อัญญาเจ้า บทที่ 2 : ท้าวก้อนคำ

อัญญาเจ้า บทที่ 2 : ท้าวก้อนคำ

โดย : ทศพล

Loading

อัญญาเจ้า โดย ทศพล นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาจะพาทุกคนไปพบกับเล่ห์เหลี่ยม คุณไสย และมารยาสารพัดที่หญิงสาวมากมายใช้ช่วงชิงตำแหน่งอัญญาเจ้า…ตำแหน่งที่สตรีทุกคนในอาณาจักรใฝ่ฝันถึง พวกเธอรู้เพียงว่า กว่าจะได้เป็นอัญญาเจ้านั้นไม่ง่าย แต่เธอหาไม่รู้ว่าการดำรงตำแหน่งอัญญาเจ้านั้นกลับยากกว่า…

…อดีตกาล ย้อนไปในเหตุการณ์ของอดีตกาล ปีพุทธศักราช 1009 เมื่อครั้งสมเด็จมหาชีวิตแสนสุริยราช ลำดับที่ 12 ครองราชสมบัติอยู่

สูงส่งเพียงไหนก็ต้องพบความผิดหวังได้เช่นกัน แม้เป็นถึงเจ้าราชบุตรของเจ้าฟ้ามหาชีวิตแล้วก็ใช่ว่าจะต้องใช้ชีวิตได้ตามใจคิด การตัดสินใจที่มีกฎมณเฑียรบาลครอบเอาไว้ หากวันใดต้องผิดกฎนี้ก็ย่อมพบกับชะตากรรมที่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างไม่มีวันสิ้นสุด เฉกเช่นความรักต้องห้ามที่ยังคอยกีดกันและคอยตั้งท่ารังเกียจราวกับความรักเช่นนี้นั้นเป็นภัยร้ายแรง

ท้าวก้อนคำถูกผู้เป็นพระราชบิดาจับกักขังมัดตรึงไว้กับต้นเสาภายในโฮงของพระองค์เองตั้งแต่เมื่อวานนี้ เนื่องจากสมเด็จมหาชีวิตแสนสุริยราชจับได้ว่าเจ้าราชบุตรผู้นี้กำลังพลอดรักกับราชองครักษ์ชายผู้หนึ่งที่มีนามว่า ‘เพียนามวงศ์’ อย่างลับๆ ทำให้นายเพียผู้นี้ถูกราชองครักษ์จับตัวไปขังไว้ที่คุกหลวง ด้วยข้อกล่าวหาหมิ่นเบื้องสูง จำต้องได้รับโทษทัณฑ์ถึงขั้นประหารชีวิตตัดคอในบ่ายวันนี้ ณ วัดโคกก่อง

‘เพีย’ อาจมาจากสำเนียงของคำลาวโบราณ ตรงกับคำว่า พญา หรือ พระยา ซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์ที่ต่ำกว่าพระยา

อัญญาเจ้าคำผุยและอัญญาเจ้ากองแก้วพากันเดินเร็วตรงดิ่งมาที่โฮงของท้าวก้อนคำ พร้อมกับเหล่าข้าหลวงคอยเดินตามอยู่ไม่ห่าง ครั้นพอมาถึงหน้าโฮงกลับถูกเหล่าราชองครักษ์ใช้หอกขวางกั้นไม่ให้ผ่านเข้าประตู

“หลีกทางให้กูเดี๋ยวนี้” อัญญาเจ้าคำผุยตะเบ็งเสียงใส่ราชองครักษ์ที่ยืนขวางประตูนั่นอยู่ “นี่พวกมึงลืมแล้วบ่ ว่ากูเป็นไผ”

นางข้าหลวงวัยกลางคนเดินออกมาจากทางด้านข้างของโฮงด้วยความเร่งรีบก่อนถวายความเคารพอัญญาเจ้าทั้งสอง “ทูลอัญญาแม่ ยามนี้ห้ามผู้ใดเข้าเฝ้าเจ้าราชบุตรบ่ได้เด้อเจ้า นี่เป็นพระราชโองการของเจ้ามหาชีวิต”

