อัญญาเจ้า : บทนำ

อัญญาเจ้า : บทนำ

โดย : ทศพล

Loading

อัญญาเจ้า โดย ทศพล นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาจะพาทุกคนไปพบกับเล่ห์เหลี่ยม คุณไสย และมารยาสารพัดที่หญิงสาวมากมายใช้ช่วงชิงตำแหน่งอัญญาเจ้า…ตำแหน่งที่สตรีทุกคนในอาณาจักรใฝ่ฝันถึง พวกเธอรู้เพียงว่า กว่าจะได้เป็นอัญญาเจ้านั้นไม่ง่าย แต่เธอหาไม่รู้ว่าการดำรงตำแหน่งอัญญาเจ้านั้นกลับยากกว่า…

ถวยพระพรอัญญาแม่

ผู้สง่างามในทุกช่วงเวลาของเจ้ามหาชีวิต

สวรรค์ไม่เคยเลือกชนชั้นว่าใครจะเกิดมาสูงต่ำเพียงใด ถ้าหากใครก่อบาปอันใดไว้ อย่าคิดว่าสวรรค์ไม่รู้ ด้วยบทลงโทษของผู้กระทำความผิด จะต้องได้รับการชดใช้กรรมที่ก่อไว้อย่างเท่าเทียมกัน เพราะ ‘กฎแห่งกรรมนั้นยุติธรรมเสมอ’ รู้แบบนี้แล้วยังคิดจะทำชั่วอีกอยู่ไหม

 

…ความมืดมิดท่ามกลางทิวเขาอันกว้างใหญ่ไพศาลที่แสนจะเย็นยะเยือก มีหนองน้ำขนาดใหญ่ถูกรายล้อมไปด้วยทิวเขาที่สลับซับซ้อน เสียงนกหวีดร้องแตกรังนอน ชวนให้อัญญาเจ้ากองแก้วตกใจกลัว ซึ่งในขณะนี้อัญญาแม่กำลังยืนอยู่บนหน้าผาอันสูงชัน ณ ริมหนองน้ำที่ใครๆ ต่างพากันเรียกชื่อว่า ‘หนองนามน’

          “มีผู้ใดอยู่บ่…เนียม ยง เหมือน พวกเจ้าพากันอยู่ไส” อัญญาเจ้ากองแก้วตะโกนเรียกออกไปจนสุดพลังเสียง แต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาเลย “หายไปไสกันหมดแล้ว” บ่นพึมพำไปพร้อมกับแลซ้ายแลขวาเพื่อมองหาเหล่าข้าหลวงและราชองครักษ์

ขณะนี้เหงื่อได้ท่วมใบหน้าและเหนียวเหนอะหนะ ร่างกายก็แสนจะอ่อนล้าโรยแรง แม้แต่จะก้าวเท้าเดินต่อไปก็แทบจะไม่ไหว ยิ่งเมื่อมองดูแผ่นหินขนาดน้อยใหญ่ที่ซ้อนทับกันเยอะขนาดนี้ก็อดไม่ได้ที่จะต้องรู้สึกท้อใจมาก หากจะต้องปีนป่ายข้ามแผ่นหินเหล่านี้ไปพร้อมกับฉลองพระองค์ที่ห่มสไบนุ่งผ้าซิ่นเช่นนี้

อัญญาเจ้ากองแก้วทอดสายตามองลงไปยังหนองน้ำด้านล่างของหน้าผานั่น อัญญาเจ้ากลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างใต้น้ำกำลังสั่นสะเทือนเป็นเกลียวคลื่น และแล้วมันก็ค่อยๆ พากันโผล่หัวยืนขึ้นเหนือน้ำจำนวนมาก ซึ่งแทบจะเต็มหนองน้ำก็ว่าได้ พวกมันมีรูปร่างคล้ายกับคน สูงเท่าต้นตาล ผมยาว คอยาว ผอมโซ ผิวดำ ท้องโต มือเท่าใบตาล และมีปากเท่ารูเข็ม หรือนี่เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ พวกมันพากันจ้องมองมาพร้อมๆ กันและพยายามสื่อสารทางแววตาอย่างน่าเวทนาเพื่อขอความช่วยเหลือ ไม่นานนักพวกมันก็หวีดร้องออกมาด้วยเสียงแหลมๆ เท่าที่จะทำได้ เมื่อเสียงเหล่านี้ดังขึ้นพร้อมกัน มันเลยคล้ายกับเสียงของต้นกอไผ่เสียดสีกัน เสียงดังอี๊ดอ๊าดๆ กระหึ่มดัง อัญญาเจ้าตกใจกลัวจนขนตามร่างกายลุกซู่และดวงตาเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นผีจำนวนมาก ก่อนกรีดร้องดังลั่นป่าจนนกแตกรังนอนบินว่อนเต็มท้องฟ้า

