ทางรัก…ในดาลัต บทที่ 2 : ชีวิตกลีบกุหลาบ
โดย : ปุณรสา
ทางรัก…ในดาลัต โดย ปุณรสา กับเรื่องราวของรสริน หญิงสาวที่ขึ้นชื่อว่าเก๋เท่ห์ และเป็นกูรูเรื่องความสัมพันธ์ แต่ใครจะรู้ว่าชีวิตจริงของเธอไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะเธอล้มเหลวทุกด้าน แต่การที่เธอตัดสินใจไปดาลัต เมืองดอกไม้ของเวียดนามจะทำให้ชีวิตของเธอกลับมาดูดีได้ไหม นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คณ อ่านออนไลน์
**************************
– 2 –
“ตื่นเต้นไหม…รส” นันทนาเอ่ยถาม
รสรินขมวดคิ้วไม่พอใจ “นี่…เรียกว่าโรสสิ ยิ่งต่อหน้าคนเยอะแยะด้วย ใครๆ ก็รู้จักฉันในชื่อว่า ‘โรส’ เรียกว่า ‘รส’ ฉันเสียราคาหมด ทียายอร…ยังเรียกว่าไอริสได้เลย”
“ก็เขาเปลี่ยนทั้งชื่อจริงชื่อเล่นเป็นไอริสตั้งแต่เด็กๆ แล้วนี่ ไอ้ที่ผ่านมาอะไรที่ฟรองซัวส์ทำ เธอดูจะขัดเขาไปหมด ก็มีแต่ไอ้ชื่อเล่นที่ฟรองซัวส์ตั้งให้พวกเรานี่ ที่ดูจะชื่นชมเป็นพิเศษ”
ฟรองซัวส์แต่งงานกับมารดาตั้งแต่รสรินอายุได้สิบสี่ ขณะที่ไอริสยังเพิ่งสิบสองเท่านั้น ฟรองซัวส์จำชื่อไทยของลูกสาวทั้งสามของแม่เธอไม่ได้ จึงได้ตั้งชื่อภาษาอังกฤษที่ใกล้เคียงให้ นันทนาเรียกน้องสาวคนสุดท้องว่า ‘ไอริส’ จนติดปาก ส่วนรสรินนั้นได้ตามมารดาไปอยู่ที่เวียดนาม กว่าจะกลับมาเธอก็อายุสิบแปดแล้ว ต่อหน้าเพื่อนๆ ของรสริน นันทนาก็มักจะเรียกเธอว่า ‘โรส’ หากพูดคุยกันสองต่อสอง เธอยังติดที่จะเรียกน้องสาวว่า ‘รส’ มากกว่า
“ใครๆ ก็เรียกฉันว่าโรสกันหมดแล้ว จะมีพี่กับพี่ชาญเท่านั้นที่ยังเรียกฉันว่า ‘รส’ อยู่ได้” รสรินหมายถึงชาญภพสามีของนันทนา
นันทนาทำหน้าหมั่นไส้น้องสาว “แล้วอย่ามาเรียกฉันว่า ‘นีน่า’ ต่อหน้าใครๆ อีกล่ะ ชื่อนี้ฟรองซัวส์เรียกฉันได้คนเดียว คนอื่นๆ เขาเรียกฉันว่า ‘นา’ จ้ะ”
แม้เธอจะชื่อเล่นว่า ‘นา’ ตอนเล็กๆ มารดาเธอจะเรียกเธอว่า ‘หนูนา’ ตลอด ทำให้ฟรองซัวส์เรียกนันทนาว่า ‘นีน่า’
“สองพี่น้องทะเลาะอะไรกันอีกแล้ว เห็นทะเลาะกันได้ทั้งวัน” ชาญภพสามีของนันทนาเดินเข้ามายืนเคียงข้างภรรยา
“ยายรส…เอ้อ” นันทนาปัดหน้าเหมือนพูดผิด “ยายโรส ตั้งใจให้ดีๆ นะ ชาญเค้าอุตส่าห์เปิดทางให้โรสขึ้นพูดให้สมาชิกของคลับแล้วนะ อย่าทำให้ขายหน้าล่ะ”