“พวกมึงรีบหลบไป กูสิเข้าไปหาลูกกู” อัญญาเจ้าคำผุยไม่สนใจพระราชโองการของเจ้ามหาชีวิต อัญญาแม่เดินผ่าเหล่าราชองครักษ์เข้าไปภายในโฮงด้วยอารมณ์ร้อนดุจดั่งเปลวเพลิง

อัญญาเจ้ากองแก้วยืนลังเลใจอยู่สักพัก ไม่นานนักอัญญาเจ้าก็รีบเดินตามพระราชมารดาเข้าไป แต่เหล่าข้าหลวงและราชองครักษ์ต้องคอยยืนอยู่หน้าโฮง ไม่กล้าเดินตามเข้าไปด้วย เพราะไม่อาจที่จะขัดพระราชโองการของเจ้ามหาชีวิตได้ ซึ่งไม่เหมือนกับเชื้อพระวงศ์ที่อาจจะได้รับการอภัยโทษให้ในภายหลัง

พระชันษาเพียงแค่ 17 พรรษาเท่านั้น ท้าวก้อนคำกลับต้องพบกับความหม่นหมองภายในจิตใจ เมื่อถูกจับได้ว่ารักเพศเดียวกัน เชือกที่มัดตรึงชายหนุ่มร่างบางนี้ไว้แน่นกับเสาไม้ในท่ายืน มันทำให้พระองค์ไม่อาจจะขยับร่างกายได้เลย ทำได้เพียงแต่ก้มศีรษะต่ำมองพื้นไม้อย่างน่าเวทนา

“ก้อนคำลูก” อัญญาเจ้าคำผุยตกใจเมื่อเห็นลูกชายคนเดียวกำลังถูกมัดราวกับนักโทษ ดวงใจของผู้เป็นแม่รู้สึกสงสารลูกคนนี้มากเหลือเกิน “แม่มาหาลูกแล้วเด้อ” อัญญาเอามือไปสัมผัสใบหน้าของท้าวก้อนคำเบาๆ ก่อนสำรวจบาดแผลตามร่างกายของเจ้าราชบุตรไปทั้งน้ำตา

ท้าวก้อนคำเงยหน้าขึ้นช้าๆ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่แสนเบาบาง “อัญญาแม่ ข้าพะเจ้าเจ็บหลาย”

อัญญาเจ้าคำผุยพยักหน้าเข้าใจ “กองแก้ว รีบไปหามีดมาตัดเชือกให้น้องเร็วเข้า”

อัญญาเจ้ากองแก้วส่ายหน้าปฏิเสธ “อัญญาแม่เจ้า อัญญาแม่สิขัดพระราชโองการของอัญญาพ่อบ่ได้เด้อเจ้า”

“ได้สิ” อัญญาเจ้าคำผุยตวาดเสียงสูง “นี่ลูกมันแท้ๆ อัญญาพ่อมึงยังมาเฮ็ดป่านนักโทษฆ่าคน ไปหามีดมาตัดเชือกออกให้น้องเดี๋ยวนี้ เข้าใจที่แม่สั่งบ่”

“อัญญาแม่” อัญญาเจ้ากองแก้วไม่รู้ว่าจะฟังคำสั่งใคร คนหนึ่งก็พระราชบิดาอีกคนก็พระราชมารดา แต่ตอนนี้ยืนอยู่กับพระราชมารดา ต้องฟังไว้ก่อน จากนั้นอัญญาเจ้าก็กระวนกระวายหามีดตามลิ้นชักตู้ไม้สลัก สุดท้ายก็เจอดาบสั้นแทนแล้วหยิบมันออกมายื่นให้ทันที

อัญญาเจ้าคำผุยคว้าเอาดาบสั้นมาตัดเชือกด้วยความเร่งรีบ แรงของอัญญาแม่นั้นมีมากพอที่จะทุ่มแรงตัดจนสุดพลัง “รอแม่สักหน่อยเด้อก้อนคำลูกแม่”

