อัญญาเจ้า บทที่ 3 : สมเด็จเจ้ามหาชีวิตแสนสุริยราช

อัญญาเจ้า บทที่ 3 : สมเด็จเจ้ามหาชีวิตแสนสุริยราช

โดย : ทศพล

อัญญาเจ้า โดย ทศพล นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาจะพาทุกคนไปพบกับเล่ห์เหลี่ยม คุณไสย และมารยาสารพัดที่หญิงสาวมากมายใช้ช่วงชิงตำแหน่งอัญญาเจ้า…ตำแหน่งที่สตรีทุกคนในอาณาจักรใฝ่ฝันถึง พวกเธอรู้เพียงว่า กว่าจะได้เป็นอัญญาเจ้านั้นไม่ง่าย แต่เธอหาไม่รู้ว่าการดำรงตำแหน่งอัญญาเจ้านั้นกลับยากกว่า…

มืดมนไร้หนทางเมื่อความคิดล้วนเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ไฟในใจกลับร้อนแรงดั่งแสงสุริยาที่กำลังนำไปสู่ความจริงที่แสนร้ายกาจของปีศาจ ท่ามกลางเปลวเทียนของค่ำคืนนี้ อัญญาเจ้าคำผุยต้องการที่จะทำอะไรบางอย่างกับความผิดพลาดที่ต้องมีคนรับผิดชอบ

“อีเนียม” อัญญาเจ้าคำผุยตะโกนเรียก สักพักประตูก็ถูกเปิดออกให้ข้าหลวงเนียมรีบวิ่งเข้ามานั่งหมอบอยู่ทางด้านหลังของอัญญาแม่

“เจ้า…อัญญาแม่ทรงมีพระประสงค์หยังให้ข้าน้อยรับใช้เจ้า”

“เพลานี้ เจ้ามหาชีวิตประทับอยู่ที่ใด”

ข้าหลวงเนียมเสยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ อัญญาเจ้าคำผุยประทับอยู่แต่ในห้องนี้มาหลายวัน เหตุใดคืนนี้กลับเอ๋ยถามถึงเจ้ามหาชีวิต “คืนนี้…เจ้ามหาชีวิตประทับที่โฮงของอัญญาเจ้าคำม่วนเจ้า”

“ดีเลย กูสิได้ไปพบหน้ามันทั้งสองเป็นครั้งสุดท้าย” อัญญาเจ้าคำผุยหันหน้าขึ้นมองภาพวาดท้าวก้อนคำและในมือของอัญญาเจ้าถือปิ่นปักผมอันหนึ่งเอาไว้ “มึงรีบไปเตรียมเสลี่ยง กูสิไปเข้าเฝ้าเจ้ามหาชีวิต”

“อัญญาแม่เจ้า” ข้าหลวงเนียมอุทานออกมาด้วยความตกใจ “คืนนี้กะดึกหลายแล้ว มื้ออื่นเช้าค่อยเสด็จ…”

“อีเนียม” อัญญาเจ้าคำผุยหันหน้ามาตวาดเสียงใส่ข้าหลวงเนียม “ลูกกูตายทั้งคน มันยังกล้าไปเสวยสุขอยู่กับอีชั้นต่ำนั่น แล้วมึงยังมากล้าสั่งให้กูรอเฝ้ามันมื้ออื่นเช้าอยู่อีกบ่”

“ขอประทานอภัยหลายเด้อเจ้า” ข้าหลวงเนียมก้มหน้าแนบพื้นด้วยความหวาดกลัว “ข้าน้อยสิรีบไปเตรียมพระเสลี่ยงให้ยามนี้เจ้า” จากนั้นก็รีบครานเข่าถอยหลังออกให้ห่างก่อนรีบลุกขึ้นยืนเดินเร็วออกไป

ข้าหลวงเนียมรีบสั่งการให้นางข้าหลวงที่อยู่ใกล้รีบไปเตรียมพระเสลี่ยงที่หน้าโฮงทันที ส่วนนางข้าหลวงคนอื่นๆ นั้นให้รีบไปเตรียมจุดโคมไฟเพื่อเดินนำหน้าขบวน

ไม่นานนักข้าหลวงเนียมก็ประคองอัญญาเจ้าคำผุยเดินออกนอกโฮงเพื่อไปประทับบนพระเสลี่ยง เหล่าราชองครักษ์ส่งคอยสัญญาณมือยกพระเสลี่ยงขึ้นแบกหามไว้บนบ่าไหล่

“ออกตัวได้” ข้าหลวงเนียมสั่ง จากนั้นขบวนเสด็จก็ได้เคลื่อนตัวออกจากโฮงของท้าวก้อนคำทันที

ตอนนี้ไม่มีใครเดาใจของอัญญาเจ้าคำผุยได้เลยว่าจะทำอะไรในช่วงดึกดื่นป่านนี้ แต่ความรู้สึกของใครหลายคนคงคิดไปในทางเดียวกันว่ามันไม่น่าใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน เพราะแววตาของอัญญาแม่นั้นเหมือนจะไม่ค่อยเกรงกลัวพระราชอำนาจของเจ้ามหาชีวิตเลย และถ้าหากเกิดมีรับสั่งไปในทางที่ไม่ดีแล้วละก็ คงได้เกิดการนองเลือดขึ้นอีกครั้ง