ชาญภพทำงานอยู่กับบริษัทที่ดูแลด้านบุคลิกภาพ และได้จัดตั้งคลับสำหรับดูแลสุขภาพในทุกๆ ด้าน รสรินมักจะตื๊อให้นันทนาช่วยพูดกับชาญภพ เพื่อให้ชาญภพช่วยเปิดตัวให้เธอในฐานะกูรูผู้บรรยายในเรื่องความสัมพันธ์ ชาญภพไม่เคยเห็นรสรินทำอะไรจริงจัง ดีแต่ไหลไปตามกระแสสังคม เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดให้รสรินมาที่ทำงานเขา แต่ปรากฏว่าเรื่องที่รสรินเขียน ‘เสน่ห์…เลือกได้’ กลับไปตรงใจกับสมาชิกหลายคน และเมื่อเจ้านายของเขารู้ว่ารสรินอาศัยอยู่บ้านเดียวกับเขา และมีเสียงเรียกร้องให้จัดบรรยายในหัวข้อนี้ เจ้านายของเขาจึงสั่งให้ชาญภพจัดให้รสรินมาบรรยายในหัวข้อนี้
เสียงพิธีกรบนเวทีดังขึ้นกล่าวแนะนำ ‘โรส คูริเอ้’ ผู้บรรยายในวันนี้ รสรินก้าวเท้าขึ้นเวทีอย่างมั่นใจแม้เธอจะใส่ส้นสูงแหลมปรี๊ด ชุดกระโปรงสีน้ำตาลเข้มเหลือบประกายทองที่ฟิตพอดีตัว ทำให้หญิงสาวทั้งสง่างามและดูมีเสน่ห์ในคราวเดียวกัน มารดาของรสรินมีเชื้อสายเวียดนาม ทั้งเธอ นันทนา และไอริสจึงมีหุ่นบางยาวแบบสาวเวียดนาม ผิวพรรณขาวสะอ้าน ทั้งสามมีผมที่ยาวตรงและดูเข้ารูปเสมอ แต่รสรินดูไม่พอใจกับผมของเธอ เธอมักดัดปลายผมเล็กน้อย รสรินบอกว่าเพื่อให้ใบหน้าดูหวานขึ้น ทั้งเธอและไอริสได้ส่วนของหน้าที่เข้มจากพ่อ รสรินตาโตดำขลับ จมูกเล็กๆ ของเธอโด่งเป็นสัน แทบไม่ต้องแต่งหน้า เธอก็จัดเป็นผู้หญิงหน้าตาดีแล้ว แต่เธอก็ขนซื้อเครื่องสำอางมากมายและแต่งเสริมใบหน้าให้ดูเฉี่ยวและปราดเปรียวมากขึ้น รสรินรู้สึกขาดความมั่นใจไปเลยหากเธอจะต้องเดินออกนอกบ้านโดยไม่แต่งหน้าทาปากสักนิดหน่อย เสียงตบมือดังกระหึ่มห้องประชุม
“ไม่นานมานี้ สามีคุณตะโกนใส่หน้าคุณว่าอยากเลิกกับคุณ ตอนนี้เขาห่างเหินหรืออาจแยกกันอยู่กับคุณหลังจากอยู่กินกันมาหลายปี คุณโศกเศร้าเสียใจ…เพราะคุณรู้สึกว่ากำลังเสียสามีคุณไป และลูกๆ ของคุณล่ะ…จะเป็นอย่างไร แล้วบ้านที่อยู่นี่ล่ะ แถมเพื่อนๆ ที่คุณและสามีคบหากันอยู่จะคิดยังไงกัน ชีวิตที่คุณเคยมีกำลังจะหายไปในพริบตา อย่างนี้คุณจะทำอย่างไร เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร” รสรินเน้นเสียงหนักเสียงเบาเหมือนกำลังเล่านิทานเพื่อนำไปยังเรื่อง ‘เสน่ห์’ ที่เธอกำลังจะพูดถึง
