อัญญาเจ้า บทที่ 1 : พระแม่ห่มขาว

อัญญาเจ้า บทที่ 1 : พระแม่ห่มขาว

โดย : ทศพล

Loading

อัญญาเจ้า โดย ทศพล นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาจะพาทุกคนไปพบกับเล่ห์เหลี่ยม คุณไสย และมารยาสารพัดที่หญิงสาวมากมายใช้ช่วงชิงตำแหน่งอัญญาเจ้า…ตำแหน่งที่สตรีทุกคนในอาณาจักรใฝ่ฝันถึง พวกเธอรู้เพียงว่า กว่าจะได้เป็นอัญญาเจ้านั้นไม่ง่าย แต่เธอหาไม่รู้ว่าการดำรงตำแหน่งอัญญาเจ้านั้นกลับยากกว่า…

ปีพุทธศักราช 1010

นครหลวงศรีโคตร เป็นราชธานีที่มีเจ้ามหาชีวิตผลัดเปลี่ยนกันขึ้นครองราชย์มาหลายรัชกาลแล้ว ปกครองกันในระบบอาญาสี่ ประกอบไปด้วย เจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ และราชบุตร แต่ละตำแหน่งจะมีความรับผิดชอบในหน้าที่การงานที่แตกต่างกันออกไป

*เจ้าเมืองหรือเจ้ามหาชีวิต ผู้เป็นใหญ่สุดแห่งเมือง มีอำนาจหน้าที่สิทธิ์ขาดในการบังคับบัญชาเหนืออาญาสี่และกรมการเมือง ตลอดจนข้าราชการทั้งปวงในเขตเมืองนั้น

*อุปฮาต เจ้าเมืองผู้น้อย คือผู้ที่จะขึ้นเป็นเจ้าเมืองในอนาคต ทำหน้าที่ เป็นที่ปรึกษาราชการของเจ้าเมือง ปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้าเมือง ตลอดจนรับผิดชอบเกี่ยวกับบัญชีส่วยอากร รวมถึงการเกณฑ์กำลังพล

*ราชวงศ์ ผู้สืบเชื้อสายจากเจ้าเมือง เป็นผู้แทนของอุปฮาด รับผิดชอบเรื่องอรรถคดีและการตัดสินถ้อยความข้อพิพาท บางครั้งเรียกตำแหน่งนี้ว่า เจ้าโฮงเหนือหรือเจ้าเฮือนเหนือ

*ราชบุตร คือเจ้าราชบุตรของเจ้าเมือง ทำหน้าที่ช่วยราชการตามที่เจ้าเมืองมอบหมาย ตลอดจนการปฏิบัติกิจการด้านศาสนา บางครั้งเรียกตำแหน่งนี้ว่า เจ้าโฮงใต้หรือเจ้าเฮือนใต้

 

สมเด็จเจ้ามหาชีวิตสินไซ หรือท้าวสินไซ เป็นเจ้ามหาชีวิตปกครองเมืองลำดับที่ 13 มีพระราชชายาพระนามว่า อัญญาเจ้ากองแก้ว โดยทั้งสองพระองค์มีเจ้าราชบุตรเพียงพระองค์เดียว พระนามว่า เจ้าน้อย ซึ่งกำลังบรรพชาเป็นสามเณรเรียนหนังสืออยู่กับหลวงปู่ทองอินทร์ที่วัดริมหนองนามน

นครหลวงแห่งนี้เป็นเมืองที่อยู่ติดริมแม่น้ำของหรือแม่น้ำโขงที่ทอดยาวผ่ากลางเมืองลงมา โดยลักษณะภูมิประเทศที่มีภูเขาสูงสลับซับซ้อนรายล้อมเมืองไว้ และมีพื้นที่ราบไว้ให้ชาวเมืองได้ตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยกันเป็นหย่อมๆ ดินแดนถิ่นนี้จึงล้วนเต็มไปด้วยแหล่งอารยธรรมที่มีมาตั้งแต่สมัยปู่สังกะสากับย่าสังกะสีที่ได้สรรค์สร้างไว้

ด้วยนครหลวงแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้น รูปแบบการสร้างบ้านเรือนของคนที่นี่จึงเป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูงที่สามารถถ่ายเทอากาศและรับลมเย็นๆ ได้ดี และการแต่งกายของชาวบ้านก็ปรับไปตามสภาพอากาศที่บางครั้งจะร้อน จะหนาวหรือมีฝนตกที่คอยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปตามฤดูกาล ยามใดที่มีพายุโหมกระหน่ำเข้ามาก็แทบจะปรับตัวไม่ทัน เพราะมันอาจจะมีครบทุกฤดูในช่วงเวลาเดียวกันอย่างคาดไม่ถึง

เช่นนั้นพ่อชายส่วนใหญ่จึงนิยมสวมเสื้อแขนสั้นหรือแขนยาวด้วยสีเข้มๆ ที่ย้อมสีจากธรรมชาติ นุ่งผ้าเตี่ยวและใช้ผ้าคาดเอวด้วยผ้าขาวม้ามัดทับอีกที และสักลายตามร่างกาย ส่วนแม่หญิงจะนิยมสวมใส่ผ้าซิ่นต่อตีนแบบทอจากใยฝ้ายทั้งตัว สวมเสื้อคอเปิดเล่นสีสัน ห่มผ้าสไบเฉียง สำหรับการสวมเครื่องประดับที่ทำจากเงินหรือโลหะนั้น ล้วนเป็นที่นิยมทั้งชายและหญิง เพราะมันจะแสดงถึงฐานะทางสังคมด้วย