ใครว่าพระราชวังหลวงจะเป็นสถานที่แสนสงบ เมื่อขบวนเสด็จของอัญญาเจ้าคำผุยได้มาอยู่หน้าโฮงนางของอัญญาเจ้าคำม่วนแล้ว เหล่านางข้าหลวงประจำโฮงนี้ต่างแสดงสีหน้าท่าทางวิตกจริตกันไปตามๆ กัน

นางข้าหลวงอาวุโส คนสนิทของเจ้ามหาชีวิตรีบวิ่งตาเหลือกออกมารับเสด็จพร้อมกับถวายความเคารพอัญญาเจ้าคำผุยที่กำลังเคลื่อนตัวลงมาจากพระเสลี่ยง “อัญญาเจ้าเสด็จมาฮอดนี้ ทรงมีพระประสงค์…”

อัญญาเจ้าคำผุยไม่สนใจคำพูดของนางข้าหลวงผู้นี้เลย ราวกับทุกอย่างรอบตัวไม่มีใคร ดวงตาของอัญญาแม่จ้องไปที่บานประตูโฮงนั่นก่อนก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดไปทันทีดุจดั่งนางพญา เป็นเหตุให้เหล่านางข้าหลวงต่างพากันเกรงกลัวจนต้องหมอบกราบลงไปกับพื้นเพื่อความปลอดภัย ประตูโฮงนางถูกเปิดออกให้อัญญาแม่เดินเข้าไปอย่างง่ายดายก่อนตรงดิ่งเข้าไปที่ห้องบรรทม

ข้าหลวงเนียมรีบวิ่งตามอัญญาเจ้าคำผุยไปเพียงลำพังผู้เดียว แต่ไม่ได้เข้าไปใกล้ตัวอัญญาแม่มาก ทำได้เพียงแค่ยืนอยู่ห่างๆ ด้วยความเป็นห่วงที่มุมเสา

เสียงหัวเราะคิกคักของชายหญิงดังอยู่ภายในห้องบรรทมของโฮง ทำให้อัญญาเจ้าคำผุยตัดสินใจยืนรออยู่หน้าประตูบานนั้น มือของอัญญาแม่กำปิ่นปักผมแน่นขึ้นทุกทีเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของเจ้ามหาชีวิตดังลั่น สองมือของอัญญาแม่ผลักประตูเข้าไปด้วยความโกรธจนใบหน้าแดงก่ำลามไปถึงต้นคอ

สมเด็จเจ้ามหาชีวิตแสนสุริยราชและอัญญาเจ้าคำม่วนต่างแสดงสีหน้าออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นอัญญาเจ้าคำผุยกำลังใช้ปิ่นปักผมจ่อไปที่หน้าอกด้านซ้าย ซึ่งก่อนหน้านั้นอัญญานางกำลังนวดแผ่นหลังให้เจ้ามหาชีวิตอยู่บนพระแท่นบรรทม

ข้าหลวงเนียมที่แอบมองดูอยู่นั้นก็ตกใจไม่แพ้กัน นางจึงเริ่มหาทางออกด้วยการรีบวิ่งไปตามอัญญาเจ้ากองแก้วมาที่นี่เป็นการด่วน

“ญาน้อง” สมเด็จเจ้ามหาชีวิตแสนสุริยราชรีบตะเกียกตะกายลงมาจากพระแท่นบรรทม ซึ่งขณะนี้พระองค์เปลือยท่อนบนและนุ่งผ้าโสร่ง “ดึกดื่นป่านนี้แล้ว น้องมีเรื่องหยัง” เจ้ามหาชีวิตรู้ว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์อะไร การเริ่มต้นด้วยบทสนทนาแบบนี้น่าจะช่วยให้พระราชชายาไม่เอาปิ่นปักผมทิ่มไปที่กลางหน้าอกเสียก่อน

“ลูกของเฮาเพิ่งสิตายจากไปได้บ่นาน ญาอ้ายกลับยังทรงพระสรวลอยู่ได้บ่เจ้า” อัญญาเจ้าคำผุยแผดเสียงสูงไปทั้งน้ำตา “พระทัยของญาอ้ายยังหลงเหลือความเป็นพระราชบิดาอยู่บ่ ลูกของข้าเจ้าต้องจากไปนั้น เป็นเพราะญาอ้ายผู้เดียว”

“ญาน้อง” สมเด็จเจ้ามหาชีวิตแสนสุริยราชตะคอกเสียงให้ดังขึ้น “อ้ายเองกะเสียใจหลายที่ลูกของเฮาเฮ็ดลงไปคือนั้น บ่มีพ่อคนใดหรอกที่สิบ่เสียใจ เมื่อต้องเห็นลูกเจ้าของฆ่าตัวตายไปต่อหน้าต่อตา”

“แต่ญาอ้ายกะยังทรงพระสรวลได้ และดูแล้วคือสิมีความสุขหลายกับอีแม่หญิงชั้นต่ำนี้”

“หยุดล่วงเกินคำม่วน เรื่องนี้คำม่วนบ่เกี่ยว”

“บ่เกี่ยวอย่างงั้นบ่” สายตาของอัญญาเจ้าคำผุยจ้องไปที่อัญญาเจ้าคำม่วนด้วยความเหยียดหยาม “อย่าคิดว่ากูบ่รู้เด้อว่า ผู้ที่เอาความลับของก้อนคำมาทูลญาอ้าย กะคืออีแม่หญิงชั้นต่ำผู้นี้ผู้เดียว”