อัญญาเจ้ากองแก้วทำได้แต่ยืนมองอยู่ห่างๆ ด้วยสีหน้าเป็นกังวล

ไม่นานนักอัญญาเจ้าคำผุยก็ตัดเชือกที่มัดเจ้าราชบุตรไว้ออกจนหมดสิ้นก่อนขว้างดาบสั้นทิ้งลงไปที่พื้น อัญญาแม่ประคองท้าวก้อนคำมานั่งบนพระแท่นก่อนเทน้ำจากเหยือกใส่แก้วทองคำให้เจ้าราชบุตร

“เป็นแนวใดแหน่ แม่อยู่นี่แล้ว บ่ต้องกลัวหยังเด้อลูก”

ท้าวก้อนคำได้ดื่มน้ำแล้วทำให้ร่างกายรู้สึกดีขึ้นเยอะ “ลูกขอบพระทัยอัญญาแม่หลาย แต่ลูกสิต้องไปแล้วเจ้า”

“สิไปไส” อัญญาเจ้าคำผุยรู้ในทันทีว่าท้าวก้อนคำจะรีบไปไหนจึงรีบคว้ามือของเจ้าราชบุตรเอาไว้ “บ่ได้ แม่บ่ให้ไป ถ้าลูกไป ญาพ่อบ่มีทางยกโทษให้เด้อลูก”

“บ่ได้ญาแม่ ลูกต้องไปช่วยคนที่ลูกฮัก” ท้าวก้อนคำรู้สึกบีบคั้นหัวใจตัวเองมากก่อนปล่อยน้ำตารินไหลอาบแก้ม “ลูกสิรีบไปรีบมา ญาพ่อกำลังสิตัดคอเขาแล้ว เพียนามวงศ์บ่ได้เฮ็ดคุณไสยใส่ลูกอีหลี…ลูกฮักเพียนามวงศ์ด้วยใจของลูกเองเด้ออัญญาแม่”

“อัญญาพ่อได้ตัดสินไปแล้ว ถึงลูกไปกะช่วยหยังบ่ได้” อัญญาเจ้าคำผุยกุมมือท้าวก้อนคำไว้แน่นขึ้น “ฟังแม่เด้อ นั่นกะถือว่าเป็นกรรมของเพียนามวงศ์ไป แต่ลูกคือเจ้าอุปฮาต หน่อเนื้อเจ้ามหาชีวิตคนต่อไป ตอนนี้อย่าเพิ่งไปเข้าใกล้อัญญาพ่อเลย”

ท้าวก้อนคำสะบัดมือของอัญญาเจ้าคำผุยออกก่อนรีบลุกขึ้นยืนถอยห่าง “บ่…เพียนามวงศ์บ่ได้เฮ็ดหยังผิดเลย เป็นหยังญาพ่อคือสิมาประหารเขาง่ายแท้ ลูกบ่ยอมเด็ดขาด”

“ใจเย็นๆ ก่อนเด้อน้องเอื้อย” อัญญาเจ้ากองแก้วพูดแทรกด้วยความเป็นห่วงในฐานะพระขนิษฐา

สักพักเสียงตีกลองใหญ่ดังขึ้น จนทุกคนหันไปหาต้นเสียงนั่นพร้อมกันด้วยสีหน้าตกตะลึง เพราะมันเป็นสัญญาณเตือนว่าใกล้ถึงเพลาประหารชีวิตนักโทษแล้ว

ท้าวก้อนคำไม่รีรอรีบวิ่งออกไปนอกโฮงทันที เขาวิ่งฝ่าเหล่านางข้าหลวงและราชองครักษ์ออกไปอย่างทุลักทุเล โดยตรงดิ่งไปที่กรมทหารม้าอย่างไม่คิดชีวิต พอวิ่งไปเห็นม้าตัวหนึ่งถูกล่ามเชือกไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ เขารีบวิ่งเข้าไปปลดเชือกนั่นแล้วกระโดดขึ้นหลังม้าก่อนควบมันตรงไปที่วัดโคกก่องทันที