การใช้ชีวิตของผู้คนเน้นไปทางเกษตรกรรมเป็นหลัก เลี้ยงสัตว์และหาของป่ามาประทังชีพ หากมีมากจนเหลือก็จะนำออกมาขายหรือแลกเปลี่ยน ทุกอย่างดูเรียบง่ายในชีวิตประจำวัน ตื่นเช้ามาเพื่อทำบุญตักบาตรข้าวเหนียวและไปทำบุญกันที่วัด ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รวมถึงการทำนุบำรุงท้องที่กันอย่างขะมักเขม้นด้วยความเต็มใจ ให้ความเคารพและนับถือผู้นำที่เก่งและมีความสามารถอย่างแท้จริง

แต่สำหรับธรรมเนียมราชประเพณีในพระราชวังหลวงนั้น การใช้ชีวิตล้วนแตกต่างจากชาวบ้านเป็นอย่างมาก ทุกอย่างดูเป็นระบบระเบียบตามกฎมณเฑียรบาล ซึ่งเป็นข้อบัญญัติพิเศษเกี่ยวกับพระราชฐาน พระราชวงศ์ และระเบียบการปกครองในราชสำนักกำหนดขึ้นมาอย่างช้านาน

 

ยามเช้าในเขตราชสำนักฝ่ายใน

ข้าหลวงเนียมกำลังยืนต่อหน้าเหล่านางข้าหลวงฝึกหัดราว 50 คนที่ยืนเข้าแถวตอนเรียงห้าที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ สีหน้าท่าทางของนางข้าหลวงอาวุโสผู้นี้ ดูแล้วไม่ได้น่ากลัวแต่กลับน่าเกรงขามอย่างน่าเคารพ ถึงแม้จะดูชราไปบ้าง แต่ก็ยังแข็งแรงและเดินเหินอย่างคล่องตัวอยู่ ขณะนี้เธอกำลังอบรมนางข้าหลวงที่เพิ่งจะได้รับการคัดตัวเข้ามาฝึกงานในวังก่อนที่จะเป็นนางข้าหลวงเต็มตัว

“ในเขตกำแพงวังนี้ มีกฎระเบียบอยู่หลายอย่าง ที่พวกเจ้าทั้งหลายต้องเรียนรู้กันอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการแสดงความเคารพต่อเจ้าฟ้ามหาชีวิต”

ข้าหลวงเนียมพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังและทรงพลังมาก ระหว่างที่พูดไปก็มีนางข้าหลวงจำนวนสองคนกำลังสาธิตให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น

“หากพระองค์เจ้าเสด็จผ่านมา ให้รีบย่างหลบฮิมทาง ยืนตัวตรงแล้วพนมมือไหว้ไว้ด้วยความเคารพ หากพระองค์เจ้าทรงประทับนั่งอยู่ ให้ย่างเข้าไปประมาณสัก 2 ศอก แล้วนั่งชันเข่าลงก่อนค่อยคลานเข่าเข้าไปไหว้ก่อนทูลถาม หากพวกเจ้านั่งอยู่ แล้วพระองค์เจ้าเสด็จผ่านมา ให้รีบนั่งพับเพียบพนมมือขึ้นไหว้อย่างงดงาม…นี่เป็นเพียงการแสดงความเคารพขั้นต้นเท่านั้น และในช่วงของการฝึกนี้ พวกเจ้าต้องตั้งใจเรียนรู้เอาไว้…เข้าใจบ่”

เหล่านางข้าหลวงฝึกหัดต่างพากันพนมมือไหว้เพื่อขอบคุณ ก่อนพากันพูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน “ข้าน้อยเข้าใจแล้วเจ้า นางข้าหลวงอาวุโส”

การแต่งกายของนางข้าหลวงของราชสำนักที่นี่จะสวมเสื้อปั๊ดหรือเสื้อป้ายสีขาว คอเสื้อตกแต่งด้วยผ้าดิ้นเงิน ดิ้นทองแล้วห่มทับด้วยผ้าสไบเฉียงสีชมพูอ่อน นุ่งผ้าซิ่นมัดหมี่ต่อตีนอย่างสวยงาม สวมสร้อยข้อมือและสร้อยสังวาลที่ทำจากนากและเงิน เกล้ามวยผมบนหัวแล้วปักดอกพิกุลประดิษฐ์สัก 2 ดอก ถ้าหากเป็นนางข้าหลวงอาวุโสหรือข้าหลวงที่เป็นหัวหน้าสายงานต่างๆ จะห่มสไบเฉียงด้วยผ้าสีเขียวเข้ม

‘เสื้อปั๊ดหรือเสื้อป้าย’ เป็นเสื้อที่แสดงถึงฐานะทางสังคมของแม่หญิง

 

ไม่นานนัก สองนางข้าหลวงวัยกลางคนพากันวิ่งเร็วตรงดิ่งมาหาข้าหลวงเนียม ด้วยสีหน้าและท่าทางอันเร่งรีบคงมีเรื่องสำคัญมากๆ อย่างแน่แท้ จนเหล่านางข้าหลวงคนอื่นๆ ต่างพากันหันไปมองกันด้วยความน่าสงสัย

“นางยง นางเหมือน เจ้าสองคนมีเรื่องหยัง คือวิ่งตาตื่นกันมาปานน้ำล้นแม่น้ำของนั่นละ” ข้าหลวงเนียมพูดด้วยน้ำเสียงเชิงดุสองนางข้าหลวงที่วิ่งมาอย่างไร้ความงาม ซึ่งอาจเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีแก่นางข้าหลวงอื่นๆ ได้

