อัญญาเจ้า บทที่ 4 : อัญญาเจ้าคำม่วน

อัญญาเจ้า บทที่ 4 : อัญญาเจ้าคำม่วน

โดย : ทศพล

Loading

อัญญาเจ้า โดย ทศพล นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาจะพาทุกคนไปพบกับเล่ห์เหลี่ยม คุณไสย และมารยาสารพัดที่หญิงสาวมากมายใช้ช่วงชิงตำแหน่งอัญญาเจ้า…ตำแหน่งที่สตรีทุกคนในอาณาจักรใฝ่ฝันถึง พวกเธอรู้เพียงว่า กว่าจะได้เป็นอัญญาเจ้านั้นไม่ง่าย แต่เธอหาไม่รู้ว่าการดำรงตำแหน่งอัญญาเจ้านั้นกลับยากกว่า…

ตะวันลับขอบฟ้าลง แสงสว่างของนครหลวงศรีโคตรกลับสว่างไสวไปด้วยแสงของคบเพลิงเรียงรายตามจุดต่างๆ ส่วนเหล่าราชองครักษ์ได้เวลาผลัดเปลี่ยนเวรยามในการปฏิบัติหน้าที่กันอย่างเป็นระเบียบ

อัญญาเจ้าคำม่วนเอาผ้าคลุมไหล่สีดำมาคลุมศีรษะไว้ อัญญานางกำลังเดินตามข้าหลวงอุลัยอยู่ทางด้านหลังอยู่ห่างๆ เพื่อแอบหนีออกนอกเขตพระราชวังหลวงในยามวิกาล ทั้งสองคนเดินเลียบไปตามกำแพงท้ายวังเพื่อตรงไปที่ประตูผีที่ใครๆ ต่างไม่กล้าเข้าใกล้มันมากนักในช่วงดึกดื่นเช่นนี้ เพราะประตูแห่งนี้เขามีไว้เพื่อเอาศพคนในวังออกไปเผาหรือฝังอยู่นอกวังเป็นประจำ

“ถึงแล้วเจ้า ประตูผี” ข้าหลวงอุลัยชี้นิ้วไปที่ประตู “แถวนี้ พวกราชองครักษ์บ่ค่อยมาเด้อเจ้า”

สีหน้าของอัญญาเจ้าคำม่วนมองประตูบานนั้นก็รู้สึกได้ถึงความสะพรึงกลัวอยู่หน่อยๆ “แล้วสิออกไปยังไงล่ะอุลัย ประตูนั่นคือต้องใช้ลูกกุญแจเปิด”

ข้าหลวงอุลัยดึงลูกกุญแจออกมาจากผ้าซิ่น “นี่เจ้า พอดีข้าน้อยแอบมีไว้หนึ่งดอก คอยเอาไว้หลบหนีออกนอกวังเจ้า…รีบเสด็จกันก่อนเถอะเจ้า เดี่ยวพ่อหมอสิรอนานเจ้า”

อัญญาเจ้าคำม่วนพยักหน้ารับก่อนค่อยๆ รีบเดินตามหลังข้าหลวงอุลัยไปและคอยดูหลังให้ด้วย เผื่อมีใครแอบผ่านมาจะได้หลบซ่อนทัน

ทันทีที่ข้าหลวงอุลัยปลดล็อกกลอนประตูได้ ทั้งสองคนก็พากันปิดประตูไว้ตามเดิมก่อนรีบพากันเดินตรงไปตามทางเดินมืดๆ ต่อไปจนกว่าจะถึงเฮือนของหมอธรรมแสง ซึ่งข้าหลวงอุลัยได้แอบออกมานัดหมายไว้ก่อนแล้วเมื่อช่วงบ่าย

ด้วยความต้องการที่จะให้สมเด็จเจ้ามหาชีวิตแสนสุริยราชได้หายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว นี่เป็นทางออกเดียวที่อัญญาเจ้าคำม่วนมีความจำเป็นต้องขอลองดู ในเมื่อหมอหลวงบอกไม่อาจรักษาพระอาการได้แล้ว ถึงแม้จะผิดกฎของพระราชวงศ์ที่ห้ามคนในเขตพระราชวังหลวงเอาเข้ามาอย่างเด็ดขาด เพราะเห็นว่ามันเป็นของต่ำและทำให้เกิดความลุ่มหลงงมงาย เช่นนั้นเหล่าพระราชวงศ์ต้องเป็นแบบอย่างให้กับราษฎร โดยให้เชื่อมั่นในหลักธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด

เฮือนของหมอธรรมแสงอยู่ตรงชานภูเขาที่ห่างจากหมู่บ้านออกมาไกลหน่อย ตัวเฮือนสร้างขึ้นด้วยไม้ไผ่ทั้งหลังที่ยกสูงจากพื้นดินเพียงหัวเข่าเท่านั้น หรือจะเรียกว่ากระท่อมน้อยริมภูเขาก็ได้

แสงไฟจากคบเพลิงที่บันไดเฮือนเปล่งแสงเหลืองนวลเป็นสัญญาณว่าเจ้าของเฮือนยังไม่ได้นอน

“ฮอดแล้วญาเจ้า เฮือนหมอธรรมแสง ท่านอยู่ไกลแหน่เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายจากชาวบ้านเจ้า” ข้าหลวงอุลัยพูดจบกะจะเดินนำไปให้ใกล้ตัวเฮือนสักหน่อยค่อยตะโกนเรียก แต่ถูกอัญญาเจ้าคำม่วนคว้ามือเอาไว้เสียก่อน

“มีหยังเจ้า พ่อหมอรออยู่เด้อเจ้า ปกติแล้วพ่อหมอบ่ค่อยรับแขกยามดึกคือนี้”

“เจ้ามั่นใจเด้อว่าพ่อหมอนี้สิช่วยเจ้ามหาชีวิตทรงฟื้นพระวรกายขึ้นมาได้” อัญญาเจ้าคำม่วนไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไรและแอบเป็นกังวลมาก ด้วยอัญญานางเองไม่เคยข้องเกี่ยวกับคุณไสยพวกนี้มาก่อน