 

“คำแก้ว” เสียงของชายหนุ่มดังแว่วเข้ามาในหูของอัญญาแม่

อัญญาเจ้ากองแก้วลืมตาตื่นขึ้นมาจากความฝันด้วยท่าทางของความหวาดกลัว เมื่อได้เห็นใบหน้าของพระราชสวามีและรู้สึกว่าตนเองนั้นยังคงนอนอยู่บนพระแท่นบรรทม จึงรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก

“ฝันร้ายอีกแล้วบ่” สมเด็จเจ้ามหาชีวิตสินไซประคองพระราชชายาลุกขึ้นมานั่ง ก่อนหาผ้าขาวสักผืนที่วางอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมาซับใบหน้าให้

“ข้าเจ้าฝันเห็นผีคือนี้ติดกันหลายมื้อแล้วเด้อเจ้า” อัญญาเจ้ากองแก้วหายใจเข้าไม่เต็มปอด พร้อมกับทำสีหน้าสลดใจที่ต้องฝันถึงผีชนิดนี้ติดกันหลายคืน “ที่หนองนามน”

“หนองนามน?”

“เจ้า…ข้าเจ้าจำหนองนั่นได้ มันอยู่ติดกับวัดที่ลูกของเฮาบวชเฮียนอยู่”

“สงสัยญาน้องคงสิคิดฮอดลูกหลาย จนเอามาฝันเป็นตุเป็นตะ”

“ข้าเจ้าฝันเห็นแต่ผีเด้อเจ้า” อัญญาเจ้ากองแก้วไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้ามหาชีวิตถึงไปเชื่อมโยงกับเจ้าราชบุตรได้ “ลูกบ่ได้บวชเฮียนไกลสักหน่อย ข้าเจ้าไปหายามใดกะได้เด้อเจ้า”

“ถ้างั้น…มื้ออื่นเช้าค่อยไปเฝ้าพระราชครูหลวง ให้ท่านดูให้” สมเด็จเจ้ามหาชีวิตสินไซรีบเปลี่ยนประเด็นก่อนที่พระราชชายาจะร่ายยาว “นอนต่อซะเด้อคำแก้ว มีอ้ายอยู่ข้างๆ บ่ต้องกลัวแล้ว”

อัญญาเจ้ากองแก้วพยักหน้ารับทราบแล้วข่มตาลงนอน จากนั้นสมเด็จเจ้ามหาชีวิตสินไซค่อยๆ ดึงผ้าขึ้นมาห่มไปพร้อมกับนอนกอดพระราชชายาไว้ไม่ให้ห่างกาย หวังว่าความอบอุ่นภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันนี้จะช่วยผ่อนคลายและตัดความวิตกไปบ้าง

 

ตามหลักความเชื่อของคนส่วนใหญ่ที่นครหลวงแห่งนี้ การฝันเห็นผีมักจะเป็นลางบอกเหตุไม่ค่อยดีเท่าไรนัก แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเหตุนั่นคืออะไร ถ้าหากได้ปรึกษากับพระสงฆ์และได้แก้เคราะห์ร้ายแล้ว ความสบายใจก็จะบังเกิดขึ้นมาในใจ

‘คำแก้ว’ เป็นพระนามลำลองที่สมเด็จเจ้ามหาชีวิตสินไซใช้เรียกอัญญาเจ้ากองแก้วแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ซึ่งพระองค์ต้องการสื่อให้เห็นถึงความสำคัญว่า พระราชชายาของพระองค์เปรียบได้กับแก้วตาดวงใจที่หาใครมาเทียบได้