สองนางข้าหลวงพนมมือไหว้ข้าหลวงเนียม

“ข้าหลวงเนียมเจ้า อัญญาแม่เอิ้นหาเด้อเจ้า” ข้าหลวงยงรีบพูดด้วยเสียงหอบ

“อีหลีบ่” ข้าหลวงเนียมแอบแปลกใจ เพราะปกติแล้วช่วงหลายวันมานี้ อัญญาเจ้ากองแก้วมักจะตื่นเกือบเที่ยงมาโดยตลอด นางจึงพอที่จะมีเวลามาดูเหล่านางข้าหลวงฝึกหัด

“เจ้า” ข้าหลวงยงและข้าหลวงเหมือนขานตอบขึ้นพร้อมกัน

จากนั้นนางข้าหลวงเนียมก็รีบวิ่งล่วงหน้าไปเข้าเฝ้าอัญญาเจ้ากองแก้วที่โฮงนางทันที โดยไม่ทันจะได้บอกลาเหล่านางข้าหลวงฝึกหัดเลย ส่วนข้าหลวงยงและข้าหลวงเหมือนก็วิ่งตามกันไปติดๆ

นางข้าหลวงทั้งสามคนเป็นข้าหลวงคนสนิทของอัญญาเจ้ากองแก้ว คอยรับใช้อัญญาแม่มาตั้งแต่วัยเยาว์แล้ว นับว่าเป็นนางข้าหลวงที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาด้วยกันมาอย่างช้านาน

โดยเฉพาะข้าหลวงเนียมนั้นเคยรับใช้อดีตอัญญาแม่พระองค์ก่อน แถมยังเป็นพระนมของอัญญาเจ้ากองแก้วด้วย ความผูกพันและความสนิทสนมเลยเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจมากกว่านางข้าหลวงคนอื่นๆ

 

ณ โฮงนางของอัญญาเจ้ากองแก้ว

โฮงแห่งนี้สร้างขึ้นด้วยไม้ทั้งหลัง ขนาดใหญ่และโอ่โถง ภายในโฮงมีจำนวนห้องถึงสามห้อง มีฉัตรตรงกลาง 9 ยอด และมีหลังคาอ่อนช่วยโค้งงามทรงปีกนกปกคลุมต่ำซ้อนลดหลั่นกันลงมา 3 ชั้นที่โค้งยาวลงมา ลวดลายลงรักปิดทองอันงดงามของประตูและรูปปั้นอย่างวิจิตรงดงามตามแบบฉบับช่างหลวงของที่นี่

รอบๆ โฮงถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟที่ทำขึ้นจากเหล็กดัดและปลูกดอกไม้นานาชนิดตามฤดูกาล แม้ว่าโฮงที่นครหลวงแห่งนี้จะมีรูปแบบการก่อสร้างคล้ายๆ กัน แต่การแบ่งแยกตามชนชั้นของเชื้อพระวงศ์แล้ว ผู้ที่มียศสูงจะได้โฮงที่มีขนาดใหญ่ จนผู้มียศต่ำก็จะได้โฮงขนาดเล็กตามลำดับ ส่วนเหล่าข้าหลวงจะเป็นแม่หญิงและเหล่าราชองครักษ์นั้นจะเป็นพ่อชาย เฉกเช่นเดียวกัน ผู้ที่มียศสูงก็จะมีนางข้าหลวงและราชองครักษ์คอยติดตามมากถึงยี่สิบคนและลดหลั่นตามลำดับยศลงมา

สำหรับเหล่าราชองครักษ์ที่เข้ามาประจำการอยู่ภายในเขตพระราชวังหลวงนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีความเก่งกล้าสามารถที่ผ่านการฝึกปรือมาอย่างยาวนาน หากสามัญชนคนใดได้ผ่านการคัดเลือกเข้ามาเป็นราชองครักษ์ ย่อมเป็นเกียรติและศรีแก่วงศ์ตระกูลที่จะมีหน้ามีตาและมีข้าวปลาอาหารการกินอย่างสำราญใจกัน

เครื่องแต่งกายของราชองครักษ์จะสวมเสื้อคอกลมและแขนทรงกระบอกยาว นุ่งผ้าโจงกระเบนสีดำยาวคลุมเข่า สวมหมวกทรงสูงยอดแหลมวางทับบนผ้าขาวที่มัดหัวเก็บผมเอาไว้ก่อนรวบตึงสายเชือกมัดแน่นไว้ที่ใต้คางตัวเอง จากนั้นนำผ้าไหมแพรวาที่มีสีคล้ายกับเสื้อที่สวมใส่มามัดเอวให้แน่นขึ้นกว่าเดิม และชุดเกาะนั้นจะสวมใส่เมื่อยามออกศึกสงคราม ส่วนอาวุธที่ถือเอาไว้ติดตัวตลอดคือดาบด้ามยาว

การแบ่งลำดับชั้นยศของเหล่าราชองครักษ์สามารถสังเกตได้จากสีของเสื้อผู้ที่สวมใส่ เสื้อสีแดงเข้มเลือดหมูจะเป็นราชองครักษ์ชั้นสูงที่มักอยู่รายล้อมเจ้ามหาชีวิตและเหล่าเชื้อพระวงศ์ เสื้อสีเขียวขี้ม้าจะเป็นราชองครักษ์ชั้นกลางที่ต้องคอยเดินตามกลุ่มราชองครักษ์ชั้นสูงอีกที และเสื้อสีเหลืองอมเทาจะเป็นราชองครักษ์ชั้นต่ำสุดที่มักจะผลัดเปลี่ยนเวรยามกันเฝ้าเวรยาม เดินลาดตระเวนและคอยแบกพระวอหรือพระเสลี่ยง แต่ถ้ายากยามใดมีสงครามราชองครักษ์ทั้งหมดจะถูกเกณฑ์ออกไปรบโดยไม่มีชนชั้นมาแบ่งแยก