ห้องประชุมเงียบกริบ เธอสามารถสยบคนทั้งห้องประชุมได้ในไม่กี่วินาที ดูเหมือนรสรินจะไปได้ดี แต่นันทนาแอบส่ายหน้าคล้ายไม่ชอบใจ ก็เพราะข้อความนี้ได้มาจากหนังสือของ Barbara De Angelis อีกแล้ว ในทันใดนั้นก็มีหญิงสาววัยกลางคนรูปร่างท้วมคนหนึ่งรีบยกมือขึ้น ไม่ทันที่รสรินจะเอ่ยปากพูดอะไร หญิงสาวคนนั้นก็รีบลุกขึ้นพูดใส่ไมโครโฟนที่ตั้งอยู่ด้านข้าง
“ค่ะ ค่ะ สามีอ้อยกำลังเป็นแบบนี้เลยค่ะ…คุณโรส ตอนนี้นานๆ สามีอ้อยจะกลับมาที่บ้านสักที อ้อยไม่อยากคาดคั้นกับเขานัก…เพราะกลัวว่าจะต้องเลิกกันจริงๆ” คุณอ้อยเริ่มสะอื้นเมื่อพูดถึงความสัมพันธ์ของเธอกับสามี
“อ้อยมีลูกเล็กสองคน ตัวอ้อยก็ไม่ได้ทำงาน คิดไม่ออกเลยว่าถ้าต้องเลิกกับเขาจะเป็นอย่างไร อ้อยจะเลี้ยงลูกสองคนเลยก็ไม่ไหว หรือจะให้ปล่อยให้เขาเลี้ยงสักคน หรืออ้อยควรต้องออกไปหางานทำแล้ว คุณโรสคะ…อ้อยไม่รู้จะทำอย่างไรดี” แล้วเธอก็ปล่อยโฮออกมา
รสรินอ้าปากค้างตา นิ่งอึ้งอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จะบอกให้คุณอ้อยนั่งลงก่อนและฟังเธอพูดเรื่องเสน่ห์ต่อจะดีไหมนะ…เรื่องที่เธอเตรียมมาพูดในวันนี้น่ะหรือ – ก็มีเรื่องโครงหน้าแบบไหนควรแต่งหน้าอย่างไร ต้องใช้ลิปสติกสีใดในเวลาไหน แต่งตัวอย่างไรจะได้ดูไม่อ้วน – เรื่องแบบนี้จะตอบคำถามชีวิตคุณอ้อยเธอได้ไหมนะ
โธ่เอ๋ย…ก็เธอไม่ได้อ่านเรื่องความสัมพันธ์มาจริงๆ จังๆ แบบแนวจิตวิทยาสักหน่อย วิธีเดียวที่เธอจะทำได้ในตอนนี้…รสรินรีบหันไปทางนันทนาเหมือนขอความช่วยเหลือเหมือนหลายร้อยหลายพันครั้งในชีวิตเธอ นันทนารู้ทันทีว่าตัวเองต้องทำอะไรสักอย่าง ในฐานะพี่คนโต…เธอตามล้างตามเช็ดปัญหาที่รสรินก่อมาตลอด
นันทนาหันรีหันขวาง พอเห็นกล่องทิชชู เธอก็รีบคว้ามาและค่อยๆ เดินไปยังคุณอ้อยอย่างสุขุมประหนึ่งว่าเธอเป็นหนึ่งในทีมงานของบริษัทชาญภพ เธอยื่นทิชชูให้คุณอ้อยและกระซิบข้างหู
“คุณอ้อยออกมาล้างหน้าล้างตา สงบสติอารมณ์ก่อนดีไหมคะ เดี๋ยวดิฉันจะจัดให้คุณอ้อยพูดคุยกับคุณโรสเป็นการส่วนตัว”
คุณอ้อยพยักหน้าและเดินตามนันทนาไปอย่างคนว่าง่าย เมื่อคุณอ้อยเดินพ้นห้องประชุมไป รสรินก็แอบกลืนน้ำลายก่อนที่จะทำการบรรยายต่อด้วยแววตาและน้ำเสียงสดใส
หลังจากบรรยายจบ สมาชิกผู้หญิงทั้งหลายก็ตบมือชื่นชมรสรินกันเสียงดัง หญิงสาวเดินลงจากเวทีด้วยสีหน้าแช่มชื่น ผิดกับหน้าของพี่สาวที่ยืนรออยู่ด้านล่าง