‘ข้าพะเจ้า’ เป็นคำเรียกแทนตัวเองที่ใช้อย่างเป็นทางการ ถ้าหากสนทนากับผู้ที่สนิทสนมกันมากๆ มักจะกร่อนคำให้เหลือเพียงคำว่า ‘ข้าเจ้า’ เท่านั้น

 

ครั้นถึงรุ่งเช้าสมเด็จเจ้ามหาชีวิตสินไซได้พาอัญญาเจ้ากองแก้วมาเข้าเฝ้าพระราชครูหลวงมั่น ณ วัดวังคำ พระอารามหลวงแห่งนี้สร้างขึ้นในเขตพระราชวังเพื่อให้เหล่าพระราชวงศ์สามารถบำเพ็ญพระราชกุศลหรือสนทนาธรรมกับสมเด็จพระสังฆราชได้โดยไม่ต้องเดินทางไกล เช่นนั้นพระอุโบสถหรืออาคารต่างๆ จึงถูกสร้างขึ้นมาอย่างวิจิตรงดงามตามแบบฉบับช่างหลวงของนครหลวงศรีโคตร

‘พระราชครูหลวงมั่น’ ท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชที่ปฏิบัติดีและปฏิบัติชอบ ทรงเคร่งครัดในพระธรรมวินัยเป็นอย่างมาก แม้ว่าพระราชครูหลวงจะชราภาพมากแล้ว แต่ก็ยังเดินเหินได้อย่างคล่องแคล่วโดยไม่ต้องมีพระอุปัฏฐากมาประคับประคอง

สมเด็จเจ้ามหาชีวิตสินไซและอัญญาเจ้ากองแก้วประทับอยู่ภายในพระอุโบสถแล้ว ทั้งสองพระองค์คอยจับมือกันไว้และพากันเงยหน้าขึ้นไปมองพระพุทธรูปองค์ใหญ่ปางสมาธิ ส่วนเหล่าข้าหลวงและราชองครักษ์ที่ตามเสด็จมาด้วย ต้องยืนรอกันที่หน้าพระอุโบสถกันอย่างเป็นระเบียบ โดยการเสด็จของเจ้าฟ้ามหาชีวิตแต่ละครั้งนั้นจะมีผู้ตามเสด็จกันเป็นจำนวนมาก เพื่อคอยถวายความปลอดภัยและอารักขาได้อย่างทันท่วงที

“รออีกสักหน่อยเด้อ พระราชครูหลวงเหมือนใกล้สิมาฮอดแล้ว” สมเด็จเจ้ามหาชีวิตสินไซกุมมือพระราชชายาเอาไว้เพื่อปลอบโยนจิตใจที่ยังเกิดความมัวหมองและรู้สึกจิตตกไปกับความฝันนั่นอยู่ “ถ้าท่านให้แก้หยัง อ้ายสิรีบแก้ให้ทันทีเลยเด้อ”

“ขอบพระทัยเจ้า” อัญญาเจ้ากองแก้วพยักหน้ารับทราบและพยายามบอกตนเองเสมอว่านั่นเป็นเพียงความฝัน หากได้รับการแก้ไขแล้ว ทุกอย่างคงจะดีขึ้นมาเอง

ไม่นานนักพระราชครูหลวงมั่นก็เสด็จเข้ามาภายในพระอุโบสถ ท่านสำรวมกายและน่าเลื่อมใสเป็นอย่างมาก เมื่อเดินมาถึงเบาะรองนั่ง พระราชครูหลวงนั่งคุกเข่ากราบองค์พระประธานก่อนที่จะหันหน้ากลับมานั่งพับเพียบเพื่อสนทนากับโยมเจ้าฟ้ามหาชีวิต

สมเด็จเจ้ามหาชีวิตสินไซและอัญญาเจ้ากองแก้วพนมมือก้มลงกราบพระราชครูหลวงมั่นด้วยความศรัทธาและมีจิตนอบน้อมในธรรม

“โยมเจ้าทั้งสองมีเรื่องหยังกับอาตมา” พระราชครูหลวงมั่นพูดขึ้นไปพร้อมกับกวาดสายตามองดูโยมเจ้าฟ้ามหาชีวิตทั้งสองพระองค์ด้วยจิตเมตตา