 

ข้าหลวงเนียม ข้าหลวงยง และข้าหลวงเหมือนค่อยๆ เดินเข้าไปเฝ้าอัญญาเจ้ากองแก้วที่ห้องบรรทมด้วยอาการสำรวม เรียบร้อยราวกับผ้าพับจีบไว้ ซึ่งไม่เหมือนก่อนหน้านี้พากันวิ่งตาตื่นกันมาอย่างสุดชีวิต

อัญญาเจ้ากองแก้วนั่งอยู่บนพระแท่นบรรทมเพียงคนเดียว เทียนจำนวนมากถูกจุดลายล้อมพระแท่นเอาไว้เพื่อให้ห้องนี้สว่างไสวอยู่ตลอดเวลาในยามกลางคืน ดูเหมือนว่าอัญญาเจ้าจะยังไม่ได้นอนทั้งคืน

“อัญญาแม่” ข้าหลวงเนียมเห็นใบหน้าของอัญญาเจ้ากองแก้วแล้วตกใจที่เห็นสภาพของอัญญาแม่นั้นคล้ายกับผู้ป่วยหนัก “อัญญาแม่ยังบ่ทันได้บรรทมทั้งคืนเลยบ่เจ้า”

“ข้าพะเจ้าบ่อยากหลับตา หากหลับยามใดกะต้องฝันเห็นแต่ผีเปรตอยู่ที่หนองน้ำนั่น” อัญญาเจ้ากองแก้วพูดด้วยน้ำเสียงโรยแรงก่อนเหลือบหันหน้าไปมองหน้าต่างห้อง “นี่เช้าแล้วบ่ ช่วยไปไขป่องเยี่ยมรับแสงที”

ข้าหลวงเนียมหันไปพยักหน้าส่งสัญญาณให้ข้าหลวงยงและข้าหลวงเหมือนไปช่วยกันเปิดหน้าต่างห้องทุกบาน ทันทีที่แสงพระอาทิตย์สาดเข้ามาปะทะใบหน้าของอัญญาเจ้ากองแก้ว มันทำให้อัญญาแม่รู้สึกว่าแสงสว่างนั่นมาช่วยผ่อนคลายและลดความหวาดกลัวนี้ลงไปได้บ้าง

นางข้าหลวงทั้งสามคนไม่ได้รู้สึกตกใจแต่อย่างใดเกี่ยวกับความฝันของอัญญาเจ้ากองแก้ว เพราะการฝันเห็นผีเปรตทุกคืนนั้น อัญญาแม่ได้เล่าให้ฟังมาโดยตลอด ซึ่งมันเป็นเรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่วกไปวนมา

“คืนนี้ให้กราบทูลเจ้ามหาชีวิตเสด็จมาบรรทมที่โฮงนางดีบ่เจ้า” ข้าหลวงเนียมแนะนำ เพราะวันใดที่สมเด็จเจ้ามหาชีวิตสินไซมานอนด้วย อัญญาเจ้ากองแก้วก็พอที่จะได้นอนอยู่บ้าง ถ้าหากคืนใดที่อัญญาแม่นอนคนเดียว เทียนก็จะถูกนำมาจุดกันเป็นจำนวนมากเพื่อลดความหวาดกลัวจากความฝันร้ายนี้

“ข้าพะเจ้าบ่อยากเฮ็ดให้ญาอ้ายต้องมาคิดหลายเพราะเรื่องนี้อีก แค่ราชกิจดูแลชาวเมืองกะหนักหลายแล้ว”

“แล้วสิเป็นคือนี้อีกนานบ่เจ้า ข้าน้อยเป็นห่วงพระวรกายของอัญญาแม่หลายเด้อเจ้า”

“มีทางเดียวที่ข้าพะเจ้าคิดได้ตอนนี้ ข้าพะเจ้าต้องไปเฝ้าพระแม่ห่มขาวตามที่ญาอ้ายทรงเคยแนะนำ พระแม่น่าสิมีวิธีช่วยได้”

อัญญาเจ้ากองแก้วเหมือนจะเชื่อมั่นในพระแม่ห่มขาวว่าจะช่วยแก้ฝันร้ายนี้ไปได้ ถึงแม้ว่าอัญญาแม่จะได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้พวกผีเปรตตามที่พระราชครูหลวงมั่นทรงแนะนำแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าผีพวกนั้นจะยังไม่ค่อยพอใจ ถึงได้ตามหลอกหลอนในความฝันตลอด

ข้าหลวงเนียมเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตกใจเมื่อได้ยินอัญญาเจ้ากองแก้วเอ่ยถึงพระแม่ห่มขาว ส่วนข้าหลวงยงและข้าหลวงเหมือนก็แอบตกใจไม่แพ้กัน แต่ไม่อาจจะพูดหรือแสดงความคิดเห็นใดๆ ออกมาได้

“แต่ว่าอัญญาเจ้าคำผุย เคยมีพระราชโองการบ่ให้พระราชวงศ์ติดต่อพระแม่ห่มขาวเด้อเจ้า” ข้าหลวงเนียมรีบท้าวความถึงคำสั่งในอดีตของอัญญาแม่พระองค์ก่อนที่เคยสั่งห้ามเอาไว้อย่างเคร่งครัด “เพราะสิ่งที่พระแม่ห่มขาวเคยเฮ็ดไว้นั้น มันร้ายแรงหลายเด้อเจ้า”