“ญาน้องหยุด…”

“บ่หยุด” อัญญาเจ้าคำผุยตวาดเสียงกลับไป “ญาอ้ายฮู้บ่ว่า ญาอ้ายเอาแต่ลุ่มหลงและเชื่อฟังแต่อีชั่วช้านี้มานานแค่ไหนแล้ว แต่ครั้งนี้ญาอ้ายได้เป็นเหตุให้ลูกของข้าเจ้าต้องตายไป ข้าเจ้าบ่อาจสิให้อภัยญาอ้ายได้เลย…ได้ยินบ่”

อัญญาเจ้าคำม่วนรู้สึกเศร้าใจที่อัญญาเจ้าคำผุยได้เอ่ยถึงตนเช่นนั้น “พระทัยเย็นก่อนเด้ออัญญาแม่” อัญญานางรีบลงมาจากพระแท่นบรรทมก่อนเดินมายืนอยู่ข้างๆ เจ้ามหาชีวิต “อัญญาแม่คือสิเข้าพระทัยข้าพะเจ้าผิดหลายแล้ว…”

“หยุด…มึงหยุดพูดบัดเดี่ยวนี้” อัญญาเจ้าคำผุยใช้มืออีกข้างชี้นิ้วไปที่อัญญาเจ้าคำม่วน “เป็นย้อนมึงผู้เดียวที่มาเฮ็ดทุกอย่างพังลง ในแต่ละมื้อญาอ้ายกะเอาแต่คลุกคลีอยู่แต่นำมึง สันดานอีขี้ข้าอย่างมึงคงสิชำนาญหลาย จนมามัดพระทัยของเจ้ามหาชีวิตได้” แสยะยิ้มที่มุมปากขวา “จากขี้ข้าชั้นต่ำรับใช้กู อยู่ข้างกายกู จู่ๆ กะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งอัญญานางได้ กูยอมรับเลยว่ามึงเก่งหลาย”

“ญาน้องหยุดพูดเพ้อเจ้อ แล้วกลับโฮงของญาน้องซะ สิมาพูดหยังยามนี้ มื้ออื่นเช้าญาน้องค่อยมาพูดคุยกันใหม่” สมเด็จเจ้ามหาชีวิตแสนสุริยราชรีบพูดขึ้นแทรกด้วยความโกรธ

“บ่มีมื้ออื่นอีกแล้วสำหรับข้าเจ้า ญาอ้ายเป็นผู้เฮ็ดให้ก้อนคำไปจากข้าเจ้า คืนนี้ข้าเจ้ากะสิตายตามลูกไปต่อหน้าต่อตาญาอ้ายเคือกัน” มือซ้ายของอัญญาเจ้าคำผุยกำปิ่นปักผมไว้แน่นและพร้อมที่จะปักมันเข้าตรงหัวใจได้ทุกเมื่อ “อยู่ไปข้าเจ้ากะบ่มีประโยชน์หยังแล้ว ในเมื่อญาอ้ายมีอีแม่หญิงชั้นต่ำนี้อยู่”

“อย่าเฮ็ดคือนี้เลยน้องอ้าย” สมเด็จเจ้ามหาชีวิตแสนสุริยราชแสดงแววตาอ้อนวอน “อ้ายขาดญาน้องไปบ่ได้อีหลีเด้อ” เจ้ามหาชีวิตเหมือนกำลังจะร้องไห้ออกมา “สิให้อ้ายเฮ็ดหยังกะแจ้งแก่อ้ายมา อ้ายยอมญาน้องทุกอย่างแล้ว”

อัญญาเจ้าคำผุยส่ายหน้าไปมา “ข้าเจ้าตัดสินใจแล้ว ก้อนคำกำลังรอข้าเจ้าอยู่” อัญญาแม่ยกแขนซ้ายขึ้น “ต่อให้บ่มีข้าเจ้าอยู่เคียงข้างญาอ้ายแล้ว ข้าเจ้ากะเชื่อว่าญาอ้ายกะยังคงพระเกษมสำราญได้อยู่ดี”

แรงแขนของอัญญาเจ้าคำผุยกำลังจะเอาปิ่นปักผมเข้าใกล้หน้าอกซ้ายแล้ว แต่ถูกสมเด็จเจ้ามหาชีวิตแสนสุริยราชรีบเอามือไปฟาดแขนของอัญญาแม่ก่อน ทำให้ปิ่นปักผมหลุดออกจากมือแล้วตกลงไปยังพื้น แต่เจ้ามหาชีวิตดันพลาดท่าลื่นล้มลงไป ศีรษะของเจ้ามหาชีวิตถูกกระแทกเข้ากับพื้นไม้อย่างรุนแรงจนสลบนิ่งไป

อัญญาเจ้ากองแก้วบังเอิญวิ่งเข้ามาเห็นเข้าพอดีจึงตะโกนเสียงออกไปด้วยความตกใจ “อัญญาพ่อ” อัญญาเจ้ารีบเข้าไปประคองศีรษะของพระราชบิดาเอาไว้พร้อมกับพยายามเขย่าตัว “อัญญาพ่อ ได้ยินเสียงข้าพะเจ้าบ่”

ไม่นานนักท้าวสินไซที่วิ่งตามเข้ามาด้วย ได้รีบอุ้มสมเด็จเจ้ามหาชีวิตแสนสุริยราชขึ้นไปนอนราบบนพระแท่นบรรทมแทน