“เอาคอข้าน้อยเป็นประกันเลยเจ้า ถ้าพ่อหมอบ่เก่งอีหลี คงสิอยู่กับพวกชาวบ้านแถบนี้บ่ได้นานหรอกเด้อเจ้า” สีหน้าท่าทางของข้าหลวงอุลัยดูจริงจังและมั่นใจเกินร้อยมาก “รีบเสด็จเถอะเจ้า ขืนชักช้าแล้วพ่อหมอบ่ช่วย ข้าน้อยกะหมดหนทางช่วยแล้วเด้อเจ้า”

“คนในวังบ่มีไผฮู้อีหลีเด้อ”

ข้าหลวงอุลัยถอนลมหายใจออกมาหนึ่งที “อัญญานาง คุณไสยมันเป็นสิ่งที่ไผกะมองบ่เห็น แต่ถ้าหากมันช่วยให้เจ้ามหาชีวิตทรงฟื้นขึ้นมาได้ ตำแหน่งอัญญานางกะสิยังมั่นคงอยู่บ่แม่นบ่เจ้า หลังจากนี้ญาเจ้ากะต้องมีเจ้าราชบุตรให้ได้ พวกขุนนางถึงสิกล้าเข้ามาหนุนพระราชอำนาจของอัญญานางให้มั่นคงขึ้นหลายกว่าเก่าเด้อเจ้า”

“กะแม่นอย่างที่เจ้าพูดมา แต่มื้ออื่นทางวังสิแต่งตั้งท้าวสินไซขึ้นเป็นเจ้าอุปฮาตแล้ว…”

“อัญญานาง ต่อให้ท้าวสินไซขึ้นเป็นเจ้าอุปฮาต แต่ถ้าอัญญานางมีเจ้าราชบุตร อำนาจทางฝั่งของอัญญาเจ้าคำผุยกะบ่มีความหมายอีกต่อไป รีบเสด็จไปพบพ่อหมอก่อนเถอะเด้ออัญญานาง”

“งั้นเจ้ารีบเดินนำหน้าข้าพะเจ้าไปได้เลย”

ไหนๆ ก็ไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว เพื่อความอยู่รอด อัญญาเจ้าคำม่วนต้องแหกกฎของพระราชวงศ์นี้ให้สำเร็จ และภายในใจของอัญญานางนั้นได้แต่ภาวนาขอให้ทุกอย่างราบรื่นและเป็นไปตามที่ตั้งใจเอาไว้

 

ภายในเฮือนของหมอธรรมแสงมีโต๊ะหมู่บูชาที่ซ้อนกันขึ้นเป็นสองชั้น ตรงกลางมีพระพุทธรูปที่แกะสลักขึ้นด้วยไม้ ถัดลงมาเป็นขันหมากเบ็งหนึ่งคู่และขันกระหย่องสองอันที่มีเครื่องรางของขลังวางเต็มอยู่ในนั้น ด้ายขาวหรือสายสิญจน์ผูกโยงไว้ระเกะระกะระหว่างพระพุทธรูปและขันกระหย่อง ด้านล่างโต๊ะหมู่บูชาค่อยเป็นกระถางไม้ไผ่ยาวเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ใส่ทรายลงไปเพื่อที่จะปักธูปและเทียนไขได้

แสงเทียนจากระถางไม้ไผ่เปล่งประกายให้เห็นหมอธรรมแสงนั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้าโต๊ะหมู่บูชา เขามีรูปร่างผอมสูง ผมขาวโพลนไปทั้งหัว แถมยังหนวดเครามีสีขาวเกือบเต็มใบหน้าแล้ว ในคอของเขาคล้องลูกประคำเม็ดขนาดกลางยาวคล้ายกับสร้อยสังวาลและนุ่งห่มด้วยชุดขาวทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่แววตาของเขากลับรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาต่อผู้คนที่แวะเวียนมาขอร้องให้ช่วยเหลือ

ข้าหลวงอุลัยพาอัญญาเจ้าคำม่วนมานั่งพับเพียบแล้วก้มลงกราบหมอธรรมแสงคล้ายกับกราบพระพุทธรูปหรือพระสงฆ์

“พ่อหมอเจ้า หมู่ของข้าน้อยที่ต้องการให้ช่วยเจ้า” ข้าหลวงอุลัยพูดขึ้นพร้อมกับพนมมือไหว้ที่กลางหน้าอก โดยอ้างโกหกว่าอัญญาเจ้าคำม่วนเป็นเพื่อนสนิท

หมอธรรมแสงหันขึ้นมองใบหน้าของอัญญาเจ้าคำม่วนชัดๆ หลังจากที่อัญญานางเอาผ้าคลุมหัวลง เขาเพ่งมองเข้าไปในแววตาของอัญญานางราวกับเห็นหรือรับรู้อะไรบางอย่างเข้า จนบางทีอัญญนางก็แอบกลัวพ่อหมออยู่หน่อยๆ

“โชคชะตาก้าวกระโดดเร็วเกินไป มันอาจสิลื่นล้มลงบ้าง เจ็บหลายเจ็บน้อย กะขึ้นอยู่กับผลบุญที่ได้เฮ็ดไว้เด้อ” หมอธรรมแสงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง

“หมายความว่าหยังพ่อหมอ” อัญญาเจ้าคำม่วนเริ่มสนใจต่อคำพูดของหมอธรรมแสงก่อนยกมือขึ้นพนมไว้กลางหน้าอก “ช่วยอธิบายให้ข้าน้อยกระจ่างใจแหน่เด้อเจ้า”

“อีอุลัย” หมอธรรมแสงหันไปพูดกับข้าหลวงอุลัย “นี่มึงกล้านำอัญญานางมาฮอดนี้เลยบ่วะ ไสมึงบอกกูว่าเป็นแค่หมู่สนิท”