“แต่มันกะบ่เคยมีหลักฐานชัดเจนว่าพระแม่ห่มขาวเล่นคุณไสยใส่อัญญาพ่อหนิ” อัญญาเจ้ากองแก้วไม่เคยเชื่อว่าคุณไสยจะมาทำร้ายพระราชบิดาของอัญญาแม่ได้ แต่อัญญาแม่กลับเชื่อว่าการสวรรคตของเจ้ามหาชีวิตพระองค์ก่อนนั้น เป็นเพราะพระอาการป่วยด้วยโรคภัยเสียมากกว่า

“คุณไสย เวทมนตร์คาถา มันบ่มีหลักฐานเด้ออัญญาแม่ และข้าน้อยกะเกรงว่าพระแม่ห่มขาวอาจสิยังบ่ทันได้หายกริ้วกับเรื่องราวในอดีตเด้อเจ้า”

“ญาอ้ายทรงมีรับสั่งให้พระแม่กลับมาประทับที่โฮงเก่าแล้ว บุญคุณครั้งนี้พระแม่คงสิได้ซาบซึ้งในน้ำพระทัย คงคลายความกริ้วลงไปบ้างแล้วละ…อีกอย่างข้าพะเจ้านั้นกะอยากสิขอขมาแทนอัญญาแม่ที่เคยกระทำไว้กับพระแม่ เนียมกะอย่าได้มาห้ามข้าพะเจ้าเลย”

ไม่ว่ายังไงอัญญาเจ้ากองแก้วก็จะยืนยันว่าต้องไปพบพระแม่ห่มขาวให้ได้ในวันนี้ แม้ว่าข้าหลวงเนียมจะคัดค้านห้ามไว้ด้วยความเป็นห่วง ก็ไม่อาจจะหยุดยั้งความตั้งใจนี้ไปได้เลย

“เจ้า” ข้าหลวงเนียมมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลก่อนหันไปพูดกับข้าหลวงยงและข้าหลวงเหมือน “พวกเจ้าจงรีบไปเตรียมขบวนเสด็จ ญาแม่สิเสด็จไปที่โฮงเก่าท้ายวังในอีกหนึ่งชั่วยาม”

“ได้เจ้า” ข้าหลวงยงและข้าหลวงเหมือนขานรับขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่จะพากันรีบคลานเข่าถอยหลังเดินออกจากห้องนี้เพื่อรีบไปทำตามคำสั่ง

ข้าหลวงเนียมไปประคองอัญญาเจ้ากองแก้วลงมาจากพระแท่นบรรทมเพื่อเดินไปที่ห้องสรงน้ำที่อยู่ทางด้านหลังของโฮงนาง และหวังว่าสายน้ำที่ชำระร่างกาย จะทำให้อัญญาแม่มีร่างกายที่สดชื่นขึ้นมาบ้าง จากนั้นจึงค่อยแต่งหน้าให้อัญญาแม่กลับมางดงามดังเดิม โดยปกปิดรอยคล้ำรอบดวงตาไว้อย่างแนบเนียน

 

ข่าวสารการฝันร้ายเห็นผีเปรตของอัญญาเจ้ากองแก้วได้ถูกแพร่กระจายมาสามสี่วันแล้ว ยิ่งมีข้าหลวงข้ารับใช้มากเพียงใด ข่าวซุบซิบนินทาเจ้านายชั้นสูงก็ยิ่งขยายออกไปในวงกว้างอย่างรวดเร็ว เอาเป็นว่านับเวลานี้ไม่มีเหล่านางข้าหลวงและเหล่าราชองครักษ์คนใดในเขตพระราชวังหลวงไม่มีใครไม่รู้ แม้แต่เชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ ก็พลอยรู้จากข้ารับใช้พวกนี้ด้วยเหมือนกัน เนื่องจากไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้า

สำหรับการเข้าเฝ้าอัญญาแม่ ใช่ว่าใครจะอยากเข้าเฝ้าเพลาใดก็ได้ แต่ต้องได้รับการอนุญาตหรือมีการเรียกเข้าเฝ้าก่อน ถึงแม้จะเกิดมาเป็นเชื้อพระวงศ์ก็ตาม ธรรมเนียมการเฝ้านี้ต้องปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัด หากผู้ใดขัดขืนและทำให้อัญญาเจ้ากริ้วขึ้นมา ไม่อาจรับประกันได้เลยว่าอัญญาแม่จะตรัสคำใดออกมา เพราะคำพูดของอัญญาแม่นั้นมีศักดิ์และสิทธิ์เกือบเทียบเท่าเจ้ามหาชีวิตเลยก็ว่าได้

อัญญาเจ้ากองแก้วประทับในพระวอคนแบกหามที่มีหลังคาและผ้าม่านสีขาวบางๆ ล้อมรอบปิดไว้ทั้งสี่ด้าน ขบวนเสด็จที่มีเหล่านางข้าหลวงและเหล่าราชองครักษ์จำนวนมากขนาดนี้ ใครเดินผ่านมาเห็นเข้าก็ต้องทราบในทันทีว่าเป็นใคร ซึ่งต้องรีบหลบทางให้

ฉลองพระองค์ของอัญญาแม่และรวมถึงของเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่เป็นแม่หญิงนั้น อาจจะคลับคล้ายคลับคลากับพวกนางข้าหลวงอยู่บ้าง แต่ของชนชั้นสูงนั้นจะงดงามด้วยชุดผ้าไหมแพรวาเล่นแถบสีมีลวดลายและสวมเครื่องประดับทองตั้งแต่หัวจรดเท้า

