชั้นสี่

 

สถานที่ที่วินิมัยและกานต์ทำงานอยู่ถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า ‘เฮลป์เปอร์’ โดยจดทะเบียนว่าให้บริการด้านข้อมูลความปลอดภัย ซึ่งก็ไม่ได้โกหก หน้าที่หลักของบริษัทคือให้ข้อมูล คำแนะนำ และสนับสนุนแก่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่หลงเข้าไปข้องเกี่ยวกับกฎสยองขวัญประเภทต่างๆ

ในกรณีที่ยังไม่มีข้อชี้แจ้งเรื่องกฎ ทางเฮลป์เปอร์ก็จะเขียนข้อความบอกวิธีเอาชีวิตรอดไว้ หรือหากมีอยู่แล้วแต่ตัวกฎนั้นไม่ครอบคลุมเท่าที่ควร ก็จะทำการเสริมเพิ่มเติมให้ บ้างก็บริการความช่วยเหลือในการเก็บกู้ซาก…และให้การรักษาพยาบาลเบื้องต้นแก่ผู้รอดชีวิต ไปถึงการจ้างอาสาสมัครในการลงพื้นที่เก็บข้อมูลของกฎต่างๆ ทั้งหมดก็เพื่อเพิ่มโอกาสในการมีชีวิตรอดของพวกดวงตกทั้งหลายนั่นเอง

เจ้าหน้าที่ทั้งหมดของเฮลป์เปอร์มีประมาณเจ็ดสิบห้าคน นับว่าไม่มากไม่น้อย แต่ค่าใช้จ่ายนั้นสูงเอาเรื่องทีเดียว แถมส่วนใหญ่จะมีแต่พวกโง่ๆ ทั้งนั้น ในสายตาของวินิมัย คนที่พอทำงานทำการได้มีแค่ไม่ถึงหยิบมือ

ใจจริงทางประธานพินธาก็อยากจะดำเนินการสั่งปิดสถานที่หลอนๆ พวกนี้เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ทางนี้จะไม่มีสิทธิ์ไปสั่งการกับเจ้าของทรัพย์สินหรอก ทั้งนี้ หากเป็นสถานที่สาธารณะหรือเปิดให้คนทั่วไปเข้าใช้งานได้ การจะเข้าไปติดตั้งคำเตือนก็จะง่ายกว่ามาก ในทางกลับกันหากเป็นสถานที่จำเพาะกลุ่ม เช่น โรงเรียนหรือคลับที่ไหนสักแห่ง งานจะยิ่งยุ่งยากทั้งด้านเอกสารหรือการลอบเร้นเข้าไปสำรวจ พวกเจ้าของสถานที่พวกนี้ก็ช่างหาตัวยากจริงๆ

และหากเป็นเมื่อสักสิบปีก่อน สถานที่ใดที่มีอาถรรพณ์ก็คงไม่พ้นถูกหมอผีหรือองค์กรต่างๆ เข้าไปพิสูจน์หรือหาทางแก้ไข แต่ในยุคนี้ที่กฎสยองเริ่มลามระบาดไปทั่วราวกับเชื้อโรค แถมพวกชอบลองของหรือร้อนวิชาอาคมก็ตายเป็นว่าเล่น คงไม่มีใครอยากหาเรื่องใส่ตัวแบบนั้นหรอก แค่หาเงินแดกข้าวเอาชีวิตรอดในแต่ละวันก็เต็มกลืนแล้ว…

ทางเดินของอาคารชั้นสี่นั้นคับแคบ สองข้างอุดมด้วยกล่องพลาสติกหรือไม่ก็พวกลังกระดาษ แต่กระนั้นวินิมัยก็ยังเดินซอกแซกอย่างคล่องแคล่วราวกับหลับตาเดินได้ ไม่นานก็ถึงห้องริมสุดก่อนถึงโซนระเบียง

ประตูกระจกถูกปิดด้วยโปสเตอร์จากภายใน มันเป็นภาพของตัวละครในมังงะจากต่างประเทศ ด้านบนประตูมีป้ายพลาสติกสีฟ้าที่ถูกติดด้วยตัวอักษรสีขาวไว้ว่า ‘ฝ่ายพัสดุ’