“กราบนมัสการ” สมเด็จเจ้ามหาชีวิตสินไซพนมมือขึ้นพูด “อัญญาแม่ของข้าพะเจ้าฝันเห็นผีมาหลายคืนแล้ว กะเลยอยากให้ท่านทำนายความฝันให้แหน่เจ้า”

“ผีนั่นน่ากลัวหลายเจ้า มีตั้งหลายตัวอยู่ในหนองน้ำ” อัญญาเจ้ากองแก้วพนมมือขึ้นพูดเสริม “รูปร่างมันสูงใหญ่ ผมยาว คอยาว มือกะใหญ่ส่ำใบตาล…” ยิ่งบรรยายความฝันมากเท่าไร สีหน้าท่าทางกลับแสดงให้เห็นว่าอัญญาแม่นั้นกลัวมากจริงๆ

“ผีนั่นอยู่ในหนองนามนแม่นบ่โยมเจ้า” พระราชครูหลวงมั่นถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ จนกระทั่งอัญญาเจ้ากองแก้วพยักหน้า ท่านจึงได้หลับตาลงเพื่อเพ่งจิตดูด้วยฌาน

สมเด็จเจ้ามหาชีวิตสินไซกุมมือของอัญญาเจ้ากองแก้วไว้แน่น พร้อมกับแสดงสีหน้าที่สื่อให้พระราชชายาอันเป็นที่รักยิ่งว่าไม่มีอะไรเลวร้ายอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นการให้กำลังใจผ่านแววตาที่แสดงถึงความเป็นห่วงความรู้สึกของพระราชชายามากเหลือเกินตอนนี้ ยิ่งพระราชครูหลวงมั่นหลับตานานเพียงใด การลุ้นระทึกว่าท่านจะพูดสิ่งใดออกมาต่อจากนี้ คงต้องเผื่อใจเอาไว้ก่อน

พระราชครูหลวงมั่นลืมตาขึ้น “สิ่งที่โยมเจ้าฝันเห็นนั่น เขาเอิ้นกันว่า ผีเปรต”

“ผีเปรต” สมเด็จเจ้ามหาชีวิตสินไซถามย้ำและแอบสงสัย “ผีนั่นต้องการหยัง ถึงพากันมาเข้าฝันอัญญาแม่ของข้าพะเจ้าอยู่ตั้งหลายคืน”

“ผีเปรตมันบ่ทำร้ายใส่คนหรอกโยม ตอนพวกมันเป็นคนชอบทำกรรมชั่ว พอตายไปกะเลยต้องไปชดใช้กรรมเป็นเปรต” พระราชครูหลวงมั่นมองดูแววตาของอัญญาเจ้ากองแก้ว “โยมเจ้าเป็นผู้มีบุญ ผีพวกนั่นแค่อยากได้ส่วนบุญ โยมเจ้ากะพากันไปทำบุญตักบาตร กรวดน้ำ และอุทิศส่วนกุศลให้พวกมันซะเด้อ”

อัญญาเจ้ากองแก้วพนมมือขึ้นพูดด้วยความโล่งใจขึ้นมาสักหน่อย “ข้าพะเจ้าคิดว่าสิเป็นลางบ่ดี ขอบพระทัยพระราชครูหลวงหลายเจ้า”

“เปรตที่หนองนามน ปล่อยให้พวกมันได้ชดใช้กรรมไป เฮาเป็นคนกะอย่าไปยึดติดกับมันหลายเด้อโยม โลกของผีและคน ถึงแม้สิแยกขาดจากกันบ่ได้ ก่อนสินอนกะพากันสวดมนต์ไหว้พระไหว้เจ้า อาจสิช่วยได้”