ส่วนอัญญาเจ้าคำม่วนรีบวิ่งออกไปนอกโฮง “ไผกะได้ รีบไปตามหมอหลวงมาบัดเดี่ยวนี้”

เหล่าข้าหลวงต่างพากันแตกตื่นจนทำอะไรไม่ถูก แต่ก็มีนางข้าหลวงบางส่วนรีบวิ่งไปตามหมอหลวง เพราะดึกดื่นเช่นนี้นั้นจะมีเหล่าหมอหลวงคอยประจำการผลัดเปลี่ยนเวรยามกันอยู่เสมอ ถ้าหากมีเหล่าเชื้อพระวงศ์เกิดป่วยกะทันหันขึ้นมาก็จะได้รีบมาช่วยไว้ได้ทันท่วงที เฉกเช่นเหตุการณ์ในครั้งนี้

อัญญาเจ้าคำผุยเบิกตากว้างขึ้นเมื่อสถานการณ์กลับไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจไว้ อัญญาแม่เอามือทั้งสองข้างขึ้นกุมศีรษะตัวเองก่อนทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นอย่างแรง ไม่นานนักความเครียดก็เข้าครอบงำจนเป็นเหตุให้นอนเป็นลมสลบนิ่งไป

“อัญญาแม่” ข้าหลวงเนียมเห็นเข้าก็รีบวิ่งเข้ามาประคองอัญญาเจ้าคำผุยเอาไว้ ก่อนตะโกนเรียกข้าหลวงเหมือนและข้าหลวงยงเข้ามาช่วยอีกแรง

“อัญญาแม่” อัญญาเจ้ากองแก้วตวาดเสียงสูงออกมาเมื่อเหลือบไปเห็นอัญญาเจ้าคำผุยเป็นลมล้มลงไปนอนกองกับพื้น แต่ข้าหลวงเนียมได้เข้าประคองไว้แล้ว อัญญาเจ้าจึงปล่อยให้นางข้าหลวงดูแลแทน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว อัญญาเจ้ากองแก้วยืนตัวสั่นไปทั้งตัว เพราะทำตัวไม่ถูกว่าต้องปฏิบัติสิ่งใดต่อ เนื่องด้วยได้เห็นพระราชบิดาและพระราชมารดาเป็นเช่นนี้ก็คงยากที่จะให้มีสติได้

ท้าวสินไซเหลือบไปเห็นพระชายายืนตัวสั่นและทำตาลอย พอจัดท่านอนให้สมเด็จเจ้ามหาชีวิตแสนสุริยราชเสร็จสิ้นแล้ว ท่านท้าวก็รีบหันไปคว้ามือของอัญญาเจ้ากองแก้วเอาไว้ “คำแก้ว”

อัญญาเจ้ากองแก้วปลดปล่อยน้ำตาออกมาอย่างพรั่งพรูก่อนรีบสวมกอดท้าวสินไซเอาไว้ มือของพระสวามีสวมกอดร่างกายของพระชายาเอาไว้เพื่อปลอบโยนสภาพจิตใจที่กำลังดิ่งสู่ก้นเหวลึกให้กลับขึ้นมามีสติและอยู่กับปัจจุบันให้ได้

 

2 วันผ่านไป

สมเด็จเจ้ามหาชีวิตแสนสุริยราชได้ถูกเคลื่อนตัวกลับมารักษาพระอาการที่โฮงหลวงของพระองค์เองตั้งแต่เหตุการณ์คืนนั้น แม้ว่าหมอหลวงจะได้ถวายการรักษาแล้ว เจ้ามหาชีวิตก็ดูเหมือนจะไม่มีทีท่าว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมาได้เลย ทุกคนจึงต่างพากันพลอยวิตกกังวลกันไปตามๆ กัน

อัญญาเจ้าคำม่วนนั้นคอยดูแลสมเด็จเจ้ามหาชีวิตแสนสุริยราชอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่คาดสายตา ใครจะเข้าออกที่โฮงหลวงนี้ย่อมต้องได้พบอัญญานางก่อนเสมอ โดยเฉพาะหมอหลวงที่ผลัดเวรกันเข้ามากันตรวจเป็นช่วงๆ

“เป็นแนวใดแหน่แล้วหมอหลวง พระอาการมีความคืบหน้าอยู่บ่” อัญญาเจ้าคำม่วนถามขึ้น

หมอหลวงไกรสรส่ายหน้าช้าๆ เป็นสัญญาณว่าหมดวิธีรักษาแล้ว ก่อนรีบลงมาจากพระแท่นบรรทมแล้วครานตัวไปนั่งข้างๆ พระแท่นบรรทม

“ข้าน้อยรักษามาหมดทุกวิธีแล้วเจ้า เจ้ามหาชีวิตทรงพระประชวรด้วยโรคหยังกะบ่ฮู้เจ้า แต่ว่าข้าน้อยเคยได้ยินพวกหมอต่างถิ่นพากันพูดว่า เจ้ามหาชีวิตอาจประชวรเป็นโรคเจ้าบรรทมเจ้า”

“พวกหมอข้างนอกนั้นบ่เคยได้ทรงรักษาพระอาการของเจ้ามหาชีวิตเลย เป็นหยังถึงมาฮุ้ดีแท้ล่ะท่านหมอ แล้วโรคเจ้าบรรทมมันเป็นอาการแนวใดกันเจ้า”