วินิมัยเดินเข้าไปในห้องโดยไม่เคาะประตู ด้านในกว้างประมาณสิบห้าตารางเมตร มีตู้เอกสารสองตู้ที่ฝั่งขวา โต๊ะทำงานที่วางคอมพิวเตอร์สองตัวตั้งอยู่ด้านซ้าย

กานต์นั่งอยู่ตรงหน้าคอมพิวเตอร์สีขาว รัวนิ้วบนแป้นพักหนึ่ง ก่อนจะหันมาทางเธอ เขาเป็นคนผมสั้นรูปร่างอวบ ผิวขาวใสราวกับไม่เคยเจอแดด ส่วนสูงประมาณร้อยเจ็ดสิบเซ็นติเมตร แต่มีน้ำหนักเกินร้อยกิโลกรัม

ชายหนุ่มเดินเชื่องช้ามาทางวินิมัย เผยให้เห็นรอยเหงื่อตามเสื้อยืด แต่ไม่มีกลิ่นฉุนหรือไม่พึงประสงค์แต่อย่างใด กลับกันยังมีกลิ่นจางของสบู่และน้ำหอมลอยมาด้วยซ้ำ เนื่องจากเพื่อนคนนี้รักความสะอาด และมักฉีดน้ำหอมปริมาณพอเหมาะทุกครั้งหลังอาบน้ำเสร็จ

“ที่ทำอยู่นั้นไม่ใช่งานของฝ่ายพัสดุนะ” วินิมัยชี้ไปยังหน้าจอ มันมีแปลนสามมิติของสวนบนดาดฟ้าอยู่ “ยังเก่งรอบด้านเหมือนเดิมเลย”

“คนที่บ้านเขาเรียกผมว่าเป็นเป็ดน่ะ ทำได้ทุกอย่างแต่ไม่เก่งสักอย่าง” เขาเริ่มสนทนาด้วยท่าทีขวยอายตามสไตล์ “ได้ข่าวว่าคุณมัยไปอาละวาดใส่คุณภาณะมาหรือครับ”

ทั้งสองอายุยี่สิบสองเท่ากัน แต่กานต์กลับชอบเรียกเธอว่าคุณมัยโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่เธอก็ไม่ได้รังเกียจแต่อย่างใด

พอได้ยินเสียงกานต์แล้วก็เริ่มใจเย็นลง “ก็นิดหน่อย…ฉันกลัวจะเกิดปัญหาทีหลังน่ะ อีกอย่าง เราไม่ควรทำตัวเป็นโรงพยาบาลด้วย”

เขาเกาหัวแกรก ดูโล่งใจ เมื่อครู่คงกลัวว่าเธอจะฉุนเฉียวกว่านี้ แต่ก็นั่นแหละ กานต์เป็นคนเดียวที่เธอไม่เคยโกรธ

“พอดีว่าคนที่เรารักษาคราวนี้เป็นตัวอย่างสำคัญน่ะ เลยไม่อยากส่งไปที่อื่น ชายคนนี้รอดจาก ‘กฎการใช้งานสวนแสนหวงรัง’ มาได้”

วินิมัยเบิกตา “กฎที่แทบไม่เคยมีใครรอดกลับมาใช่ไหม”

กานต์พยักหน้า ขยับแว่นหนาแล้วยิ้มแย้มดูน่ารัก ดูท่าจะไม่ได้ล้อเล่น

 

วินิมัยสวมชุดกระโปรงสีดำที่แนบลำตัวและเว้าเผยเนื้อหนังช่วงเอวสองข้าง และเนื่องจากเอาเสื้อคลุมทิ้งไว้ที่โต๊ะทำงาน เมื่อปะทะกับอากาศเย็นของห้องนี้จึงรู้สึกปวดเกร็งที่หน้าท้อง กานต์สังเกตได้จึงกดรีโมตเพิ่มอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศขึ้น จากนั้นเมื่อนั่งลง เขาหยิบผ้ามาให้เธอใช้คลุมกระโปรงสูงเหนือเข่าโดยไม่ต้องร้องขอ

เมื่อหันไปจัดการอะไรเล็กน้อยกับคอมพิวเตอร์ ชายหนุ่มก็ปิดหน้าจอทั้งสองลง

“เราไปกันเลยดีกว่า” กานต์พูดเบาแทบกระซิบ “ผมรู้ว่าคุณอยากจะเห็นหน้าชายคนนั้น”