“นี่ยายรส อย่าเที่ยวไปเอาคำหรูๆ ของนักจิตวิทยามืออาชีพมาใช้เพื่อให้เธอดูเหมือนมือโปรแบบนั้น…ได้หรือเปล่า ผู้หญิงคนนั้นเข้าใจว่าเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ เพราะสิ่งที่เธอพูดไปโดนใจเขาเข้าให้เต็มๆ แล้วนี่จะทำยังไง เขารอคุยกับเธอยู่”
รสรินหน้ายุ่ง นึกไม่พอใจพี่สาวที่ไม่จัดการให้คุณอ้อยพ้นๆ ออกไป
“พี่นีน่า โรสยังอ่านไม่ถึงเรื่องของความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งอะไรเท่าไหร่เลยนะ เวลาจะเขียนหรือออกมาพูดนี่ โรสก็จะลอก…เอ้ย…โรสหมายความว่า…อ่านเฉพาะแค่หน้านั้นๆ เอง ปัญหาลูกผัวจริงๆ แบบนี้ ยังช่วยไม่ได้หรอก”
“ยายรส…ยังไงเธอก็ต้องไปคุยกับคุณอ้อยเขา เขาหวังพึ่งเธออย่างมากเลยนะ”
หน้าตาของรสรินยิ่งยุ่งขิงเข้าไปอีก ยามเธอเขียนคอลัมน์ เธอก็คิดถึงเรื่องรายได้ที่เข้ามาเท่านั้น ไม่นึกว่าจะมีคนเป็นๆ หวังพึ่งพิงอะไรจากเธอ
“พี่นีน่าแต่งงานแต่งการแล้ว คงจะเข้าใจเรื่องของเขามากกว่าโรสมั้ง พี่นีน่าไปคุยกับเขาหน่อยนะ”
“เขาอยากพูดกับเธอ…ไม่ใช่ฉัน” คราวนี้นันทนาพูดเสียงเข้มพร้อมกับเข้าไปดึงแขนของรสรินให้เดินตามเธอไป
นันทนาเก็บตัวคุณอ้อยไว้ในห้องประชุมเล็กที่อยู่ไม่ไกลนัก เมื่อถึงห้องประชุมนั้นนันทนาก็ผลักรสรินเข้าไปและรีบปิดประตูก่อนที่น้องสาวจะเบียดตัวออกมาได้
พอเห็นรสริน สีหน้าที่เศร้าสร้อยของคุณอ้อยดูสดชื่นขึ้นทันที ทำให้รสรินที่ตั้งใจจะหันหลังกลับไปผลักประตูออกต้องยืนนิ่งและยิ้มให้กับคุณอ้อยที่นั่งคอยอยู่ รสรินเหมือนเปลี่ยนมาใส่หน้ากากอีกแบบ หญิงสาวรีบรี่ตรงเข้าไปนั่งหัวโต๊ะเพื่อไม่ให้โต๊ะประชุมขวางตัวเธอและคุณอ้อย
“คุณอ้อยรอนานไหมคะ” หญิงสาวแสดงความเป็นห่วงเป็นใย
“ก็นิดหน่อยค่ะ เสียดายไม่ได้ฟังคุณโรสในห้องประชุมใหญ่เลย”
“ทีมงานเห็นว่าเรื่องที่โรสจะพูดในวันนี้อาจไม่ได้ตอบคำถามของคุณอ้อยโดยตรง พี่นีน่าเลยนำตัวคุณอ้อยมานั่งรอที่นี่ก่อน” รสรินพูดจาให้สวยหรูได้เสมอ
“แล้วนี่อ้อยควรจะทำยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้นดีคะ” คุณอ้อยเริ่มสะอึกสะอื้นขึ้นมาอีก
“นี่แหละค่ะ…คือปัญหา” รสรินพูดเหมือนรำพึงกับตัวเอง แต่พอคุณอ้อยเงยหน้าขึ้นมองหน้าเธอ เธอก็จำเป็นต้องมองคุณอ้อยอย่างจริงจังและต้องแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง “ค่ะ โรสรู้สึกว่าคุณอ้อยปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามยถากรรมเกินไป”