ข้าหลวงอุลัยเอามือปิดปากตัวเองด้วยความประหลาดใจ “พ่อหมอฮู้ได้แนวใด”

อัญญาเจ้าคำม่วนถึงกลับแสดงสีหน้าท่าทางตกใจ เหตุใดหมอธรรมแสงถึงล่วงรู้ว่าตนเป็นอัญญานางของสมเด็จเจ้ามหาชีวิตแสนสุริยราช “แม่นแล้ว ข้าพะเจ้าอุตส่าห์กำชับอุลัยว่าห้ามบอกสถานะของข้าพะเจ้า”

ข้าหลวงอุลัยรีบหมอบกราบอัญญาเจ้าคำม่วนลงไปด้วยความหวาดกลัว “ทูลญาเจ้า ข้าน้อยบ่เคยบอกตัวตนอีหลีแก่พ่อหมอเลยเด้อเจ้า”

“อย่าโทษอีอุลัยเลยอัญญานาง บ่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่ข้าบ่รู้หรอก เพียงแต่สิพูดหรือบ่พูดเท่านั้น”

“ถ้าอย่างงั้น พ่อหมอคงสิฮู้จุดประสงค์ของข้าพะเจ้าแล้ว” อัญญาเจ้าคำม่วนต้องการทดสอบว่าเป็นผู้มีญาณทิพย์รู้จริงหรือไม่

แววตาแห่งความมั่นใจของหมอธรรมแสงจ้องไปที่อัญญาเจ้าคำม่วน “ทางวังคงยังบ่แจ้งข่าวให้ชาวบ้านฮู้แม่นบ่ ว่าเจ้ามหาชีวิตพระประชวรหนัก แล้วที่อัญญานางมาหาข้านี้ ข้าฮู้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้วที่อีอุลัยที่ติดต่อมา อัญญานางกะแค่อยากให้ช่วยรักษาเจ้ามหาชีวิต แต่สิ่งที่อัญญานางสิต้องเฮ็ดนี้แล้ว มันเสี่ยงหลายเด้อ”

“แม่นแล้วเจ้า แค่ข้าพะเจ้าแอบออกมาพบพ่อหมอนี้กะเสี่ยงหลายเด้อเจ้า” อัญญาเจ้าคำม่วนพอได้ฟังคำพูดของหมอธรรมแสงแล้วกลับรู้สึกมั่นใจและเชื่อใจขึ้นมาบ้าง

“ทำถูกแล้ว ข้าบ่ช่วยคนที่เอาแต่ฝากคำพูดมาเด้อ ถ้าบ่จำเป็นอีหลี แต่อัญญานางออกมาหาข้าด้วยตัวเอง กะทรงเฮ็ดถูกแล้วละ” หมอธรรมแสงยื่นมือไปหยิบเอากระดาษน้อยๆ ออกมาจากย่ามสีน้ำตาลที่วางอยู่ใกล้ๆ ยื่นให้อัญญาเจ้าคำม่วน “นี่เป็นบทสวดที่สิเฮ็ดให้เจ้ามหาชีวิตทรงฟื้น  อัญญานางเอาไปสวดข้างๆ เจ้ามหาชีวิตภายในคืนนี้เท่านั้น หากบ่สวดคืนนี้ มื้ออื่นเช้าเจ้ามหาชีวิตคงได้สวรรคตอย่างแน่นอน”

สายตาของข้าหลวงอุลัยเงยหน้าขึ้นไปมองกระดาษแผ่นนั้นอย่างมีเลศนัยอยู่ภายในใจ

“ขอบใจพ่อหมอหลายเด้อเจ้า” อัญญาเจ้าคำม่วนคว้าเอากระดาษแผ่นนั้นมาถือเก็บไว้ “แค่สวดเฉยๆ บ่เจ้า บ่ต้องมีสิ่งของหยัง มาประกอบพิธีเลยบ่เจ้า”

หมอธรรมแสงพยักหน้า “แค่สวดให้ทันและจบประโยคกะพอแล้ว อย่าให้ไผมารบกวนการสวดนี้เป็นอันขาด ย้อนหากสวดบ่จบตามที่เขียนเอาไว้แล้วละก็ สิ่งที่อัญญานางประสงค์ไว้กะสิบ่เกิดขึ้นเด้อ”

อัญญาเจ้าคำม่วนครุ่นคิดอย่างหนักต่อคำพูดของหมอธรรมแสง “ขอบใจพ่อหมอหลายเจ้า ข้าพะเจ้าเข้าใจแล้ว งั้นข้าพะเจ้าคงต้องรีบกลับวังแล้วเด้อเจ้า” หันไปหาข้าหลวงอุลัยที่หมอบตัวอยู่ “รีบลาพ่อหมอกันเถาะ ข้าพะเจ้าต้องกลับไปที่โฮงหลวง”

“เจ้า” ข้าหลวงอุลัยขานตอบก่อนลุกขึ้นมามานั่งเป็นปกติ

อัญญาเจ้าคำม่วนและข้าหลวงอุลัยพากันก้มกราบหมอธรรมแสงแล้วรีบพากันเดินทางกลับเข้าวังไปให้เร็วที่สุดและระมัดระวังตัวไม่ให้ใครเห็นอย่างเด็ดขาด ตอนนี้มีเวลาไม่มาก เพราะอีกประเดี๋ยวก็จะเช้าแล้ว หากชักช้าและสวดไม่ทันกาล ทุกอย่างคงจบลงไปเมื่อสมเด็จเจ้ามหาชีวิตแสนสุริยราชเสด็จสวรรคตลง แต่ถ้าหากโชคชะตายังเข้าข้างอยู่และเป็นไปตามที่หมอธรรมแสงบอก ความปรารถนาทั้งหมดนั้นก็จะยังคงอยู่ ตราบใดที่เจ้ามหาชีวิตพระองค์นี้ยังคงมีพระชนม์ชีพอยู่นั่นเอง