ซึ่งการเสด็จในครั้งนี้เป็นการเสด็จส่วนพระองค์ นับว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีที่อัญญาเจ้ากองแก้วเสด็จไปโฮงเก่า ซึ่งตั้งอยู่ท้ายวังที่ไกลอยู่พอสมควร โดยปกติแล้วโฮงเก่านั้นเป็นที่รกร้าง ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ จนกระทั่งมีรับสั่งจากสมเด้จเจ้ามหาชีวิตสินไซให้ปรับปรุงขึ้นใหม่ แล้วได้อัญเชิญพระแม่ห่มขาวเข้ามาอาศัย หลังจากที่พระแม่นั้นต้องระหกระเหินนอกวังอยู่หลายปี

 

…พระแม่ห่มขาวในอดีตนั้นเคยเป็นพระสนมเอกของสมเด็จมหาชีวิตแสนสุริยราช เจ้ามหาชีวิตพระองค์ก่อน ผู้ซึ่งเป็นพระราชบิดาของอัญญาเจ้ากองแก้ว พระนามเดิมของพระแม่ห่มขาวนั้นมีพระนามว่า อัญญาเจ้าคำม่วน ภายหลังการเสด็จสวรรคตของเจ้ามหาชีวิต อัญญานางผู้นี้ได้ถูกให้ร้ายว่าเล่นคุณไสยใส่เจ้ามหาชีวิตจนเป็นเหตุถึงการสวรรคต จึงถูกเจ้าอัญญาเจ้าคำผุย ผู้เป็นพระราชมารดาของอัญญาเจ้ากองแก้ว ได้ขับไล่ออกนอกวังและปลดตำแหน่งลงแทนการประหารชีวิต เนื่องจากไม่มีหลักฐานชัดเจนเอาผิดได้

ภายหลังจากถูกปลด อัญญาเจ้าคำม่วนก็เคร่งครัดปฏิบัติธรรม นุ่งขาวห่มขาวอยู่บนทิวเขา จนชาวบ้านต่างศรัทธากันเป็นจำนวนมากหวังพึ่งพา เลยพากันเรียกขานตั้งฉายาให้ว่า ‘พระแม่ห่มขาว’

แต่ไม่นานนักชาวบ้านก็เปลี่ยนใจไม่ศรัทธา คอยทำร้ายพระแม่ห่มขาวและเกลียดชังโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้พระแม่ต้องเร่ร่อนซ่อนตัวอยู่อย่างยากลำบากเพียงลำพังมาโดยตลอดระยะเวลา 9 ปี

จนกระทั่งอัญญาเจ้าคำผุยสิ้นพระชนม์ไปแล้ว สมเด็จเจ้ามหาชีวิตสินไซจึงมีรับสั่งให้รีบออกตามหาและเชิญพระแม่ห่มขาวมาอาศัยที่โฮงเก่าท้ายวังแทน ถึงกระนั้นก็ไม่มีนางข้าหลวงคนใดกล้าไปรับใช้ เนื่องจากพากันกลัวว่าพระแม่จะเล่นคุณไสยใส่ แต่พระแม่ก็ไม่ได้ต้องการนางข้าหลวงมารับใช้อยู่แล้ว เนื่องจากต้องการปฏิบัติธรรมเงียบๆ ถือศีล ไม่กินเนื้อสัตว์และไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวาย ขอแค่ปลอดภัยจากการไม่ถูกทำร้ายก็นับว่ายังมีบุญบารมี…

 

โฮงเก่าท้ายวังนั้นช่างร่มรื่นไปด้วยหมู่มวลดอกไม้นานาพรรณ บริเวณโดยรอบสะอาดสะอ้านจนแทบไม่น่าเชื่อเลยว่านี่เป็นการดูแลรักษาเพียงลำพังผู้เดียว ด้านหลังโฮงเก่ายังเต็มไปด้วยแปลงผักหลากชนิดที่สามารถเก็บกินได้ทุกเมื่อ

พระแม่ห่มขาวนั้นมีรูปร่างเพียวเล็กได้สัดส่วน นุ่งห่มด้วยชุดขาวทั้งตัวและมัดมวยผมรวบเก็บไว้ ขณะนี้พระแม่เหมือนรู้ล่วงหน้าแล้วว่าอัญญาเจ้ากองแก้วกำลังเสด็จมา จึงได้เตรียมช่อดอกพะยอมออกมายืนต้อนรับที่หน้าโฮงเก่า

ครั้นขบวนเสด็จมาถึง อัญญาเจ้ากองแก้วมีรับสั่งให้ทุกคนรออยู่ที่ฟากสะพานฝั่งนี้ จากนั้นอัญญาแม่ก็เสด็จข้ามสะพานเดินตรงไปไปพบพระแม่ห่มขาวเพียงคนเดียว ถึงแม้ว่าข้าหลวงเนียมจะอดเป็นห่วงไม่ได้และอยากจะตามเสด็จไป ด้วยรับสั่งห้ามมาแล้ว จึงไม่อาจขัดรับสั่งได้

ความรู้สึกของอัญญาเจ้ากองแก้วที่มองไปยังพระแม่ห่มขาว ก็ไม่ต่างอะไรกับคนอื่นๆ ที่เห็นเพียงหญิงวัยกลางคนที่ดูมีจิตใจอ่อนโยนและเฝ้ารอบรรดาเชื้อพระวงศ์แวะมาเยี่ยมเยียนบ้าง