ไม่ช้าทั้งสองก็ขึ้นลิฟต์มายังชั้นสิบ อันเป็นห้องพยาบาลใหญ่สำหรับผู้ป่วยอาการหนักที่รอส่งตัวไปยังโรงพยาบาล แต่ส่วนใหญ่จะมีไว้ยื้อชีวิตมากกว่า หลายครั้งที่ไม่ส่งไปโรงพยาบาลในทันทีก็เพราะเกรงว่าจะมีคำสาปติดตัวผู้บาดเจ็บไป จึงจำเป็นต้องเฝ้าดูให้แน่ใจก่อน แต่ก็ไม่ค่อยจะเจอกรณีนั้นสักเท่าไรนัก

ออกจากลิฟต์มาจะพบทางเดินทอดยาว หลอดไฟสีขาวสว่างตา การจัดวางพื้นที่นั้นทำให้ดูเหมือนห้องปลอดเชื้อ ประตูทางเข้าเป็นกระจกเลื่อนซ้ายขวา เผยให้เห็นด้านในที่เป็นเคาน์เตอร์ที่ไร้ผู้คน เดินไปด้านซ้ายจะเป็นโซนห้องพยาบาล

กานต์เดินนำไปยังห้อง ๖๓๗ ที่อยู่ฝั่งซ้ายบริเวณกึ่งกลางทางเดินค่อนมาทางด้านนอก และเปิดประตูเข้าไปโดยไม่แม้แต่จะเคาะ

ภายในห้องนั้นกว้างราวกับสตูดิโอราคาแพง มีเตียงสีขาวอยู่บริเวณมุมซ้าย บนนั้นมีร่างของชายคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่ในชุดผู้ป่วยสีเขียว

นางพยาบาลวัยเดียวกับเธอหันมามอง ก่อนจะขอตัวเดินออกไป

วินิมัยกึ่งเดินกึ่งวิ่ง เพื่อหวังจะมองหน้าชายผู้รอดชีวิตและผลาญค่าใช้จ่ายของปีงบประมาณไปมหาศาล แต่เมื่อเห็นเต็มสองตา สาวสวยได้แต่ยืนนิ่งไป

กานต์ที่แปลกใจถึงกับเอ่ยเรียกว่า

“คุณมัย คุณมัยครับ”

แต่วินิมัยแทบไม่ได้ยิน สตินั้นกำลังปั่นป่วนเหมือนจมลงสู่ก้นทะเลท่ามกลางแรงพายุ

หากจะพูดตามที่เห็นด้วยสองตาเปล่า ชายตรงหน้านั้นหล่อเหลาชวนมอง ผิวค่อนไปทางขาวใส แม้จะมีรอยแผลสดมากมายประดับตรงแก้มซ้ายขวาก็ไม่อาจบดบังมิด ผมดำปรกหน้าผากชวนมอง ส่วนดวงตาเฉี่ยวเป็นประกายนั้นปิดสนิทจากความเหนื่อยล้า

“ธามทศ” เธอกระซิบออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว ใจสั่นเกร็งเจ็บจากความปวดร้าวและปลื้มปีติ

ชายที่นอนอยู่ตรงหน้า…คือคนรักเก่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัยนั่นเอง

“แฟนเก่า…ของคุณมัยหรือครับ!” แม้มองจากหางตาก็สามารถเห็นความทุกข์ตรมของกานต์ได้อย่างชัดเจน วินิมัยที่ทราบดีว่าเพื่อนสนิทคิดอย่างไรกับเธอ จึงอธิบายไปเพียงแค่นั้น

มือไม้อ่อนและสั่นเทา แต่ยังแอบขยับไปเบื้องหน้าหวังจะลูบที่หน้าผากของธามทศ ทว่ายังไม่ทันได้แตะเขาก็ลืมตาขึ้นมาจ้องเขม็ง และลุกพรวดขึ้นมาแค่ท่อนบนราวกับไม่ได้บาดเจ็บอะไร

ธามทศส่งเสียงทุ้มชวนฟัง แต่แฝงไว้ด้วยยาพิษ “ผมอยู่ที่ไหน”

เพราะวินิมัยพูดอะไรไม่ออก จึงเป็นกานต์ที่รับหน้าที่อธิบาย ทั้งเรื่องที่ธามทศรอดจากกฎของสวนแสงหวนรัง เรื่องของเฮลป์เปอร์ และไม่ลืมที่จะย้ำว่าเขาเกือบจะตายไปแล้ว แต่ดูท่าชายหนุ่มที่เธอยังรักอยู่จะไม่ได้อกสั่นขวัญแขวนเท่าไรนัก