หมอธรรมแสงหันตัวเขาไปก้มกราบพระพุทธรูป ความคิดที่สื่อออกมาผ่านแววตาของเขากำลังบอกอะไรบางอย่างที่ไม่อาจทราบได้เลยว่าเขานั้นคิดอะไรอยู่กันแน่ แค่ท่องบทสวดแล้วคนจะหายจากอาการป่วยได้นั้น มันมีความเป็นไปได้จริงๆ หรือว่านี่เป็นเพียงแผนการของเขาที่ได้วางเอาไว้เพื่อจุดประสงค์อื่น

 

ดึกดื่นคืนนี้ช่างแปลกประหลาด เหตุใดเหล่าข้าหลวงและราชองครักษ์ไม่พากันยืนอยู่ประจำจุดต่างๆ รอบโฮงหลวงเลยสักคน อัญญาเจ้าคำม่วนจึงรู้สึกถึงลางสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีเลย

“อัญญานาง รีบเสด็จเข้าไปในโฮงให้เร็วเถาะ เดี่ยวข้าน้อยสิคอยดูต้นทางไว้ให้เด้อเจ้า”

อัญญาเจ้าคำม่วนหันหลังไปพูดกับข้าหลวงอุลัย “เกิดเหตุหยังขึ้น เป็นหยังบ่มีไผเฝ้าหน้าโฮงหลวงเลยสักคน”

“เวลาดึกดื่น พวกนั้นกะชอบแอบไปงีบหลับกันเด้อเจ้า อัญญานางอย่าได้ทรงวิตกกังวลไปเลยเจ้า”

“ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าว่ามา…”

“รีบเสด็จเข้าไปสวดก่อนเถิดเจ้า เดี่ยวฟ้าสิแจ้งสาก่อนเด้ออัญญานาง” ข้าหลวงอุลัยรีบพูดสวนขึ้น

อาจจะรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมารบกวนจิตใจอยู่บ้าง แต่ว่าคืนนี้อัญญาเจ้าคำม่วนต้องท่องบทสวดให้จบ เผื่อจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นมาในค่ำคืนนี้ “ได้ งั้นเจ้าเฝ้าที่หน้าโฮงนี้ไว้ ถ้าหากมีผู้ใดเข้ามา ให้รีบวิ่งเข้าไปแจ้งข้าพะเจ้า เข้าใจบ่”

“ได้เจ้า” ข้าหลวงอุลัยขานรับออกมาด้วยรอยยิ้ม

หลังจากรับสั่งเสร็จ อัญญาเจ้าคำม่วนก็รีบเดินเข้าไปในโฮงหลวงทันที สายตาของข้าหลวงอุลัยเหลือบตาหันมองอัญญาเจ้าจากทางด้านหลัง แล้วใบหน้าของนางล้วนเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างคนเจ้าเล่ห์ก่อนที่จะปิดประตูโฮงไว้ตามเดิม

 

โคมไฟส่องแสงตามมุมห้องต่างๆ ของโฮงหลวง ขณะนี้อัญญาเจ้าคำม่วนกำลังถือแผ่นบทสวดไว้ในมือซ้าย อัญญาเจ้ายืนอยู่ที่หน้าบานประตูห้องพระบรรทมแล้วเกิดความรู้สึกหวาดกลัวเข้ามาในใจ เพราะไม่รู้ว่าจะก้าวต่อไปหรือเดินหันหลังกลับดี ทำไมชีวิตคนเราถึงมีตัวเลือกในการที่จะใช้ชีวิตนี้น้อยนักนะ

สักพักคำพูดของหมอธรรมแสงก็โผล่เข้ามาในความคิดของอัญญาเจ้าคำม่วน ‘อัญญานางเอาไปสวดข้างๆ เจ้ามหาชีวิตภายในคืนนี้เท่านั้น หากบ่สวดคืนนี้ มื้ออื่นเช้าเจ้ามหาชีวิตได้สวรรคตอย่างแน่นอน’ มันส่งผลให้อัญญานางตัดสินใจง่ายขึ้นก่อนที่จะผลักประตูเข้าไปด้วยความกล้าหาญ ทุกย่างก้าวที่เดินเข้าไปในห้องนี้แล้วเห็นสมเด็จเจ้ามหาแสนสุริยานอนหลับนิ่งอยู่บนพระแท่นบรรทม ความรู้สึกช่างเหมือนในวันวานที่อัญญานางจะมีหน้าที่ปลุกเจ้ามหาชีวิตให้ตื่นจากบรรทมในทุกๆ เช้า

อัญญาเจ้าคำม่วนประทับนั่งอยู่ข้างๆ แล้วหันไปมองใบหน้าของพระราชสวามี “ข้าพะเจ้าสิปลุกอัญญาพ่อให้ตื่นจากบรรทมเองเด้อเจ้า บ่ว่ายามนี้อัญญาพ่อสิอยู่แห่งหนใด ได้โปรดอัญญาพ่อจงเสด็จกลับมาหาข้าพะเจ้าด้วยเถิดเด้อเจ้า” จากนั้นอัญญานางก็รีบลงมาจากพระแท่นบรรทมเพื่อลงมานั่งพับเพียบให้เรียบร้อย

แผ่นกระดาษที่อยู่ในมือของอัญญาเจ้าคำม่วนถูกคลี่ออกมาก่อนพนมขึ้นสวดตามตัวอักษรที่หมอธรรมแสงได้เขียนไว้ให้ ตัวอักษรแปลกๆ ที่อยู่บนกระดาษนั้นช่างแตกต่างจากภาษาทั่วไป ถึงแม้ว่าจะอ่านออกและสวดตามได้ แต่ก็ไม่อาจที่จะรู้ความหมายของบทสวดนั้นได้เลยสักประโยค