“ข้าน้อยกะยังบ่รู้วิธีรักษา แต่อาการมันคือคนนอนหลับธรรมดาไปจนกว่าสิหมดลมหายใจไปเองเจ้า” หมอหลวงไกรสรพูดในสิ่งที่ตนเองทราบออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ร่างกายของเขากลับสั่นไปทั้งตัวแล้วตอนนี้ เพราะกลัวว่าอัญญาเจ้าคำม่วนจะกริ้วเอา

“ข้าพะเจ้าเข้าใจแล้ว ท่านหมอออกไปได้”

“เจ้า” หมอหลวงไกรสรรีบคลานเข่าถอยหลังออกจากเขตห้องพระบรรทมอย่างรวดเร็ว

อัญญาเจ้าคำม่วนเกิดความสงสัยในพระอาการของสมเด็จเจ้ามหาชีวิตแสนสุริยราช ถ้าหากประชวรด้วยโรคที่พวกหมอต่างถิ่นพากันวิเคราะห์แล้วละก็ อีกไม่นานนครหลวงแห่งนี้คงได้ผลัดเปลี่ยนแผ่นดินในเร็วๆ นี้แน่ แล้วตำแหน่งของอัญญานางเองก็จะพลอยเกิดการสั่นคลอนลงไป

นางข้าหลวงคนสนิทรู้สึกเป็นห่วงเจ้านายตนเอง นางจึงคลานเข่าเข้ามาก้มกราบเท้าของอัญญาเจ้าคำม่วนก่อนรีบพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ “อัญญานางเจ้า ข้าน้อยพอที่สิมีทางออกเด้อเจ้า”

“ว่าแนวใดล่ะอุลัย”

“ในเมื่อหมอหลวงรักษาบ่ได้แล้ว กะต้องใช้หมอธรรมรักษาเด้อเจ้า” ข้าหลวงอุลัยเหมือนมีความมั่นใจว่าหมอธรรมจะช่วยรักษาในสิ่งที่หมอทั่วไปรักษาไม่ได้ “ข้าน้อยพอสิฮู้จักหมอธรรมเก่งๆ อยู่เจ้า”

“นั่นมันผิดกฎ หากไผฮู้เข้า ข้าพะเจ้าได้ถูกบั่นคอแน่ๆ อีกอย่างสินำหมอธรรมเข้ามารักษาฮอดโฮงหลวงนี้กะบ่ได้แล้ว”

“บ่จำเป็นต้องเอาหมอธรรมมาฮอดนี้เจ้า แค่อัญญานางสวดตามที่หมอธรรมเขียนให้กะพอ หลายคนแล้วกะพากันเฮ็ดคือนี้เจ้า เป็นย้อนมาหาพ่อหมอบ่ได้ เลยต้องเอาบทสวดนี้ไปสวด จากนั้นกะพากันดีมื้อดีคืนกันมาหลายคนแล้วเด้อเจ้า”

“แล้วหมอธรรมผู้นี้มีนามว่าหยัง”

“หมอธรรมแสงเจ้า เก่งหลายจนชาวบ้านต่อแถวกันรักษาเลยเด้อเจ้า”

อัญญาเจ้าคำม่วนเครียดหนักก่อนเดินเข้าไปนั่งบนพระแท่นบรรทม สายตาของอัญญานางมองไปยังใบหน้าของสมเด็จเจ้ามหาชีวิตแสนสุริยราชที่นอนหลับนิ่ง ในขณะที่อัญญานางเองกลับกำลังวิตกเรื่องของอนาคต อัญญานางรู้ดีว่าการรักษาด้วยหมอธรรมนั้น มันเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ไม่ต่างอะไรกับการใช้คุณไสยรักษา ซึ่งการรักษาในลักษณะนี้จะเป็นที่นิยมในหมู่ชาวบ้านกันเสียส่วนใหญ่ แต่สำหรับพระราชวงศ์นั้นเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างเด็ดขาด

 

บ่ายของวันนี้ท้าวแสนฤทธิ์และท้าวบุญสารต่างพร้อมใจกันเดินทางมาขอเข้าเฝ้าท้าวสินไซ ณ โฮงนางของอัญญาเจ้ากองแก้ว ซึ่งหลายคืนมานี้พระองค์ได้ประทับอยู่นี่มาตั้งแต่เกิดเรื่องแล้ว

โดยทั้งสามพระองค์นั่งอยู่บนพระแท่นคนละคนตัวภายในห้องรับรอง ซึ่งท้าวสินไซจะเป็นผู้นั่งอยู่บนพระแท่นกลาง ถัดมาซ้ายมือของพระองค์จึงเป็นท้าวแสนฤทธิ์และท้าวบุญสารตามลำดับ

ท้าวแสนฤทธิ์นับว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ที่อาวุโสที่สุด ถึงแม้จะมีหนวดเคราจนขาวโพลนแล้ว แต่ทว่าร่างกายกลับกำยำล่ำสันที่ต้องรักษารูปร่างของตนเองให้แข็งแรงไว้อยู่เสมอ ซึ่งในครั้งนี้ที่ท่านท้าวได้ตัดสินใจมาขอเข้าเฝ้าก็เพราะพระราชบัลลังก์นั้นไร้ผู้รักษาการมาหลายวันแล้ว