อัญญาเจ้าคำผุยและอัญญาเจ้ากองแก้ว พร้อมด้วยพวกนางข้าหลวงและราชองครักษ์ได้พากันวิ่งตามท้าวก้อนคำกันจ้าละหวั่น แต่คงจะตามไม่ทันเสียแล้ว เพราะม้าเร็วได้พาท้าวก้อนคำออกไปนอกกำแพงวังแล้ว ซึ่งทุกคนไม่ละความพยายามที่จะรีบวิ่งตามออกไป เนื่องจากวัดโคกก่องตั้งอยู่ติดกับประตูวังทางด้านทิศตะวันตก ออกจากประตูไปก็เจอวัดเลย

 

วัดโคกก่องเป็นวัดสำหรับใช้ประหารชีวิตนักโทษด้วยการบั่นคอ รวมถึงการเผาพระศพของเหล่าเชื้อพระวงศ์ ภายในบริเวณวัดมีพระอุโบสถหนึ่งหลัง มหาธาตุเจดีย์และศาลาสามหลังที่สร้างขึ้นจากไม้ โดยรอบพระอุโบสถจะมีสนามหญ้าขนาดกว้างซึ่งอยู่ติดกับหนองน้ำขนาดกลาง

บ่ายของวันนี้ ทางวังได้จัดสถานที่ประทับบนพลับพลาขึ้น เนื่องจากสมเด็จเจ้ามหาชีวิตแสนสุริยราชนั้นได้เสด็จมาดูด้วยพระองค์เอง ในการนี้ท้าวสินไซและท้าวบุญสารได้เสด็จพร้อมด้วย

ซึ่งการประหารชีวิตนักโทษในแต่ละครั้งจะมีชาวบ้านมาร่วมเป็นสักขีพยานกันอย่างเนืองแน่นล้อมรอบไว้ บางคนก็หวังจะได้ชื่นชมพระบารมีของเจ้ามหาชีวิตด้วย ซึ่งในนครหลวงแห่งนี้ยังไม่ได้มีกฎห้ามจ้องหน้าแต่อย่างใด

เพียนามวงศ์เป็นราชองครักษ์ส่วนพระองค์ของท้าวก้อนคำ หน้าที่ของเขาคือการปกป้องภัยอันตรายและคอยดูแลทุกฝีก้าว ความใกล้ชิดสนิทสนมที่คอยดูแลซึ่งกันและกัน มันกลับได้สร้างความรู้สึกที่ดีต่อกันจนเลยเถิดเกิดเป็นความรักต้องห้ามที่เหล่าพระราชวงศ์ไม่อาจยอมรับได้ ในเมื่อความลับไม่มีในโลก ความจริงมันเลยตีแผ่ทุกอย่างออกมาจนได้ ซึ่งในขณะนี้เขาได้ถูกจับมัดติดไว้กับเสาไม้ ผ้าแดงปิดดวงตาไว้ พนมมือขึ้นไหว้กลางหน้าอก เหยียดเท้าตรงและหันหน้าไปทางทิศตะวันตก

เสียงบรรเลงวงปี่พาทย์ดังขึ้น เพื่อส่งสัญญาณให้เพชฌฆาตชายที่นุ่งชุดแดงทั้งตัวได้ทำพิธีร่ายรำวนรอบนักโทษก่อนที่จะใช้ดาบฟันไปตรงก้านคอให้ขาดให้ได้ในหนึ่งที

ยิ่งเสียงบรรเลงมีจังหวะดังถี่ขึ้นเท่าไร เพชฌฆาตก็เดินวนเร็วขึ้นตามคล้ายกับคนเมาเหล้าไม่มีสติ แต่ไม่นานนักเสียงควบม้าเร็วตรงดิ่งมาที่ลานประหารจนชาวบ้านพากันหันไปมองดูด้วยความอยากรู้

ท้าวก้อนคำรีบกระโดดลงมาจากหลังม้า เขากลิ้งตัวบนพื้นหญ้าก่อนรีบตะเกียกตะกายตัวเองขึ้นวิ่งไปห้ามไว้พร้อมกับตะโกนเสียงออกไปว่า “อย่าเพิ่ง” อย่างสุดพลังเสียง แต่ก็ไม่อาจทำให้เพชฌฆาตได้ยินเสียงนั่นเลย เนื่องจากเสียงของดนตรีนั้นได้กลบจนมิด พอใกล้จะวิ่งไปถึงตัวของเพชฌฆาตแล้ว ดาบของเพชฌฆาตก็ได้ฟันคอของเพียนามวงศ์ไปเสียก่อนแล้ว