เสียงบทสวดดังออกมาจากปากของอัญญาเจ้าคำม่วนด้วยทำนองเดียวกับบทสวดมนต์พระ แสงสีเหลืองทองปรากฏวนเวียนรอบๆ พระวรกายของสมเด็จเจ้ามหาชีวิตแสนสุริยราช ไม่นานนักนิ้วมือของเจ้ามหาชีวิตเริ่มขยับและยกแขนชูตั้งขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ได้เกิดขึ้นจริงแล้ว แต่อัญญานางก็ต้องรีบสวดให้จบบทให้เร็วที่สุด ก่อนที่ใครจะโผล่เข้ามาเห็นเข้า

เสียงบานประตูอีกด้านของห้องพระบรรทมถูกเปิดออก เผยให้เห็นอัญญาเจ้าคำผุยนั่งอยู่บนพระแท่นและรายล้อมไปด้วยเหล่านางข้าหลวงจำนวนมาก

ยังไม่ทันได้สวดจบ อัญญาเจ้าคำม่วนตกใจกับเสียงเปิดของบานประตูก่อนหันไปมองแล้วเห็นใครคนหนึ่ง

“อัญญาแม่” มือของอัญญานางสั่นระรัวจนกระดาษบทสวดร่วงหล่นลงสู่พื้น “เสด็จมาอยู่นี่ตั้งแต่ตอนใดกันเจ้า”

แขนของสมเด็จมหาชีวิตแสนสุริยราชที่ชูตั้งขึ้นนั้นก็พลันเหวี่ยงลงสู่ขอบพระแท่นบรรทมตามเดิม จากนั้นลมหายใจของเจ้ามหาชีวิตก็หมดสิ้นลงไปในทันที

“ราชองครักษ์ จับอีชั้นต่ำนี้ไปขังไว้ที่คุกหลวง มันบังอาจเล่นคุณไสยลอบปลงพระชนม์เจ้ามหาชีวิต” อัญญาเจ้าคำผุยเปล่งคำสั่งออกมาด้วยเสียงอันทรงพลัง

“บ่แม่น ข้าพะเจ้าบ่ได้เฮ็ดหยัง ข้าพะเจ้าบ่ผิดเด้อเจ้า” อัญญาเจ้าคำม่วนพูดไปพร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธไปทั้งน้ำตาว่าไม่ได้เป็นผู้ลอบปลงพระชนม์

จากนั้นเหล่าราชองครักษ์ก็พากันวิ่งเข้ามาจำนวนมากเพื่อคุมตัวอัญญาเจ้าคำม่วนไปที่คุกหลวงให้เร็วที่สุด ส่วนข้าหลวงอุลัยแอบหลบอยู่ไกลๆ ข้างนอกโฮง หล่อนยืนยิ้มจนแก้มปริเมื่อมองเห็นอัญญานางถูกเหล่าราชองครักษ์กระชากไปขังที่คุกหลวงเยี่ยงข้ารับใช้ เพื่อรอการไต่สวน

อัญญาเจ้าคำผุยเดินมาคว้ากระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาขย้ำ หลังจากที่อัญญาเจ้าคำม่วนได้ถูกจับออกไปนอกโฮงหลวงแล้ว จากนั้นอัญญาแม่ค่อยๆ เดินเข้าไปนั่งข้างพระศพของพระราชสวามี “ญาอ้ายเห็นหรือยัง มันเฮ็ดให้ญาอ้ายหลงมันย้อนมันชอบเล่นของต่ำๆ พรรณนี้ยังไงล่ะ” หันไปหาข้าหลวงเนียมที่หมอบกราบอยู่กับพื้น “มึงรีบไปแจ้งซาบัณฑิตให้รีบออกประกาศ เจ้ามหาชีวิตเสด็จสวรรคตแล้ว อัญญาเจ้าคำม่วน อัญญานางผู้นี้เล่นคุณไสยใส่เจ้ามหาชีวิต…จนสวรรคต”

“ได้เจ้า” ข้าหลวงเนียมขานรับก่อนรีบคลานเข่าออกจากห้องนี้ไป

ข้าหลวงคนอื่นๆ นั้นคงยังหมอบกราบเพื่อรอรับสั่งและไม่ค่อยเข้าใจสภาวะทางอารมณ์ของอัญญาเจ้าคำผุยเลย เมื่อพระราชสวามีตายไปทั้งคน แทนที่จะนั่งเสียใจหรือร้องไห้ฟูมฟายเหมือนคนอื่นๆ แต่อัญญาแม่กลับยิ้มกริ่มออกมาจนหลายคนต่างพากันสงสัยไปตามๆ กัน

‘ซาบัณฑิต’ เป็นอาลักษณ์หรือเจ้าพนักงานอ่านประกาศต่างๆ ทั้งการแช่งน้ำสาบาน อ่านพระราชโองการคำสั่งเจ้าเมืองหรือสารตราต่างเมือง ตลอดจนแต่งหนังสือตำราต่างๆ

 

ไม่นานนักเหล่าเชื้อพระวงศ์ต่างพากันเดินทางมาเคารพพระศพของสมเด็จเจ้ามหาชีวิตแสนสุริยราช ณ โฮงหลวง ซึ่งก่อนหน้านั้นเหล่านางข้าหลวงได้ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้ใหม่และห่มพระวรกายด้วยผ้าขาวตั้งแต่คอลงมาจรดเท้า เผยให้เห็นเพียงใบหน้าเท่านั้น จากนั้นนำฉากม่านขาวบางๆ มากั้นและจุดเตากำยานรอบพระศพเพื่อให้มีกลิ่นหอม

เหล่าพระราชวงศ์ต่างพากันนุ่งห่มด้วยชุดขาวทั้งตัวและไม่สวมเครื่องประดับแม้แต่ชิ้นเดียว นับว่าเป็นการถวายความเคารพให้แก่เจ้ามหาชีวิตผู้เสด็จสวรรคตเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งตอนนี้แต่ละพระองค์นั้นประทับนั่งพับเพียบอยู่บนเบาะรองนั่งเรียงตามลำดับบรรดาศักดิ์