ส่วนท้าวบุญสารนั้น ถึงแม้จะเป็นพระเชษฐาของท้าวสินไซ แต่กลับมีศักดิ์ต่ำกว่า อีกทั้งยังเป็นพระชามาดาของท้าวแสนฤทธิ์ด้วย เนื่องจากท่านท้าวได้เสกสมรสกับอัญญาเจ้าคำคูน

เช่นนั้นการสนทนาจึงเป็นไปด้วยท่าทางสบายๆ และเป็นกันเอง เพราะเป็นเครือญาติกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งตามหลักการแล้วท้าวสินไซมีศักดิ์สูงกว่า เนื่องมาจากท่านท้าวเป็นพระชามาดาของเจ้าฟ้ามหาชีวิต แต่ทว่าท่านท้าวกลับไม่ได้ยึดติดกับยศถาบรรดาศักดิ์มาก ยังคงให้ความเคารพผู้อาวุโสกว่าด้วยการคงกิริยาอาการถ่อมเนื้อถ่อมตนยกมือขึ้นไหว้ก่อนเสมอ

“ดูแล้ว พระอาการของเจ้ามหาชีวิตบ่ดีขึ้นเลย” ท้าวแสนฤทธิ์เปิดประเด็นขึ้นพูด “ที่ข้าพะเจ้ามามื้อนี้กะเป็นเพราะอยากให้ท่านท้าวช่วย”

ท้าวสินไซเหมือนรู้อยู่ก่อนแล้วว่าท้าวแสนฤทธิ์มาด้วยเหตุอันใด “ญาลุงต้องการให้ข้าพะเจ้าช่วยเหลือหยังเจ้า หากข้าพะเจ้าช่วยได้กะสิลองดูเจ้า”

“ขึ้นรับตำแหน่งเจ้าอุปฮาตว่าราชการแทนเจ้ามหาชีวิตเป็นการชั่วคราว” ท้าวแสนฤทธิ์จริงจังกับคำพูดตัวเอง “ตำแหน่งนี้ ท่านท้าวเหมาะสมที่สุดแล้ว ณ เพลานี้”

ท้าวสินไซชักสีหน้าปฏิเสธ “ข้าพะเจ้าบ่แม่นหน่อเนื้อโดยตรงของเจ้าฟ้ามหาชีวิต”

“แต่เจ้าเป็นพระสวามีของหน่อเนื้อโดยตรงของเจ้าฟ้ามหาชีวิต” ท้าวบุญสารรีบพูดแทรก “อัญญาแม่และขุนนางคนอื่นๆ ต่างกะเห็นพ้องเป็นเสียงเดียวกันแล้ว ตำแหน่งนี้ต้องเป็นท่านท้าวเท่านั้น”

“แต่ว่า…”

“บ่มีแต่หยังทั้งนั้น ในเมื่อเจ้ามหาชีวิตบ่อาจออกว่าราชการได้ ส่วนอัญญาแม่กะทรงอนุญาตแล้ว ท่านท้าวต้องอยู่ในตำแหน่งนี้ เพื่อความผาสุกของนครหลวง” ท้าวแสนฤทธิ์พูดด้วยน้ำเสียงนิ่มนวลและมีสีหน้าเชิงขอความเห็นใจ “ช่วงนี้กะอย่าเพิ่งไปขัดพระทัยของอัญญาแม่เลยเด้อ”

“แม่นอย่างที่ญาพ่อตรัสมา อย่าเพิ่งไปขัดพระทัยอัญญาแม่เลยท่านท้าว อีกอย่างบ้านเมืองเฮาต้องช่วยกันปกป้องดูแล” ท้าวบุญสารทวนย้ำให้ตัดสินใจตอบตกลงง่ายขึ้น

“กะได้เจ้า ข้าพะเจ้าน้อมรับตำแหน่งนี้” ท้าวสินไซขานตอบรับออกมาและคลายความวิตกลง “แต่ยังไงข้าพะเจ้ากะยังต้องการให้ญาลุงและญาอ้ายคอยช่วยชี้แนะอีกหลายเด้อเจ้า”

ท้าวแสนฤทธิ์และท้าวบุญสารต่างพากันหัวเราะเบาๆ ออกมาหลังจากได้ฟังคำพูดของท้าวสินไซที่ช่างถ่อมตนมากเหลือเกิน ทั้งที่ความสามารถของเขานั้นเก่งกาจและปราดเปรื่องจนได้รับคำชื่นชมจากสมเด็จเจ้ามหาชีวิตแสนสุริยราชอยู่บ่อยครั้ง

ท้าวสินไซไม่ค่อยมั่นใจว่าพระองค์จะปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเจ้าอุปฮาตได้ อีกอย่างตำแหน่งนี้ต้องเป็นผู้สืบเชื้อสายพระโรหิตโดยตรงหรือได้รับการแต่งตั้งจากเจ้ามหาชีวิตเท่านั้น ซึ่งเดิมทีเป็นของท้าวก้อนคำ แต่พระองค์ได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ต่อมาเจ้ามหาชีวิตก็เกิดประชวรกะทันหันเข้าเสียก่อน จึงทำให้ยังไม่ได้แต่งตั้งใครเอาไว้ ทางขุนนางเลยได้นัดประชุมกันและได้ไปขอความคิดเห็นจากอัญญาเจ้าคำผุยด้วย สุดท้ายบทสรุปจึงตกมาอยู่ที่พระสวามีของอัญญาเจ้ากองแก้วแทน