รอยยิ้มของพระแม่ห่มขาวเหมือนสื่อให้รู้ว่า พระแม่นั้นรอคอยเวลานี้ที่จะได้พบกับอัญญาเจ้ากองแก้วมานานเหลือเกิน แล้ววันนี้ก็เป็นจริงที่จะได้ร่วมพูดคุยกันอย่างที่ตั้งใจเอาไว้อยู่นาน

“ข้าพะเจ้ารอเฝ้าอัญญาแม่อยู่นานแล้วเจ้า” พระแม่ห่มขาวพูดทักทายพร้อมกับรอยยิ้มอันแสนหวานก่อนพนมมือขึ้นไหว้พร้อมกับยื่นช่อดอกพะยอมให้ “ความหอมจากดอกไม้นี้ ข้าพะเจ้ากะหวังว่าอัญญาแม่อาจทรงรู้สึกพระทัยชื่นขึ้นมาบ้างเด้อเจ้า”

อัญญาเจ้ากองแก้วยื่นมือไปรับช่อดอกพะยอม “ขอบใจหลายเจ้า อัญญาเจ้าคำม่วน”

“ข้าพะเจ้าบ่ได้ยินผู้ใดตรัสฮอดนามนี้มานานหลายแล้ว” พระแม่ห่มขาวใช้มือซ้ายไปจับข้อแขนขวาของอัญญาเจ้ากองแก้ว “มื้อนี้ญาแม่เสด็จมาไกลฮอดนี่ คือสิมีเรื่องอยากหารือกับข้าพะเจ้า แม่นอยู่บ่เจ้า”

“แม่นแล้วเจ้า” อัญญาเจ้ากองแก้วพยักหน้าและแอบแปลกใจกับการกระทำของพระแม่ที่แลดูไม่โกรธไม่เกลียดตนบ้างเลยหรือ เพราะตนนั้นเป็นถึงพระราชบุตรีของผู้ที่สั่งปลดและขับไล่ออกจากวัง

 

อัญญาเจ้ากองแก้วประคองพระแม่ห่มขาวเดินไปตามทุ่งดอกไม้พุ่มเตี้ยจำนวนมาก เห็นแล้วสบายตาและน่าเดินเล่นมากเหลือเกิน แถมบรรยากาศในยามเช้าของวันนี้ก็แสนจะเย็นสบาย การสนทนาของทั้งสองจึงพูดไปเดินไปอย่างอิ่มเอมหัวใจ ราวกับว่าความทุกข์ทั้งหลายในใจนั้นได้ลืมไปแล้วจนหมดสิ้น

“บั้นปลายชีวิตของข้าพะเจ้าก่อนสิตายจาก ข้าพะเจ้ากะอยากสิตอบแทนพระคุณอันล้นเกล้าแก่เจ้ามหาชีวิต” พระแม่ห่มขาวพูดไปยิ้มไป “หากบ่ได้เจ้ามหาชีวิตช่วยไว้ ป่านนี้ข้าพะเจ้า คงสิได้อยู่กลางป่านั่นจนเสียชีวิตแล้วเด้อเจ้า” หันหน้าไปส่งรอยยิ้มให้อัญญาเจ้ากองแก้วด้วยความจริงใจ “ข้าพะเจ้าแค่อยากตอบแทน กะเลยได้จัดสวนดอกไม้นี้ไว้ ยามใดที่เจ้ามหาชีวิตทรงเมื่อยล้าจากการทรงงาน ข้าพะเจ้ากะหวังว่าอัญญาแม่กับเจ้ามหาชีวิต สิเสด็จมาผ่อนคลายพระทัยบ้างที่สวนดอกไม้นี้เด้อเจ้า”

“ได้เจ้า ข้าพะเจ้าขอสัญญา” อัญญาเจ้ากองแก้วพยักหน้าเพื่อยืนยันว่าจะทำตามในสิ่งที่ขอ

“ขอบพระทัยอัญญาแม่หลายเด้อ ที่ทรงยอมเฮ็ดตามคำขอของข้าพะเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”

อัญญาเจ้ากองแก้วเผลอยิ้มออกมา นับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้พูดคุยกันอย่างเปิดใจ แล้วรู้สึกได้ถึงความจริงใจจากภายใน ไม่นานนักอัญญาแม่เริ่มได้สติว่ามาที่นี่ด้วยเรื่องอะไร ก่อนที่จะรีบเปลี่ยนประเด็นบทสนทนา  “เรื่องที่โฮงเก่าพอแค่นี้ก่อน มื้อนี้ข้าพะเจ้ามีเรื่องที่อยากสิขอขมาพระแม่”

พระแม่ห่มขาวหยุดเดินและหันหน้าขึ้นไปมองแววตาของอัญญาเจ้ากองแก้ว “อัญญาแม่สุบินมาจักคืนแล้ว ผีเปรตพวกนั่นมันโลภหลาย อยากได้แต่ส่วนบุญหลายกะเลยสุบินอยู่หลายคืนแล้วแม่นอยู่บ่เจ้า”

อัญญาเจ้ากองแก้วรู้สึกแปลกใจว่าพระแม่ห่มขาวรู้ได้อย่างไรว่าตนกำลังเผชิญอยู่กับอะไรในทุกค่ำคืน “แม่นแล้วเจ้า แล้วพระแม่ฮู้ได้แนวใด”

“ในฝันอัญญาแม่ สุบินฮอดอัญญาเจ้าคำผุยกลายเป็นผีเปรต…แม่นบ่เจ้า”