ศีรษะของเพียนามวงศ์หลุดออกจากคอก่อนกลิ้งไปตามพื้นหญ้า น้ำตาของเขาไหลหยดลงสู่พื้นธรณีดับสิ้นแล้วชีวี ท้าวก้อนคำร้องไห้ออกมาอย่างหนัก เพราะรับไม่ได้ที่ได้เห็นคนรักถูกบั่นคอต่อหน้าต่อตา จนเพชฌฆาตถึงกับทำตัวไม่ถูกทิ้งดาบลงกับพื้นก่อนรีบวิ่งหนีออกให้ห่างจากบริเวณศพ

“โธ่โว้ย” ท้าวก้อนคำตะโกนเสียงดังลั่นขึ้น จนทุกคนพากันตกใจกับเสียงนั่น สายตาของเขาจ้องไปที่พระราชบิดาตัวเองด้วยความคับแค้นใจ “ประสงค์แนวนี้แม่นบ่อัญญาพ่อ”

สมเด็จมหาชีวิตแสนสุริยราชรู้สึกไม่ค่อยดีที่ต้องเห็นเจ้าราชบุตรมาร้องไห้ที่ลานประหารนี้ เจ้ามหาชีวิตจึงชี้นิ้วสั่งให้ท้าวบุญสารและท้าวสินไซรีบวิ่งลงไปนำตัวท้าวก้อนคำออกให้ห่างจากศพ

ในขณะที่ท้าวบุญสารและท้าวสินไซกำลังวิ่งลงมายังจุดที่ท้าวก้อนคำกำลังร้องไห้ฟูมฟายคล้ายกับคนบ้าคลั่งอย่างหนักหน่วงอยู่นั้น ก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้นเมื่อท่านท้าวได้ตัดสินใจไปคว้าเอาดาบของเพชฌฆาตนั้นขึ้นมาเสียบที่กลางหน้าอกตัวเองทันที สร้างความตกใจเป็นอย่างมากแก่ผู้พบเห็น

อัญญาเจ้าคำผุยวิ่งมาได้ทันจังหวะที่ท้าวก้อนคำได้ปลิดชีพพอดี อัญญาแม่ถึงกับกรีดร้องดังลั่นออกมาก่อนรีบวิ่งไปโอบกอดร่างของเจ้าราชบุตรเอาไว้ทั้งน้ำตา แม้แต่อัญญาเจ้ากองแก้วและเหล่านางข้าหลวงก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ หลายคนเหมือนตกอยู่ในห้วงของความเศร้ากันหมดเมื่อต้องสูญเสียรัชทายาทอย่างไม่คาดคิด

“ลูกแม่ เป็นหยังต้องมาจบชีวิตคือนี้ล่ะลูก” อัญญาเจ้าคำผุยกอดร่างอันไร้วิญญาณอย่างแสนทรมานหัวใจ ราวกับใครเอามีดมากรีดที่กลางอก “อย่าจากแม่ไปเลย ตื่นขึ้นมาหาแม่ก่อน ก้อนคำ”

ท้าวสินไซเห็นอัญญาเจ้ากองแก้วยืนร้องไห้อยู่นั้น เขาก็รีบเดินเข้าไปประคองพระชายาตัวเองไว้ เพื่อปลอบประโลมจิตใจที่บอบซ้ำอย่างหนัก หลังจากอัญญาเจ้าได้สูญเสียพระอนุชาอันเป็นที่รักไป

 

5 วันผ่านไป พระศพของท้าวก้อนคำถูกฝังไว้ที่สุสานหลวง ส่วนศพของเพียนามวงศ์ถูกฝังไว้ที่ป่าช้าวัดโคกก่อง การเสียชีวิตของทั้งสองได้เป็นที่กล่าวขานกันไปทั่วทั้งนครหลวง นับว่าเป็นโศกนาฏกรรมที่ถูกเล่าต่อๆ กันไปจนกลายเป็นตำนานแห่งความรักที่ไม่มีวันสุขสมหวังได้เลย