“ได้เจ้า” อัญญาเจ้ากองแก้วพนมมือขึ้นไหว้เพื่อรับทราบ

“ข้าพะเจ้าทั้งสองเข้าใจแล้ว คงสิบ่รบกวนท่านแล้ว ขอทูลลาก่อนเด้อเจ้า” สมเด็จเจ้ามหาชีวิตสินไซเอ่ยขึ้นก่อนไปสะกิดแขนอัญญาเจ้ากองแก้วให้พากันก้มกราบพระราชครูหลวงมั่น หลังจากกราบเสร็จทั้งสองพระองค์ก็เดินคลานเข่าให้ห่างจากพระราชครูหลวงพอประมาณก่อนลุกขึ้นยืน แล้วค่อยพากันเดินจูงมือกันออกจากศาลา

ในเมื่อไม่มีลางร้ายอะไร เพียงแค่ทำบุญกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้เท่านี้ แค่นี้ก็สบายใจเป็นอย่างมาก เพราะเรื่องการทำบุญทำทานเป็นสิ่งที่อัญญาเจ้ากองแก้วชอบปฏิบัติมาตั้งแต่วัยเยาว์แล้ว ด้วยการเป็นผู้มีบุญมากนั้น มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เหล่าผู้ตกทุกข์ได้ยากย่อมต้องการพึ่งใบบุญ เช่นนั้นจึงเปรียบผู้นี้ได้กับต้นศรีมหาโพธิ์ที่แผ่ไพศาลให้ความร่มเงาแก่ทุกคนได้ทุกเมื่อ

พระราชครูหลวงมั่นเหลือบตาหันไปมองเจ้าฟ้ามหาชีวิตทั้งสองพระองค์ แต่ภายในดวงตาของท่านเห็นสมเด็จเจ้ามหาชีวิตสินไซเดินหันหลังให้แล้วพบว่าไม่มีศีรษะ สิ่งที่เห็นอยู่นี้ไม่ได้สร้างความประหลาดใจอย่างใดต่อพระราชครูหลวง แต่กลับได้แต่ภาวนาว่ากรรมนี้จะไม่ตามมาทันในเร็วๆ นี้ไปเสียก่อน เพราะบ้านเมืองกำลังสุขสงบและเจริญรุ่งเรืองได้ด้วยเจ้ามหาชีวิตพระองค์นี้ปกครองอยู่

 

หลังจากได้ทำตามที่พระราชครูหลวงมั่นแนะนำให้ทำบุญส่งไปให้เหล่าผีเปรตแล้ว อัญญาเจ้ากองแก้วก็หวังว่าคืนนี้จะไม่ฝันร้ายอีก แต่อย่างน้อยคืนนี้พระราชสวามีก็ไม่ยอมปล่อยให้อัญญาเจ้านอนอยู่คนเดียวอย่างแน่นอน

…ในห้วงของความฝัน อัญญาเจ้ากองแก้วกำลังนอนหลับอยู่บนพระแท่นบรรทม สมเด็จเจ้ามหาชีวิตสินไซเอียงหน้าลงไปกระซิบข้างหูของอัญญาแม่ “คำแก้ว อ้ายไปก่อนเด้อ”

อัญญาเจ้ากองแก้วได้ยินเสียงของสมเด็จเจ้ามหาชีวิตสินไซก่อนบิดตัวไปมาอย่างสะลึมสะลือ “เช้าแล้วบ่เจ้า” อัญญาแม่ลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด “ยังบ่เช้าเลย…” เหลือบไปเห็นพระราชสวามีกำลังเดินออกจากห้องบรรทมไป “สิรีบเสด็จไปไสเจ้า” เสียงตะโกนนี้ไม่อาจทำให้พระราชสวามีหยุดเดิน อัญญาแม่จึงลุกเดินออกจากพระแท่นบรรทมก่อนรีบวิ่งตามออกไป

สมเด็จเจ้ามหาชีวิตสินไซเดินออกมาด้านนอกของโฮงนางแล้ว ไม่พบเหล่านางข้าหลวงและเหล่าราชองครักษ์เลยสักคน แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้แปลกใจแต่อย่างใด เจ้ามหาชีวิตกลับเดินตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ เหมือนกำลังจะออกนอกเขตกำแพงวังและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดรอพระราชชายาที่กำลังวิ่งตามอยู่ไม่ห่าง