‘ใช่…ใช่ เราคงมาถูกทางแล้ว ปัญหาใหญ่โตขนาดนี้ แต่ยายคุณอ้อยนี่ไม่ได้พยายามเข้าไปยุ่งเกี่ยวในการแก้ไขปัญหาอะไรเลย’
“สามีคุณอ้อยเอ่ยปากบอกขอเลิกกับคุณมานานแค่ไหนแล้วคะ”
“ประมาณเดือนที่แล้วได้ค่ะ กำลังทะเลาะกันอยู่เพราะเขากลับบ้านดึกขึ้นทุกวันๆ เขาก็ตะโกนบอกว่า ‘อย่างงี้เลิกกันไปเลยดีกว่า’ จากนั้นเขาก็เริ่มทำตัวเหินห่างอ้อยกับลูกๆ”
“เขามีผู้หญิงใหม่หรือเพราะงานของเขากันคะ ที่ทำให้เขากลับบ้านดึก”
น้ำตาของคุณอ้อยเริ่มไหลพราก “อ้อยไม่รู้จริงๆ ค่ะ อ้อยไม่รู้อะไรเลย”
รสรินถอนหายใจพร้อมกับดึงกระดาษทิชชูที่ตั้งอยู่บนโต๊ะให้คุณอ้อย “นั่นแหละค่ะคือปัญหา เราไม่รู้เลยว่าสาเหตุของความห่างเหินของสามีคุณคืออะไร เพราะตัวคุณอ้อยเองยังไม่พร้อมยอมรับกับเรื่องราวที่จะเกิดขึ้น สามีคุณอ้อยก็กล้าที่จะทำอะไรตามอำเภอใจมากขึ้น ส่วนคุณอ้อยก็ต้องได้แต่ยอมรับสภาพที่เกิดขึ้น เพราะไม่กล้าที่จะทำอะไร”
“และหากเขามีคนใหม่แล้วล่ะคะ”
“นั่นน่ะสิ หากเขามีคนใหม่ล่ะ” รสรินพูดซ้ำประโยคคุณอ้อยอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
“ถ้าเขามีคนใหม่ อ้อยคงรับไม่ได้ เขาทำอย่างนี้ไม่ถูก อ้อยกับลูกต้องเจ็บช้ำน้ำใจ”
“ใช่ คุณอ้อยกับลูกต้องเจ็บช้ำน้ำใจ” รสรินพูดซ้ำประโยคของคุณอ้อยอีก
“ไม่ได้” คราวนี้คุณอ้อยพูดเสียงดังเหมือนมีพลังฮึดสู้บางอย่างขึ้นมา น้ำตาของเธอหยุดไหล “เขาทำอย่างงี้กับอ้อยและลูกไม่ได้ เขาต้องรับผิดชอบ”
“เขาต้องรับผิดชอบเพราะคุณอ้อยและลูกถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกับเขา”
“ใช่ อ้อยเป็นเมียแต่งเขา ลูกสองคนก็ยังเล็กอยู่”
“ดูเหมือนคุณอ้อยคิดได้แล้วว่าต้องลุกขึ้นมาจัดการอะไรบางอย่าง” รสรินลอบถอนหายใจที่ยายคุณอ้อยคิดออกเสียทีว่าจะทำอะไรกับชีวิตเธอดี
“ใช่ค่ะ…คุณโรส ขอบคุณคุณโรสมากเลยที่ทำให้อ้อยตาสว่าง อ้อยอยู่อย่างยอมปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจเพราะกลัวคำว่า ‘เลิก’ และกลัวผลกระทบหลายๆ อย่างโดยที่ตัวเองไม่ยอมลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิ์อะไร อ้อยจะกลับไปหาสาเหตุให้ได้ว่าทำไมเขาทำตัวห่างเหิน ถ้าแอบไปมีใครใหม่ละก้อ…เป็นยังไงก็เป็นกัน ขอบคุณคุณโรสอีกครั้งหนึ่งนะคะ” คุณอ้อยเข้ามาจับมือรสรินที่วางพาดบนโต๊ะประชุม