ความโศกเศร้ากำลังครอบงำจิตใจของอัญญาเจ้าคำผุย อัญญาแม่เอาแต่นั่งบนเบาะรองนั่งจ้องมองภาพวาดของท้าวก้อนคำที่ถูกนำมาตั้งอยู่บนโต๊ะตรงกลางห้องของโฮงของท้าวก้อนคำอยู่แบบนี้ทุกวัน หลังจากพิธีศพของเจ้าราชบุตรเสร็จสิ้นลง

อัญญาเจ้ากองแก้วรู้สึกสงสารพระราชมารดาเป็นอย่างมาก พอได้เห็นแบบนี้แล้ว อัญญาเจ้าจึงต้องเข้มแข็งเพื่อปลอบประโลมจิตใจของอัญญาเจ้าคำผุยเอาไว้ สองเท้าก้าวเดินเข้ามาในโฮงเพียงลำพังคนเดียวเพื่อเข้าไปนั่งข้างๆ ก่อนหันขึ้นมองภาพเหมือนของท้าวก้อนคำที่วาดโดยจิตรกรหลวง

 

เช้าวันนี้อัญญาเจ้าคำม่วนพร้อมข้าหลวงผู้ติดตามได้เดินทางมาถึงโฮงของท้าวก้อนคำ พอข้าหลวงเนียมเห็นเข้าจึงรีบเดินเร็วเพื่อมารับเสด็จอัญญานาง

“อัญญาเจ้าคำม่วน” ข้าหลวงเนียมรีบถวายความเคารพทันที

“ข้าพะเจ้าอยากเข้าเฝ้าอัญญาแม่ ข้าพะเจ้าได้ทราบข่าวมาว่า อัญญาแม่เอาแต่ทรงเศร้าพระทัยอยู่นานหลายมื้อแล้ว กะเลยอยากแวะมาถวายกำลังใจแก่อัญญาแม่เจ้า”

“ทูลอัญญานาง ข้าน้อยขอบังอาจทูลว่า อัญญาแม่บ่มีพระราชประสงค์ให้ผู้ใดเข้าเฝ้า แม้แต่เจ้ามหาชีวิตกะยังถูกห้ามมาแล้วเด้อเจ้า” ข้าหลวงเนียมรู้ดีว่าถ้าหากปล่อยให้อัญญาเจ้าคำม่วนเข้าเฝ้า มีหวังอัญญาเจ้าคำผุยได้เปลี่ยนโหมดเป็นคนโมโหร้ายอย่างแน่นอน เพราะอาจจะเข้าใจว่าอัญญานางแวะมาสมเพชชะตากรรมได้ “อัญญานางเสด็จกลับก่อนเถิดเจ้า ทรงรอให้พระทัยของอัญญาแม่ดีขึ้นหลายก่อน แล้วข้าน้อยสิรีบไปกราบทูลแจ้งให้ทรงทราบเด้อเจ้า”

อัญญาเจ้าคำม่วนเข้าใจในสิ่งที่ข้าหลวงเนียมแนะนำ “เอาอย่างที่เจ้าว่ามากะได้ งั้นข้าพะเจ้าขอตัวกลับโฮงก่อนเด้อ” หลังจากนั้นอัญญานางก็หันหลังเดินทางกลับโฮงนางทันทีพร้อมกับเหล่านางข้าหลวงที่ตามเสด็จ

ข้าหลวงเนียมแสดงความเคารพน้อมส่งเสด็จ สายตาของนางกำลังจ้องมองอัญญาเจ้าคำม่วนจากที่ไกลๆ จึงเกิดความสงสัยขึ้น ในเมื่อคนที่ชอบมีปากเสียงกันมาโดยตลอด จริงๆ แล้วต้องการอะไรกันแน่ถึงได้กล้ามาปลอบใจอีกฝ่ายที่กำลังตกอยู่ในห้วงของความทุกข์อยู่