“เห็นแล้วเบาะ บั้นปลายชีวิตของอัญญาพ่อต้องสวรรคตย้อนแม่หญิงนี้ผู้เดียว มันเลวยิ่งกว่าอสรพิษยิ่งนัก พวกที่มักทำตัวใสซื่อบริสุทธิ์ เวลามันเลวยามใด สิหยุดยั้งไว้กะบ่ทันกาลเสียแล้ว” อัญญาเจ้าคำผุยเหลียวหลังมามองดูอัญญาเจ้ากองแก้วที่ร้องไห้อย่างหนักหน่วงหัวใจอยู่ “อัญญาพ่อคือสิหมดกรรมแล้ว ที่เหลือต่อจากนี้แม่สิเป็นผู้จัดการมันเอง”

ท้าวสินไซแอบชำเลืองตามองไปที่ใบหน้าของอัญญาเจ้าคำผุย ในขณะที่อัญญาแม่กำลังประคับประคองอัญญาเจ้ากองแก้วเอาไว้อยู่นั้นจึงเกิดความสงสัยว่าสมเด็จเจ้ามหาชีวิตแสนสุริยราชเสด็จสวรรคตด้วยคุณไสยจริงๆ หรือ แต่ทำได้เพียงเก็บความสงสัยนี้เอาไว้ภายในใจก่อน

สักพักเสียงร้องไห้จากอัญญาเจ้าลำดวลดังขึ้นจนอัญญาเจ้าคำคูนต้องแกล้งร้องไห้ตามไปด้วย ท้าวแสนฤทธิ์และท้าวบุญสารต่างหันไปสบตากันก่อนพากันส่ายหน้าช้าๆ ที่ต้องเห็นภรรยาของตนเองแสดงบทบาทนางร้องได้อย่างแนบเนียน

ข่าวการเสด็จสวรรคตของสมเด็จเจ้ามหาแสนสุริยาได้ถูกแพร่หลายในวงกว้าง เหล่าข้าหลวงและราชองครักษ์ รวมถึงปวงชนล้วนพากันร้องไห้ออกมาอย่างเศร้าสลดใจที่เจ้ามหาชีวิตได้ด่วนจากไปอย่างไม่หวนกลับมา ทุกคนทั้งนครหลวงศรีโคตรต่างพากันแสดงความไว้อาลัยยิ่งด้วยการนุ่งห่มชุดขาวเป็นเวลา 3 วันตามธรรมเนียมราชประเพณีที่ได้สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน

การสูญเสียครั้งนี้ส่งผลให้มีการยกเลิกการแต่งตั้งเจ้าอุปฮาตที่กำหนดไว้ โดยเหล่าขุนนางต่างพร้อมใจกันกราบทูลเชิญอัญญาเจ้าคำผุยขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนไปก่อนจนกว่าจะมีการแต่งตั้งเจ้ามหาชีวิตพระองค์ใหม่ในภายหลัง

ส่วนคดีความของอัญญาเจ้าคำม่วนที่ถูกกล่าวหาอยู่นั้น ฝ่ายเมืองแสนจะไต่สวนในไม่ช้า ส่งผลให้เหล่าพระญาติทั้งหมดของอัญญานางและเหล่าบรรดาขุนนางที่เคยสนับสนุนก็ต้องมาร่วมชะตากรรมรับผิดไปด้วย เนื่องจากคดีการลอบปลงพระชนม์เจ้ามหาชีวิตถือว่าเป็นคดีร้ายแรงที่ต้องประหารถึง 7 ชั่วโคตร

 

ช่วงดึกก่อนวันประหารชีวิต

อัญญาเจ้าคำผุยมีความประสงค์จะขอพบอัญญาเจ้าคำม่วนที่คุกหลวง ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ของพระราชวังหลวง อัญญาแม่มีรับสั่งให้เหล่านางข้าหลวงและราชองครักษ์รอกันด้านหน้าคุกหลวง โดยอัญญาแม่จะเสด็จเข้าไปด้านในเพียงลำพังผู้เดียวเท่านั้น

คุกหลวงมีขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่กว้างมากพอสำหรับขังนักโทษได้ราว 200 คน โครงสร้างของตัวเรือนสร้างด้วยท่อนไม้ลำใหญ่ปิดผนังหนาทึบรอบด้าน ภายในนำไม้เป็นท่อนมาขัดกั้นเป็นห้องโล่งๆ จำนวนมากที่มีประตูลงกลอนคุ้มกันอย่างแน่นหนา โดยเหล่านักโทษจะสามารถมองเห็นกันได้

สองเท้าของอัญญาเจ้าคำผุยย่างก้าวผ่านคบเพลิงที่สาดส่องให้เห็นเส้นทางตรงไปยังห้องขังของอัญญาเจ้าคำม่วนที่นอนราบอยู่กับพื้นดินจนแทบจะไม่มีแรงขยับตัวได้เลย เสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือดหลังจากที่ได้รับการทรมานเพื่อให้รับการสารภาพความผิด

อัญญาเจ้าคำม่วนเหลือบตาหันขึ้นไปมองก็ยังจดจำเงานี้ได้เป็นอย่างดีว่าคือใคร “นับว่าข้าพะเจ้ายังมีบุญอยู่หลายเด้อเจ้า อัญญาแม่เสด็จมาถึงคุกโสมมนี้ได้”

“กูกะแค่อยากมาดูหนังหน้าของผู้ที่ชอบมักใหญ่ใฝ่สูงเป็นครั้งสุดท้าย บ่ฮู้จักที่ต่ำที่สูง จนต้องพบกับความอ้างว้างเดียวดาวคือนี้”

“ในที่สุดอัญญาแม่กะทรงหาทางผลักข้าพะเจ้าล่วงสู่ดินจนได้ อัญญาแม่เอาแต่ชื่นชมว่าข้าพะเจ้านั้นเก่งหลายมาโดยตลอด บ่แม่นแล้ว ผู้ที่เก่งหลายนั้นกะคือ อัญญาแม่เองต่างหาก”