รสรินรีบลุกขึ้นยืนเหมือนอยากให้คุณอ้อยรีบออกจากห้องไป “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หากมีอะไรให้โรสช่วยอีกก็ติดต่อมาทางคุณชาญภพ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของบริษัทนี้ก็ได้ค่ะ”
แล้วรสรินก็ค่อยๆ เดินนำคุณอ้อยมาที่ประตู แล้วยกมือขึ้นไหว้ลาคุณอ้อย “สวัสดีค่ะ คุณอ้อย” และเธอก็เปิดประตูให้คุณอ้อยเดินออกไป พี่สาวคนเก่งของเธอยังยืนจังก้าหน้าประตู เหมือนกับว่าหากเธอวิ่งออกมา นันทนาก็พร้อมจะจับเธอยัดเข้าไปในห้องประชุมนี้ใหม่
“สวัสดีค่ะ คุณโรส ขอบคุณมากนะคะ” คุณอ้อยหันมาไหว้ลารสรินและเดินออกไปอย่างกระฉับกระเฉง
นันทนาทำหน้างง ไม่คิดว่าคุณอ้อยที่เธอพาเดินเข้าห้องนี้ด้วยน้ำตาเต็มหน้าจะเดินออกไปอย่างคล่องแคล่วแบบนี้ นันทนารีบเดินเข้ามาประชิดน้องสาวตัวดี
“เธอไปทำอะไรกับคุณอ้อย เขาถึงได้ผิดไปเป็นคนละคน”
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน” รสรินพูดด้วยน้ำเสียงลังเล “เคยอ่านหนังสือให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาอยู่สามบรรทัด แต่จำได้อยู่บรรทัดเดียวที่ว่าให้พูดซ้ำประโยคเดิมของเขาเพื่อให้เขารู้สึกว่าเราใส่ใจในเรื่องที่เขาพูดอยู่ พอฉันพูดซ้ำประโยคเดิมของคุณอ้อย ก็เหมือนว่าคุณอ้อยเขาก็คิดอะไรของเขาได้เอง และผลก็อย่างที่เห็นนี่แหละ”
นันทนาปรายตามองมาทางน้องสาวอย่างไม่อยากจะเชื่อ คนที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย เอาตัวเองยังไม่ค่อยจะรอดอย่างรสริน ทำให้คนที่ท้อแท้สิ้นหวังอย่างคุณอ้อยเดินออกไปด้วยความมั่นใจอย่างนั้นได้อย่างไร แต่เธอก็ต้องยกความดีความชอบให้กับน้องสาว
“ทำได้ดีมาก…โรส”
เมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังเป็นต่อ เธอก็รู้ว่าเธอควรรีบพูดในสิ่งที่เธออยากได้
“พี่นีน่า…ฉันตอบตกลงกับนีรนุชแล้วว่าจะไปงานฉลองหมั้นและงานแต่งงานของพานัสที่เวียดนามแล้ว”
“เธอจะบ้าแล้วเหรอ…โรส เธอไม่อยู่งานหมั้นยายไอริสไม่ได้หรอกนะ”
“ยายไอริสปกติก็ไม่เห็นหัวฉันอยู่แล้ว งานหมั้นเขา ฉันหายไปสักคน เขาก็ไม่สนอะไรหรอก” รสรินพูดพึมพำเหมือนคนกำลังหาข้อแก้ตัว “ถ้าหากแม่โวยวายขึ้นมาจริงๆ เดี๋ยวฉันก็หาทางกลับมาได้”