ขณะที่ขบวนเสด็จของอัญญาเจ้าคำม่วนเดินออกมาจากนอกเขตโฮงของท้าวก้อนคำแล้ว อัญญานางได้เจอเข้ากับขบวนเสด็จของอัญญาเจ้าลำดวลและอัญญาเจ้าคำคูนที่ตั้งใจเดินตรงมาเพื่อขอเข้าเฝ้าอัญญาเจ้าคำผุย

อัญญาเจ้าลำดวลและอัญญาเจ้าคำคูนแสดงสีหน้าตกใจนิดหน่อยเมื่อเห็นอัญญาเจ้าคำม่วนอย่างกะทันหัน ทั้งสองพระองค์และเหล่านางข้าหลวงจึงต่างรีบพากันถวายความเคารพ

“ญาเจ้าลำดวลและญาเจ้าคำคูน ทั้งสองพระองค์กะมาขอเข้าเฝ้าอัญญาแม่คือกันกับข้าพะเจ้าแม่นบ่” อัญญาเจ้าคำม่วนพูดขึ้นก่อน

“แม่นแล้วเจ้า” อัญญาเจ้าลำดวลขานตอบด้วยแววตาแข็งทื่อ “ข้าพะเจ้าเคยเสียลูกเหมือนกัน กะย่อมเข้าพระทัยของอัญญาแม่ได้ดีว่าช่วงนี้มีพระราชประสงค์หยังจากเหล่าเชื้อพระวงศ์”

“แต่ข้าพะเจ้าไปขอเข้าเฝ้ามาแล้ว อัญญาแม่ทรงห้ามผู้ใดเข้าเฝ้า เห็นทีญาเจ้าทั้งสองคงสิต้องเสด็จกลับโฮงนางกันเสียแล้ว อย่าได้เสด็จเข้าไปให้เสียเวลาเลยเด้อเจ้า”

“อัญญาแม่เป็นถึงพระขนิษฐาของพระสวามีข้าพะเจ้า แนวใดเสียอัญญาแม่กะต้องทรงอนุญาตให้เชื้อพระวงศ์โดยตรงอย่างข้าพะเจ้าได้เข้าเฝ้าอยู่แล้วเด้อเจ้า ส่วนอัญญานางกะอย่าได้ถือสาอัญญาแม่เลย หากพระองค์บ่อยากทรงพบพระพักตร์อัญญานาง”

อัญญาเจ้าคำคูนรู้สึกว่าพระมารดากำลังใช้วาจาที่แข็งกระด้างต่ออัญญาเจ้าคำม่วน จึงรีบพูดแทรกบทสนทนาทันที “ขอบพระทัยอัญญานางที่ทรงบอก ข้าพะเจ้ากับญาแม่สิขอลองเข้าไปทูลขอเข้าเฝ้าดูเสียก่อน หากอัญญาแม่ทรงยืนกรานว่าบ่ให้เข้าเฝ้า ข้าพะเจ้ากับญาแม่ถึงสิพากันกลับโฮงนางกันเจ้า”

“ถ้าอย่างนั้น ข้าพะเจ้าขอทูลลา” อัญญาเจ้าคำม่วนสูดลมหายใจเข้าด้วยความรู้สึกที่แสนจะอึดอัดใจมากหากจะสนทนาต่อ จากนั้นอัญญานางก็เดินเลี่ยงไปอีกเส้นทางในทันที

อัญญาเจ้าลำดวลและอัญญาเจ้าคำคูนถวายความเคารพให้ แม้ว่าอัญญาเจ้าลำดวลเหมือนจะไม่ค่อยเต็มใจทำมากนัก แต่ด้วยฐานันดรศักดิ์ที่อัญญาเจ้าคำม่วนเป็นถึงอัญญานางหรือพระสนมเอก จึงต้องจำใจถวายความเคารพให้