“ถ้าหากมึงหัดฉลาดอยู่ให้เป็นหลายกว่านี้ หัดเจียมเนื้อเจียมตัวบ้างเหมือนอัญญานางอื่น กะคงสิเก่งหลายกว่ากูแล้วละ แต่มึงดันฝืนตัวอยากเทียบเคียงกับกู ใช้ความลุ่มหลงของเจ้ามหาชีวิตมาเยาะเย้ยกู”

“ข้าพะเจ้ากะเป็นแม่หญิงเหมือนอัญญาแม่นี่เจ้า ที่อยากสิอยู่เคียงข้างเจ้ามหาชีวิต แต่บ่เคยคิดที่สิอยากเยาะเย้ยอัญญาแม่เลยเด้อเจ้า เรื่องนี้อัญญาแม่คงสิคิดหลายไปเองแล้ว ถ้าแม้ว่าข้าพะเจ้าสิได้ครอบครองพระทัยของเจ้ามหาชีวิตได้ แต่มันกะยังบ่สมบูรณ์แบบตามที่ข้าพะเจ้าอยากได้ ตราบใดที่ข้าพะเจ้ายังบ่ได้นั่งประทับเคียงข้างเจ้ามหาชีวิตอย่างแท้จริง”

“งั้นมึงกะสิได้ประทับเคียงข้างสมใจแล้ว พอได้ตายตามเจ้ามหาชีวิตไป คงสิได้ไปครองฮักกันบนบัลลังก์ที่ใดสักแห่งของนรก คนเลวระยำต่ำช้าอย่างมึง กูขอสาป บ่ว่าสิมึงสิกลายไปอยู่ชั้นฟ้าเมืองแถน แดนมนุษย์หรือเมืองนรกขุมใด กะอย่าหวังว่าสิมีความสุขกับชีวิตทุกภพชาตินี้อีกเลย”

อัญญาเจ้าคำผุยเบือนหน้าหนีรีบเดินออกจากคุกหลวงนี้ไปทันทีก่อนที่อัญญาเจ้าคำม่วนจะสรรหาคำพูดมาแดกดันที่อาจจะทำให้เกิดอารมณ์เสียขึ้นมาอีก

ซึ่งในอดีตนั้นอัญญาเจ้าคำผุยเคยเป็นที่รักยิ่งของสมเด็จเจ้ามหาชีวิตแสนสุริยราชมาก พอแก่ตัวแล้วอัญญาแม่ไม่อาจถวายงานได้อีก จึงทรงแนะนำให้หาอัญญานางที่ยังสวยขึ้นมาบรรเทาความเครียด แต่ก็คาดไม่ถึงว่าเจ้ามหาชีวิตจะทรงเลือกนางข้าหลวงภายในโฮงนางของอัญญาแม่เอง พอได้รับการแต่งตั้งกลับทำตัวสูงส่งและคอยสร้างความรำคาญใจทุกครั้งเมื่อได้พบเห็น แม้ว่าจะเกลียดอัญญานางผู้นี้มากแค่ไหน อัญญาแม่ก็ต้องคอยอดทนอดกลั้นเอาไว้และไม่อาจที่จะจัดการเสี้ยนหนามหัวใจนี้ออกไปได้เลย เพราะไม่ว่าอัญญานางผู้นี้จะทำการสิ่งใดก็ตาม เจ้ามหาชีวิตจะคอยให้ท้ายสนับสนุนและเชื่อไปเสียทุกเรื่อง ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาอัญญาแม่จึงรู้สึกเสมือนถูกเยาะเย้ยอยู่ตลอดเวลา

 

ช่วงบ่าย ณ ลานกว้างของคุกหลวง มีเพียงเหล่าราชองครักษ์เท่านั้นพากันยืนล้อมรอบลานกว้างนี้ไว้เพื่อคุ้มกันการหลบหนีของนักโทษ โดยท้าวสินไซจะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องอรรถคดีและการตัดสินถ้อยความข้อพิพาทในครั้งนี้ด้วยพระองค์เอง ซึ่งในขณะนี้ท่านท้าวนั่งอยู่บนพลับพลาและทอดสายตามองบรรดาเหล่านักโทษทั้งหลาย

อัญญาเจ้าคำม่วนนั่งบนพระแท่นขนาดเล็กที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางด้านหน้าสุดของลานประหาร ซึ่งหันหน้าเข้ายังพลับพลา ขณะนี้อัญญานางถูกเหล่านางข้าหลวงเปลี่ยนฉลองพระองค์และทรงเครื่องยศอัญญานางไว้ดังเดิม แม้ว่าอาภรณ์จะปกปิดบาดแผลตามร่างกายไว้ แต่อัญญานางกลับยังไม่ค่อยมีแรงจะทรงตัวนั่งหลังตรงได้เท่าไรนัก

ส่วนเหล่านักโทษคนอื่นๆ ยังสวมชุดเดิมที่เต็มไปด้วยคราบเลือดอยู่เลย พวกเขาทั้งหมดถูกจับมัดแขนมัดขาติดกับท่อนไม้คนละลำเรียงยาวเป็นหน้ากระดาน ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกเหล่าราชองครักษ์ยิงธนูเข้าไปกลางหัวใจให้เสียชีวิตลงในทันที

เสียงตีกลองดังขึ้นเป็นสัญญาณให้เหล่าราชองครักษ์วิ่งเข้ามาประจำจุดด้านหน้าพลับพลาตามจำนวนนักโทษทั้งหมด เสียงกรีดร้องของพวกเขาต่างอ้อนวอนร้องขอชีวิตกันเกือบจะทุกคน