“พานัสเขาแต่งงานหลังวันหมั้นยายไอริสวันเดียวเองนะ…โรส” นันทนาพูดเหมือนรสรินเป็นเด็กน้อยที่ไม่สามารถเข้าใจเรื่องง่ายๆ
“ไว้ต้องการโรสจริงๆ โรสก็จะมาให้นะ” รสรินพึมพำก้มหน้าตอบพี่สาว
“แต่ไอริสหมั้นที่กรุงเทพ และพานัสแต่งที่ดาลัตเวียดนามนะ” คราวนี้นันทนาขึ้นเสียงกับน้องสาว
“นี่ เดี๋ยวนี้มีเที่ยวบินไป-กลับโฮจิมินห์-ดาลัตแล้วนะ เชยชะมัดเลย” รสรินตอบกึ่งงอน เพื่อไม่ให้นันทนาตอแยกับเธอได้อีก เธอไม่มีความตั้งใจจะกลับมางานหมั้นของไอริสอยู่แล้ว ตอนนี้เธอต้องการเพียงให้นันทนาเห็นด้วยในการเดินทางของเธอเท่านั้น เมื่อเธออยู่ที่ดาลัต…เธอก็คงจะหาข้ออ้างได้สักข้อที่จะไม่กลับมางานหมั้นน้องสาว
“แต่นั่นมันก็มีค่าใช้จ่ายอยู่ดี” นันทนาพูดด้วยน้ำเสียงห้วน
“ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอก พานัสเค้าออกค่าใช้จ่ายให้ฉันทั้งหมดอยู่แล้ว” รสรินพูดไปเรื่อยทั้งๆ ที่เธอไม่เคยพูดคุยเรื่องนี้กับใครเลย
“อย่าบอกนะว่าทะเลาะกันอีกแล้ว” เสียงชาญภพแทรกเข้ามา เมื่อเห็นภรรยาหน้ามุ่ยตามเคย “ไป…ไปทานข้าวกันได้แล้ว”
รสรินลอบถอนหายใจเหมือนมีระฆังมาช่วยไว้ทัน
“พี่นีน่ากับพี่ชาญไปทานข้าวกลางวันกันเถอะ ฉัน…ฉันขอตัวกลับก่อน” รสรินพยายามนึกหาข้ออ้าง “ต้องไปอ่านข้อมูลไว้เขียนคอลัมน์น่ะ”
นันทนานึกแปลกใจ…ถ้าเป็นไปได้รสรินมักจะไม่ยอมแบกสังขารขึ้นรถบริการสาธารณะใดๆ และเธอก็ไม่เคยคิดจะเตรียมเรื่องหรือข้อมูลจะเขียนจนกว่ากองบรรณาธิการของนิตยสารจะโทร.มาทวงงาน แต่กว่าเธอจะได้พูดอะไร รสรินก็รีบยกมือไหว้ลาชาญภพและเดินจ้ำจากไป
รสรินเดินขึ้นบันไดรถไฟฟ้าด้วยความเหนื่อยอ่อน รองเท้าส้นสูงจิมมี่ชูของเธอคงจะสึกไปเยอะ นี่เป็นเรื่องน่าเศร้า…สำหรับการเลิกรากับปีเตอร์ เธอมักจะได้รับอนุญาตให้ใช้รถของเขาพร้อมคนขับในช่วงระหว่างกลางวันแบบนี้
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเมื่อเธอยกขาพ้นบันไดขั้นสุดท้าย รสรินหายใจด้วยอาการหอบ เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าโค้ชของเธอยังคงดังอยู่ เมื่อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาก็เห็นชื่อของ ‘พอล’
“พอล ทำไมโทรมาตอนนี้ล่ะ ฉันเหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรแล้วนะ” รสรินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงเป็นภาษาอังกฤษ