เดิมทีท้าวสินไซรับตำแหน่งเจ้าราชวงศ์มาโดยตลอด บัดนี้ได้รับโอกาสเข้ารับตำแหน่งเจ้าอุปฮาต พระองค์อาจมีโอกาสได้ขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นเจ้ามหาชีวิตองค์ต่อไปทันที หากเกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงขึ้น ซึ่งพระราชพิธีแต่งตั้งจะถูกจัดขึ้นที่พระราชคองหลวงอย่างเรียบง่ายในช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้

‘พระราชคองหลวง’ คือ ท้องพระโรงหลวง เป็นห้องโถงขนาดกว้างที่สุดภายในตัวโฮง ซึ่งเจ้ามหาชีวิตและเจ้านายในปกครองใช้เป็นสถานที่ว่าราชการ ประชุมงาน และพบปะทูตต่างเมือง ตลอดจนใช้ประกอบงานพระราชพิธีต่างๆ

แต่ดูเหมือนว่า อัญญาเจ้ากองแก้วที่ประทับนั่งอยู่อีกห้องแล้วได้ยินเข้า อัญญาเจ้ากลับมีสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นมาทันที พอได้รู้ว่าพระสวามีของตนกำลังจะขึ้นเป็นเจ้าอุปฮาต ทั้งที่ตำแหน่งนี้ยังไม่ถึงเวลาอันเหมาะสม ต้องรอให้เจ้ามหาชีวิตฟื้นตัวขึ้นมาก่อน โดยในความคิดของอัญญาเจ้านั้น ตอนนี้ยังไม่เหมาะที่จะแต่งตั้งใคร ควรให้อัญญาเจ้าคำผุยเป็นผู้สำเร็จราชการแทนไปก่อน เนื่องด้วยพระราชอำนาจของพระราชมารดามีอยู่มากพอที่จะตัดสินและควบคุมพวกเหล่าขุนนางได้ ซึ่งอัญญาเจ้ายังคงเกรงว่าพระสวามีของตนนั้นอาจจะรับมือกับพวกขุนนางได้ไม่ดีพอ

 

ตอนนี้เลยเพลาเย็นมามากแล้วจนพระอาทิตย์เกือบจะลับขอบฟ้า หลังจากไปเยี่ยมพระอาการของเจ้ามหาชีวิตที่โฮงหลวงแล้ว อัญญาเจ้ากองแก้วก็รีบนั่งพระเสลี่ยงไปที่โฮงนางของอัญญาเจ้าคำผุยในทันทีเพื่อขอคัดค้านการให้ท้าวสินไซขึ้นเป็นเจ้าอุปฮาตในช่วงเวลานี้

ครั้นพอถึงหน้าโฮงแล้ว อัญญาเจ้าคำผุยกลับมีรับสั่งห้ามใครเข้าพบอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะอัญญาเจ้ากองแก้ว เหมือนอัญญาเจ้ารู้พระทัยของพระราชธิดาตนเองเป็นอย่างดีว่าต้องมารีบขอเข้าเฝ้าอย่างแน่นอน จนข้าหลวงเนียม ข้าหลวงเหมือนและข้าหลวงยงพากันหมอบกราบขวางทางที่หน้าประตูโฮงเอาไว้

“ทูลอัญญาเจ้า อัญญาแม่ทรงมีพระราชเสาวนีย์รับสั่งห้ามผู้ใดรบกวนเจ้า อัญญาเจ้าเสด็จกลับเถิดเจ้า” ข้าหลวงเนียมเงยหน้าขึ้นพูดและทำสีหน้าอ้อนวอนว่าอย่าได้ขัดรับสั่งนี้เลย ด้วยอารมณ์ของอัญญาเจ้าคำผุยตอนนี้นั้นยังไม่เหมาะแก่การเข้าเฝ้า เว้นแต่ได้รับการอนุญาตเสียก่อน แต่นี้มีรับสั่งห้ามและระบุพระนามมาซะขนาดนั้น นางเองก็ต้องห้ามอัญญาเจ้าไว้ให้จงได้

“บ่ได้ ข้าพะเจ้าต้องทูลกับอัญญาแม่ให้ได้ เนียมกะอย่าได้ขวางทางข้าพะเจ้าเลย หากมีเหตุอันใดเกิดขึ้นมาหลังจากนี้ ข้าพะเจ้าสิรับผิดชอบทั้งหมดไว้เอง”

อัญญาเจ้ากองแก้วไม่ฟังคำคัดค้านใดๆ อัญญาเจ้าจึงเดินอ้อมนางข้าหลวงเพื่อผลักประตูเดินตรงเข้าไปในภายในโฮงที่เป็นห้องรับรอง

อัญญาเจ้าคำผุยเอนตัวนอนหลับตาตะแคงราบไปกับหมอนสามเหลี่ยมบนพระแท่น ล้อมรอบพระแท่นเต็มไปด้วยเทียนหอมจำนวนมากที่ถูกจุดเอาไว้เพื่อรับกลิ่นผ่อนคลายอารมณ์

“เดี่ยวนี้คำสั่งของแม่บ่ศักดิ์สิทธิ์พอที่สิห้ามลูกได้แล้วแม่นบ่” อัญญาเจ้าคำผุยพูดออกมาทั้งที่ยังคงหลับตาอยู่ “มื้ออื่นเช้ามีงานพิธีสำคัญ ลูกควรไปเตรียมตัวได้แล้วเด้อ”