อัญญาเจ้ากองแก้วไม่มีอาการหวาดกลัวความมืดมิดนี้ เพราะยังโชคดีที่ยังมีโคมไฟที่ชาวบ้านพากันแขวนตามรายทางเพื่อส่องแสงสว่างอยู่เป็นช่วงๆ ขณะที่เดินตามพระราชสวามีไปอยู่นั้น ก็แอบตั้งคำถามกับตัวเองว่าพระราชสวามีกำลังมุ่งหน้าไปที่แห่งใด ต่อให้ตะโกนเรียกให้รอเท่าไร พระราชสวามีก็ไม่มีทีท่าว่าจะหันกลับมาตอบโต้บ้างเลย

ความสว่างไสวจากโคมไฟเหมือนจะหมดลง เนื่องจากได้เดินมานอกเขตที่ชาวบ้านตั้งบ้านเรือนแล้ว เส้นทางนี้เหมือนเป็นทางเดินของพวกฝูงวัวควายใช้เดินทางอยู่เป็นประจำในการลงไปกินน้ำที่หนองน้ำ สมเด็จเจ้ามหาชีวิตสินไซจึงเดินมาหยุดตรงริมขอบหนองก่อนหันหน้ามามองพระราชชายาที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาอย่างทุลักทุเล

“มาไกลฮอดนี้ทำไมกันเจ้า” อัญญาเจ้ากองแก้วหยุดเดินเพื่อพักเหนื่อย อัญญาแม่ยืนห่างจากพระราชสวามีราวสองศอก “ญาอ้ายสิเสด็จออกมาจากนอกเมืองยามนี้ทำไมกันเจ้า” กวาดสายตามองดูรอบๆ แล้วรู้สึกคุ้นกับสถานที่ก่อนพึมพำออกมา “ที่นี้มัน…หนองนามน”

แววตาของสมเด็จเจ้ามหาชีวิตสินไซเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง มันทำให้อัญญาเจ้ากองแก้วเกิดความรู้สึกเป็นห่วง ไม่นานนักเจ้ามหาชีวิตก็หันหลังเดินลงไปในหนองน้ำนั่นด้วยความจำใจ การกระทำเช่นนี้มันทำให้อัญญาแม่รู้สึกตกใจและต้องการวิ่งตามลงไปห้าม

“อย่าลงไป โยมเจ้า” เสียงของพระภิกษุรูปหนึ่งดังขึ้น

อัญญาเจ้ากองแก้วแอบตกใจกับเสียงของพระภิกษุรูปนั้นก่อนรีบหันหลังกลับไปดู “หลวงปู่ทองอินทร์” อัญญาแม่พนมมือขึ้นไหว้ทันที เนื่องจากรู้จักท่านเป็นอย่างดี เพราะท่านเป็นเจ้าอาวาสและเป็นพระอาจารย์ของเจ้าราชบุตรที่มาบวชเรียนอยู่ด้วยที่วัดริมหนองนามน “หลวงปู่มาอยู่นี้ได้แนวใดกันเจ้า”

“อาตมาต่างหากที่ต้องทูลถามโยมเจ้า เสด็จมาฮอดนี้ได้แนวใด”

“ข้าพะเจ้าเดินตามเจ้ามหาชีวิตมาเจ้า”

“เจ้ามหาชีวิตนั่นสวรรคตแล้ว โยมเจ้า”

“สิสวรรคตได้แนวใดหลวงปู่ ข้าพะเจ้ายังเดินตามมาอยู่เลยเจ้า”

“หากบ่เชื่อกะลองหันหลังไปเบิ่งที่หนองนามนนั่นสิโยมเจ้า”

อัญญาเจ้ากองแก้วหันหลังไปมองหนองน้ำตามที่หลวงปู่ทองอินทร์บอก สิ่งที่เห็นภายในดวงตาของอัญญาเจ้า ในหนองน้ำกลับเต็มไปด้วยพวกผีเปรตจำนวนมากที่ยืนแช่น้ำอย่างทรมานและร้องโหวกเหวกเสียงดังคร่ำครวญอย่างน่าเวทนา อัญญาแม่เกิดความหวาดกลัวมากขึ้นไปกว่าเดิม เมื่อเห็นพระราชสวามีได้กลายสภาพเป็นผีเปรตร่างสูงยาวเท่าต้นมะพร้าว ฝามือทั้งสองข้างมีขนาดบานใหญ่เหมือนกระด้ง ดวงตากลมแดงโต และปากนั้นเล็กเท่ารูเข็ม