อัญญาเจ้าคำม่วนไม่กล้าแม้แต่จะหันหลังไปมองนักโทษเหล่านั้น เนื่องจากทั้งหมดนั่นคือญาติพี่น้องคนสนิทของอัญญานาง โดยคนเหล่านี้ในสมัยก่อนต่างเคยได้รับการช่วยเหลือจากอัญญานางมาแล้วทั้งสิ้น อยู่สุขสบายก็นานหลายปี แต่บัดนี้จำต้องพบกับความโชคร้ายเสียแล้ว ต้องตายทั้งที่ตนเองไม่ได้มีส่วนร่วมกับการกระทำนี้ด้วยเลย

นางข้าหลวงคนหนึ่งเดินถือถาดที่มีถ้วยยาพิษมาถวายอัญญาเจ้าคำม่วน ซึ่งการประหารชีวิตของเหล่าพระราชวงศ์ที่กระทำความผิดจะได้รับการประหารชีวิตด้วยการดื่มยาพิษเท่านั้น ถือว่าเป็นการให้เกียรติผู้ที่เคยเป็นชนชั้นสูงมาก่อนเป็นครั้งสุดท้าย

เสียงตีกลองดังรัวเป็นครั้งที่สองเป็นสัญญาณให้เหล่าราชองครักษ์ยกคันธนูขึ้นเล็งไปที่เหล่าบรรดานักโทษ จากนั้นอัญญาเจ้าคำม่วนก็ค่อยๆ คว้าเอาถ้วยยาพิษนั่นมาถือไว้เพื่อรอฟังสัญญาณครั้งที่สามก่อนยกขึ้นดื่ม

ไม่นานนักเสียงแตรสังข์ดังขึ้นดังก้องฟ้า ซึ่งมีซาบัณฑิตคนหนึ่งขี่ม้าเร็วมาพร้อมกับการเป่าแตรสังข์ตลอดทาง ทุกคนจะรู้ในทันทีว่า เสียงแตรสังข์ที่มาพร้อมกับม้าเร็วนี้ มันคือสัญญาณห้ามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเด็ดขาด เพราะซาบัณฑิตผู้นี้นั้นมาพร้อมกับพระราชโองการที่จะแจ้งให้ทราบ

เหล่าราชองครักษ์ลดคันธนูลง เหล่านักโทษพากันยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจและคาดหวังว่าจะได้รับการอภัยโทษ แต่อัญญาเจ้าคำม่วนกลับเกิดความสงสัยว่าอัญญาเจ้าคำผุยยังคงต้องการสิ่งใดอีก

ซาบัณฑิตรีบกระโดดลงมาจากหลังม้าแล้ววิ่งตรงไปที่หน้าพลับพลา แล้วรีบเปิดม้วนกระดาษที่มีตราแผ่นดินประทับอยู่ออกมาอ่าน “อัญญาแม่ ผู้สำเร็จราชการแทนเจ้ามหาชีวิต มีพระราชโองการ”

ท้าวสินไซรีบนั่งคุกเข่าแล้วพนมมือไว้ที่กลางหน้าอกเพื่อรับทราบ ซึ่งเหล่าราชองครักษ์ทั้งหมดที่อยู่ในลานประหารแห่งนี้ล้วนต่างพากันปฏิบัติตามเหมือนท่านท้าว

ซาบัณฑิตผู้นั้นอ่านต่อ “ตามที่อัญญาเจ้าคำม่วนได้แอบลักลอบนำคุณไสยเข้าในมาเขตพระราชวังหลวง จนเป็นเหตุให้เจ้ามหาชีวิตต้องสวรรคตนั้น บัดนี้ข้าพะเจ้าได้ตรึกตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว การนำคุณไสยเข้ามาเขตพระราชวังหลวงนั้นบ่อาจที่สิชี้มูลความผิดถึงขั้นประหารชีวิตได้ แต่การนำเข้ามานั้นถือว่าผิดกฎของพระราชวงศ์อย่างร้ายแรง จนบ่อาจที่สิให้อภัยและคืนพระเกียรติยศไว้ดังเดิมได้ เช่นนั้น ข้าพะเจ้าจึงขอใช้พระราชอำนาจนี้ ปลดอัญญาเจ้าคำม่วนกลับคืนสู่แม่หญิงชั้นสามัญชนดังเดิม ส่วนนักโทษคนอื่นๆ สิได้รับการปล่อยตัว และห้ามบุคคลทั้งหมดเหล่านี้เข้ามาย่างกรายหรือเกี่ยวข้องใดๆ ในเขตพระราชวังหลวงอีก และข้าพะเจ้าขอสั่งห้ามเหล่าพระราชวงศ์ทุกพระองค์ติดต่อกับอดีตอัญญานางผู้นี้อีก จบพระราชโองการ”

หลังจากซาบัณฑิตอ่านพระราชโองการจบลง เหล่านักโทษทุกคนต่างพากันร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจที่ได้รับการปล่อยตัวให้ออกไปใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดาดังเดิม ถึงแม้ว่าจะไม่มียศศักดิ์แล้วก็ตาม

“เป็นย้อนท่านท้าวนั่นเอง” อัญญาเจ้าคำม่วนหันหน้าจ้องไปยังท้าวสินไซที่ยืนจ้องอัญญานางอยู่บนพลับพลานั่น เหมือนอัญญานางรู้ดีว่าใครเป็นอยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงพระราชโองการในครั้งนี้ อัญญานางวางถ้วยยาพิษลงข้างๆ ก่อนรวบรวมแรงที่มีลงไปหมอบกราบท้าวสินไซด้วยความขอบพระคุณจากใจจริง

ชีวิตของอัญญาเจ้าคำม่วนเปรียบเสมือนนกที่เคยโบยบินดั่งนางพญา สุดท้ายกับล่วงลงจากฟากฟ้างามสู่พื้นพสุธาดังเดิม นับหลังจากนี้ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ไม่ว่าชีวิตนอกกำแพงวังหรือในกำแพงวัง อย่างไหนจะน่าอยู่มากกว่ากัน จงเป็นผู้ตัดสินใจเลือกเส้นทางเอาเองเถิดอัญญานางผู้น่าสงสาร

 



Don`t copy text!