“เป็นหยังอัญญาแม่ถึงให้พระสวามีของลูกขึ้นรับตำแหน่งนั้น ในขณะที่อัญญาพ่อยังพระประชวรอยู่เด้อเจ้า” อัญญาเจ้ากองแก้วเดินเข้าไปยืนอยู่เบื้องหน้าพระแท่นไม่ใกล้ไม่ไกลมากนัก “หากควบคุมเหล่าขุนนางบ่ได้ล่ะ…”

“ได้สิ” อัญญาเจ้าคำผุยลืมตาขึ้นมองใบหน้าเจ้าราชบุตรี “แม่มั่นใจว่าท้าวสินไซสิเฮ็ดหน้าที่นั้นได้ดีแทนก้อนคำด้วยซ้ำ”

“แต่ตำแหน่งเจ้าอุปฮาตต้องให้อัญญาพ่อเท่านั้นแต่งตั้ง ขุนนางทั้งหมดถึงสิยอมรับในพระสวามีของลูก”

“แล้วยามใดล่ะ” อัญญาเจ้าคำผุยตวาดเสียงใส่ก่อนดันตัวเองขึ้นนั่ง “มัวแต่รอให้อัญญาพ่อลูกตื่นขึ้นมา ป่านนั้นบ้านเมืองได้ล่มจมเป็นแน่”

“ถ้าคืนนั้นอัญญาแม่บ่ไปประชดพระชนม์ชีพที่โฮงนาง อัญญาพ่อกะคงสิบ่เป็นเช่นนี้หรอกเด้อเจ้า”

แววตาของอัญญาเจ้าคำผุยเบิกกว้างขึ้น “แล้วสิ่งที่อัญญาพ่อลูกและอีแม่หญิงชั้นต่ำนั้นเฮ็ดไว้กับแม่ล่ะ เรื่องทุกอย่างมันกะคงสิบ่เป็นอย่างนี้คือกัน” อัญญาแม่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินวนไปรอบๆ อัญญาเจ้ากองแก้ว “ตั้งแต่อัญญาพ่อดึงอีข้าหลวงรับใช้ขึ้นมาเป็นอัญญานาง แม่เองกะเจ็บปวดเจียนตายที่ต้องเห็นอีขี้ข้าคนสนิทมาใช้มารยาหญิงร่วมเสวยสุขอยู่กับอัญญาพ่อทุกค่ำคืน จนบ่เคยคิดที่สิหันกลับมาเหลียวแลแม่บ้างเลย”

“แต่อัญญาพ่อกะยกอัญญาแม่ขึ้นเป็นถึงอัญญาแม่ของแผ่นดินนี้”

อัญญาเจ้าคำผุยยืนอยู่ทางด้านหลังอัญญาเจ้ากองแก้ว “แม่บ่ได้ยึดติดกับบรรดาศักดิ์หยังแล้ว ขอแค่อัญญาพ่อเฮามีกันและกันไว้เท่านั้น แม่กะมีความสุขหลายแล้ว แต่มันกลับมาแย่งอัญญาพ่อไป แถมยังมาทำให้ก้อนคำจากแม่ไปอีก” เดินวนกลับไปประทับนั่งบนพระแท่นเดิมก่อนใช้มือซ้ายทุบไปที่กลางหัวใจตนเอง “ถ้าเป็นลูก สิบ่เจ็บปวดใจบ้างเลยบ่ แต่ลูกยังโชคดีกว่าแม่หลาย แม่สังเกตว่าท้าวสินไซบ่ยอมมีแม่หญิงอื่นเลย แถมยังคอยปกป้องและมั่นดูแลลูกอยู่เสมอ มันเฮ็ดให้แม่เชื่อใจว่า ในเมื่อท้าวสินไซดูแลลูกได้ดีคือนี้ ราชกิจบ้านเมืองกะต้องเฮ็ดได้คือกันนั่นละ ลูกบ่ต้องห่วงเรื่องของอนาคต หากมันผู้ใดคิดต่อต้านแม่แล้วละก็ อย่าหวังว่าที่สิได้อยู่ร่วมใต้ฮ่มฉัตรขาวนี้อีก”

แท้ที่จริงแล้วผู้กุมอำนาจทั้งหมดไว้ในนครหลวงนี้นั้นก็คือ อัญญาเจ้าคำผุย ถ้าหากขุนนางคนใดคิดแข็งข้อกับอัญญาแม่แล้วละก็ ชีวิตอาจได้ตายไปก่อนวัยอันควร ซึ่งก่อนหน้านี้อัญญาแม่ได้เตรียมปูเส้นทางให้กับท้าวก้อนคำขึ้นเป็นเจ้ามหาชีวิตเป็นคนถัดไป แต่เหตุการณ์ทุกอย่างกลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่วางไว้ อัญญาแม่จึงเปลี่ยนความคิดผลักดันท้าวสินไซขึ้นเป็นเจ้ามหาชีวิตแทน เพื่อเป็นการรักษาอำนาจเอาไว้ให้คงอยู่สืบไป

อัญญาเจ้ากองแก้วยืนนิ่งเงียบ แม้ว่าในใจของอัญญาเจ้าเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่อัญญาเจ้าคำผุยทำลงไป แต่ก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่อยู่ภายในใจของพระราชมารดาตนเองอยู่ดี บางมุมก็อ่อนโยน บางมุมก็น่ากลัวที่มีความหลากหลายทางด้านอารมณ์ยิ่งนัก

 



Don`t copy text!