“แม่นแล้วเจ้า” อัญญาเจ้ากองแก้วหันไปมองพระแม่ห่มขาวด้วยความประหลาดใจมากขึ้นกว่าเดิม “อัญญาแม่ของข้าพะเจ้าเอาแต่ร้องโหยหวนอย่างทุกข์ทรมานให้ข้าพะเจ้าช่วย แต่ข้าพะเจ้าเองกะบ่ฮู้คือกันว่าสิช่วยญาแม่แนวใด แต่ในฝันบ่ได้มีแค่อัญญาแม่ผู้เดียวเด้อเจ้า ยังมีญาน้องกันเกรา ญาน้องก้อนคำและผู้อื่นนำที่บ่ฮู้ว่าเป็นไผ พากันยืนแช่อยู่ในหนองน้ำนั่นอย่างทุกข์ทรมาน”

พระแม่ห่มขาวพยักหน้าออกมาด้วยความเข้าใจถึงความทุกข์ที่เกิดจากความฝันร้ายนั่น ก่อนที่พระแม่จะคว้ามือของอัญญาเจ้ากองแก้วมากุมเอาไว้เพื่อให้กำลังใจ

“ข้าพะเจ้าเองกะแค่สงสัย ว่าเป็นย้อนหยัง หลายคนที่ได้สิ้นไปแล้ว ถึงได้ไปเป็นผีเปรตที่หนองนั่น” อัญญาเจ้ากองแก้วทอดถอนลมหายใจออกมา “แม้ว่าพระราชครูหลวงสิเคยบอกไว้ว่าผีเปรตนั้นกำลังชดใช้กรรมที่เคยเฮ็ดไว้ ข้าพะเจ้ากะเลยทึกทักเข้าใจเอาเองว่า อัญญาแม่ที่สิ้นพระชนม์ไปเป็นผีเปรตนั้น น่าสิเป็นกรรมที่เคยเฮ็ดไว้กับพระแม่” เงยหน้าสบตากับพระแม่ห่มขาวเพื่ออ้อนวอนขอโทษแทนอัญญาเจ้าคำผุย “มื้อนี้ข้าพะเจ้ากะเลยอยากสิมาขอขมาแทนอัญญาแม่ของข้าพะเจ้า…และขอให้พระแม่อโหสิกรรมกับเรื่องราวในอดีตด้วยเถิดเด้อเจ้า”

อัญญาเจ้ากองแก้วรู้ดีว่าคำสั่งการลงโทษอัญญาเจ้าคำม่วนของอัญญาเจ้าคำผุยเมื่อครั้งมีพระชนม์ชีพอยู่นั้น เป็นการตัดสินใจด้วยอารมณ์ร้อนและไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย อาจเนื่องด้วยทั้งสองพระองค์เคยมีปากเสียงกันและไม่ชอบหน้ากันมาก่อน ด้วยอำนาจบารมีที่มีอยู่มากกว่า จึงไม่มีใครกล้าขัดแย้งกับคำตัดสินนั่น นับว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพระราชวงศ์ที่มีการสั่งปลดอัญญาเจ้าคำม่วนให้ไปเป็นสามัญชน ต้องไปใช้ชีวิตอยู่นอกวังเพียงลำพังคนเดียวด้วยข้อกล่าวหาว่าเล่นคุณไสยใส่เจ้ามหาชีวิตพระองค์ก่อนจนสวรรคต

“ด้วยสิ่งที่อัญญาเจ้าคำผุยทรงเฮ็ดต่อข้าพะเจ้านั้น เป็นย้อนผลกรรมของข้าพะเจ้าเอง ชาตินี้ได้ชดใช้แล้วกะถือว่าโชคดีหลายเจ้า อีกอย่างข้าพะเจ้าได้อโหสิกรรมให้ไปนานแล้ว แต่สิ่งที่เฮ็ดให้อัญญาแม่สิ้นพระชนม์ไปเป็นผีเปรตนั้น เป็นย้อนกรรมอื่น”

“กรรมอื่น” อัญญาแม่เกิดความสงสัยขึ้นมาทันที ว่ามันคือกรรมอันใดล่ะที่มาทำให้อัญญาเจ้าคำผุยสิ้นพระชนม์ไปเป็นผีเปรตที่หนองนามน

“แม่นแล้วเจ้า มื้อนี้ข้าพะเจ้าสิเฮ็ดให้อัญญาแม่ได้ฮู้เรื่องราวทั้งหมดในอดีตนั่นเอง ข้าพะเจ้าขอให้อัญญาแม่จงหลับพระเนตรลงเถิด แล้วความจริงทุกอย่างสิปรากฏเผยออกมา จากนั้นอัญญาแม่กะสิบ่ต้องเผชิญกับสุบินอันนั่นอีกเลยเจ้า”

แม้ว่าอัญญาเจ้ากองแก้วไม่ค่อยเข้าใจกับสิ่งที่พระแม่ห่มขาวบอกให้ทำ เพราะเพียงแค่หลับตาแล้วจะได้รู้ต้นเหตุในอดีตได้อย่างงั้นหรือ และมันก็ดูไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลเท่าไรนัก แต่อัญญาเจ้าก็ลองทำตามที่พระแม่บอกไปก่อน และแล้วเรื่องราวทุกอย่างในอดีตกลับปรากฏขึ้นมาในแววตาของอัญญาเจ้าในทันที ซึ่งมีทั้งในส่วนที่เคยรับรู้มาก่อนและยังไม่เคยรับรู้มาก่อนเลยอย่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก

 



Don`t copy text!