“เคยได้ยินมา ไม่คิดว่าจะมีจริง” ธามทศคงหมายถึงองค์กรเฮลป์เปอร์ “คนที่เขียนกฎเพิ่มเข้าไปที่ป้ายในสวน คือพวกคุณสินะ…”

วินิมัยที่เริ่มตั้งสติได้รีบตอบไปว่าใช่ แต่เสียงนั้นเบาราวกับกระซิบ

ธามทศมองวินิมัยกับกานต์สลับไปมา เธอแอบหวังว่าเขาจะไถ่ถามสารทุกข์บ้าง

“เอาเป็นว่าผมขอบคุณที่ช่วยหลายอย่าง แต่ผมต้องไปแล้ว” พูดจบก็ขยับตัวลงจากเตียง เดินดุ่มไปที่ตู้เสื้อผ้าตรงมุมห้อง ทั้งที่แข้งขายังสั่นอยู่แต่กลับดูรีบร้อนชอบกล เธอแอบชำเลืองมองเมื่อเขาเปิดตู้ออก ด้านในมีเสื้อผ้าที่ถูกเย็บและทำความสะอาดแล้ว รวมถึงกระเป๋าสะพายหลังหนึ่งใบ

ธามทศลูบที่หน้าขาตัวเองเบาๆ มันคือท่าที่มักทำโดยไม่รู้ตัว มันหมายความว่าเขากำลังโล่งใจ คงเพราะสัมภาระไม่ได้หายไปไหน

“พวกเราดูแลเสื้อผ้ากับกระเป๋าของคุณเป็นอย่างดีเลย แต่ไม่ได้เปิดไปถึงด้านในกระเป๋าหรอกนะ” เธอรีบเดินไปคุยด้วย แม้ตัวเองจะไม่ได้อยู่ฝ่ายทำความสะอาดก็ตาม แค่อยากจะสนทนาด้วยเท่านั้น และใจหนึ่งก็แอบหวังว่าเขาจะเข่าอ่อนยวบเพียงเพื่อให้เธอช่วยพยุง

“ธามยังเจ็บอยู่ไหม”

ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของกานต์ คงรังเกียจสุดใจที่ได้ยินเธอเรียกชื่อเล่นของธามทศอย่างสนิทสนม

ธามทศไม่หันมาคุย แต่กลับแก้ผ้าและเริ่มเปลี่ยนชุดทันที

แม้จะไม่เคยเห็นร่างเปลือยของใครมาก่อน แต่เธอก็ไม่ได้ใจสั่นแม้แต่น้อย ตรงข้ามกับกานต์ที่ตะโกนว่า “คุณทำอะไรของคุณ” แล้วพุ่งผ่านด้านข้างของวินิมัย คงตั้งใจจะไปต่อยธามทศ “คุณมัยยังยืนอยู่ตรงนี้นะเว้ย”

เมื่อเขาก้าวไปถึงด้านหลังธามทศ มือซ้ายก็จับไปที่หัวไหล่ชายรูปงาม แต่ก่อนจะได้ออกแรงดึง วูบเดียวร่างของกานต์ที่ใหญ่โตกว่ามากก็ถูกจับเหวี่ยงหลังกระแทกพื้นอย่างจัง

“มึง อย่า มา แตะ กู”

น้ำเสียงนั้นเหมือนฆาตกร เธอทราบในทันทีว่าเขาเกลียดกานต์และรีบวิ่งเข้าไปดูอาการของเพื่อน

หลังจากสะพายกระเป๋าและสวมรองเท้ากีฬาทรงแปลกตาเสร็จ ธามทศก็เดินออกจากห้องพยาบาลไป ไม่แม้แต่จะคุยอะไรกับเธอสักคำ

วินิมัยไม่กล้าตามออกไป จึงได้แต่พยุงกานต์ขึ้นมา แต่น้ำหนักตัวของเขาทำให้ทุลักทุเลเล็กน้อย

“มันเป็นบ้าอะไรของมัน พวกเราอุตส่าห์ช่วยแท้ๆ” กานต์ก่นด่า ก่อนจะผละตัวออกเมื่อเห็นว่ากำลังจับมือกับเธออยู่

 



Don`t copy text!