“ผมไม่ได้ให้คุณทำอะไรหรอก ผมเพียงแต่จะโทรมาถามว่าผมควรเอาสูทไปซักแห้งที่ร้านที่ซักเสื้อผ้าให้ผมประจำดีหรือเปล่า คุณบอกผมว่าอย่าส่งเสื้อผ้าดีๆ ไปซักร้านนี้ เพราะเขาทำงานแบบบ้านๆ ไม่ใช่มืออาชีพ…อะไรแบบนั้น”
“จริงเหรอ ฉันบอกคุณแบบนั้นเหรอ” รสรินจำไม่ได้ว่าเธอพูดคุยกับพอลเรื่องนี้ เธอคิดว่าพอลอาจพูดคุยกับคนแถวนั้นก็ได้ แต่ใครจะไปสนใจ การที่ฟรองซัวส์เลือกเธอให้ดูแลพอล…ก็เหมือนกับส่งเด็กไปดูแลเด็ก
“ผมคิดว่าใช่นะ น้อยคงไม่พูดกับผมเรื่องนี้แน่” พอลหมายถึงหญิงบาร์ขาประจำของเขา
“เรื่องแค่นี้ทำไมไม่ไลน์มา”
“ผมไลน์ไปแล้ว แต่คุณไม่อ่านเสียที”
รสรินคิดได้ว่าเธอคงปิดเสียงโทรศัพท์ไปในระหว่างขึ้นพูดบนเวที
“วันๆ นึงคุณคุยกับฉันและน้อยสองคนเองหรือไง”
“โรส…ผมแค่อยากรู้ว่าผมควรส่งสูทไปซักที่ไหน ตอบผมและผมจะได้วางหูสักที”
รสรินไม่เข้าใจว่าพอลทำไมถึงรู้สึกกวนใจ ในเมื่อเธอควรรู้สึกถูกกวนใจมากกว่าที่เขาจะโทร.มาถามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้
“ฉันไม่ยักจะรู้ว่าฟรองซัวส์จะจัดงานแสดงภาพให้คุณ” รสรินยังไม่ตอบคำถามของพอล
“ผมไม่ได้จะใส่สูทสำหรับงานแสดงภาพ แต่จะใส่ไปงานแต่งงานจีจี้”
“ใครนะ…จีจี้”
“จี้จี้เพื่อนของน้อยไง เขาจะแต่งงานกับแบร์รี่ที่อุดรสุดสัปดาห์นี้ ผมบอกคุณแล้วไงว่าจะไปอุดรเสาร์อาทิตยนี้”
“อืม…เออ ฉันจำได้แล้ว แต่สูทสำหรับใส่ในงานเลี้ยงนะ” รสรินคิดถึงพอลในชุดสูทสีดำเดินอยู่ในขบวนขันหมาก
“แต่ถ้าในขบวนขันหมากไทยเวดดิ้ง จะมีการโห่ มีต้นอ้อย กล้วย อะไรพรรค์นั้น” รสรินอธิบายแบบนั้นเพราะเธอไม่รู้จะอธิบายเป็นภาษาอังกฤษอย่างไรดี
พอลรู้สึกงงเป็นไก่ตาแตก เขาไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดีที่โทร.หารสริน
“เอาอย่างงี้…พอล…คุณรอฉันอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ของคุณนะ ฉันอยู่บนสถานีรถไฟฟ้าแล้ว อีกสักสิบห้านาทีฉันคงไปถึงที่นั่น แล้วฉันจะหาเสื้อให้คุณสำหรับงานแต่งของจีจี้เอง”
แล้วรสรินก็วางหูโดยไม่ทันรอฟังคำตอบจากพอล เพราะไม่รู้ว่าพอลจะเข้าใจอะไรต่ออะไรได้สักเท่าไร รถไฟฟ้าจอดเทียบท่าพอดี หญิงสาวรีบโดดขึ้นไป นึกสงสารตัวเองว่าทั้งๆ ที่ชื่อ ‘โรส’ แท้ๆ ทำไมชีวิตของเธอจึงไม่เหมือนกลีบกุหลาบ เธอจะต้องมีชีวิตที่เหนื่อยอ่อนแบบนี้ไปนานสักเท่าไรกัน