“เกิดหยังขึ้น เป็นหยังเจ้ามหาชีวิตถึงได้กลายไปเป็นผีเปรต” อัญญาเจ้ากองแก้วหันขึ้นไปมองผีเปรตอีกหลายตนที่ช่างคลับคล้ายคลับคลาเหมือนคนที่เคยรู้จักเป็นอย่างดี “อัญญาแม่ ญาน้องกันเกรา ญาน้องก้อนคำด้วย”

“ทั้งหมดนั่นสิ้นพระชนม์กันแล้ว ตอนนี้กำลังชดใช้กรรมเป็นผีเปรตในหนองนามนนี้พร้อมกับเปรตตนอื่นๆ ผีเปรตมันบ่เคยเลือกชนชั้นว่าเจ้าสิเกิดมาอยู่ในชนชั้นใด พอสร้างกรรมชั่วไว้แล้ว กะต้องมาชดใช้กรรมนี้ทุกรายเด้อ”

“เป็นเพราะหยัง อัญญาแม่ ญาน้องทั้งสองถึงต้องตายไปเป็นผีเปรตเจ้า” อัญญาเจ้ากองแก้วตัดพ้อออกมาด้วยความประแปลกใจและแอบตั้งคำถามว่าพระราชมารดา พระขนิษฐา และพระอนุชานั้นได้ทำกรรมอันใดไว้ถึงได้ตายแล้วกลายมาเป็นผีเปรต

มือขนาดใหญ่ของผีเปรตตนหนึ่งกำลังยื่นมือลงมาใกล้ๆ อัญญาเจ้ากองแก้ว อัญญาแม่รู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น ก่อนที่จะกรีดร้องออกมาด้วยความกลัวอย่างสุดพลังเสียง…

 

“คำแก้ว ตื่น” สมเด็จเจ้ามหาชีวิตสินไซเขย่าตัวอัญญาเจ้ากองแก้วให้ตื่นออกมาจากความฝันนั่น หลังจากได้เห็นพระราชชายากรีดร้องออกมา “ญาน้อง ได้ยินเสียงอ้ายบ่”

อัญญาเจ้ากองแก้วลืมตาตื่นจากความฝัน มือลูบไล้ไปที่ใบหน้าของพระราชสวามีก่อนถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกโล่งใจ “ญาอ้าย ข้าเจ้าฝันว่าญาอ้ายตายไปเป็นผีเปรตที่หนองนามน”

“ตั้งสติหน่อยเด้อคำแก้ว อ้ายยังบ่ทันได้ตาย”

“ข้าเจ้าขอขมาเด้อเจ้า ข้าเจ้าแค่พูดไปตามความฝัน” อัญญาเจ้ากองแก้วรีบดันตัวเองลุกขึ้นไปกอดพระราชสวามีอย่างแนบแน่นก่อนที่จะร้องไห้น้ำตาซึมออกมา

สมเด็จเจ้ามหาชีวิตสินไซแอบวิตกไปบ้าง “บ่เป็นหยังแล้ว อ้ายอยู่นี่แล้ว” เจ้ามหาชีวิตจึงคอยปลอบใจเอาไว้เพื่อคลายความกลัวออกจากใจพระราชชายา

อดคิดไม่ได้เลยว่าขนาดทำบุญไปให้แล้วก็ยังฝันร้ายอยู่อีก แล้วเมื่อไหร่เรื่องนี้จะจบลงไปได้สักที เพราะการแก้ไขกับสิ่งที่มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้นั้น มนุษย์ธรรมดาคงไม่อาจทำได้ แล้วใครกันล่ะจะช่วยหยุดความฝันร้ายนี้ไปได้สักที

‘โฮง’ คือ วังหรือพระตำหนักอันเป็นสถานที่ประทับของเชื้อพระวงศ์ หากผู้ใดเป็นเจ้าของโฮงจะนิยมนำพระนามมาต่อท้าย เพื่อระบุให้ทราบในทันทีว่าเป็นของผู้ใด

 



Don`t copy text!