“กูละหมั่นไส้หนังหน้ามันหลาย” อัญญาเจ้าลำดวลพ่นคำหยาบออกมาด้วยความเกลียดชังหลังจากที่อัญญาเจ้าคำม่วนเดินไปได้ไกลมากแล้ว “ฮู้ทั้งฮู้ว่าอัญญาแม่ซังหนังหน้ามันหลายแค่ใด เป็นหยังคือมากล้าขอเข้าเฝ้า”

“ญาแม่กะหัดเก็บพระทัยไว้แหน่ ขืนยังตรัสเสียงแข็งกับอัญญานางแบบนั้นอีก พวกเฮานี้แล้วสิแย่เอาเด้อเจ้า” อัญญาเจ้าคำคูนรีบเตือนสติพระมารดาไว้ “รีบไปขอเข้าเฝ้าลองดูก่อนเจ้า ถ้าหากอัญญาแม่บ่ให้เข้าเฝ้า พวกเฮากะต้องกลับโฮงคือกัน”

“กะได้” อัญญาเจ้าลำดวลถอนหายใจออกมาก่อนเดินหน้าบึ้งตึงล่วงหน้าไปก่อน แม้ว่าอัญญาเจ้าไม่ค่อยจะเข้าใจบุตรีตัวเองเท่าไรนัก ว่าเหตุใดถึงต้องสรรหาคำพูดมาปกป้องอัญญาเจ้าคำม่วนทุกทีเลย แทนที่จะเข้าข้างกันและกันไว้

อัญญาเจ้าคำคูนส่ายหน้าให้และรับไม่ค่อยได้ เพราะพระมารดาเป็นคนที่เก็บสีหน้าและอารมณ์ไม่เก่งนัก จากนั้นอัญญาเจ้าก็คอยเดิมตามอยู่ห่างๆ พร้อมกับเหล่านางข้าหลวงไปติดๆ

การอ้างตนว่าเป็นเชื้อพระวงศ์โดยตรงของอัญญาเจ้าลำดวลนั้น สืบเนื่องมาจากอัญญาเจ้าได้เสกสมรสกับท้าวแสนฤทธิ์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระเชษฐาของอัญญาเจ้าคำผุย รวมถึงอัญญาเจ้านั้นยังเป็นพระนัดดาอดีตเจ้ามหาชีวิตพระองค์ก่อนด้วย อีกอย่างอัญญาเจ้าและอัญญาแม่มักจะมีการไปมาหาสู่กันบ่อยครั้งกันอย่างสนิทสนม จนอัญญาเจ้ามักจะคิดว่าตนเองนั้นคอยมีผู้มีอำนาจบาตรใหญ่คุ้มกันและคอยให้ท้ายอยู่เสมอ ก็เลยไม่ค่อยที่จะเกรงกลัวผู้ใดมากนัก

ท้าวแสนฤทธิ์และอัญญาเจ้าลำดวล มีบุตรีกันแค่สองพระองค์ อันได้แก่อัญญาเจ้าคำคูนและอัญญาเจ้ากันเกรา แต่ตอนนี้อัญญาเจ้ากันเกรานั้นได้สิ้นพระชนม์ไปแล้วเมื่อสี่ปีก่อน ด้วยสาเหตุที่ใครหลายคนพากันคาดไม่ถึงกัน

 

อัญญาเจ้ากองแก้วเดินออกมานอกโฮงด้วยความเศร้าพระทัยเป็นอย่างมากที่ไม่อาจจะชักจูงให้พระราชมารดาออกมาจากห้องนั่นได้เลย

ส่วนข้าหลวงเนียมเหลือบหันขึ้นไปเห็นใบหน้าของอัญญาเจ้ากองแก้วแล้วก็อดที่จะสงสารไม่ไหวก่อนที่จะรีบเดินเร็วเข้าไปหาอัญญาเจ้า

“อัญญาแม่ทรงเป็นแนวใดแล้วเจ้า” ข้าหลวงเนียมพูดขึ้นพร้อมกับถวายความเคารพ

“คือเก่า อัญญาแม่บ่ตรัสหยังเลยเนียม” อัญญาเจ้ากองแก้วรู้สึกมองไม่เห็นทางออก “ข้าพะเจ้าควรเฮ็ดแนวใดดี ขืนอัญญาแม่ยังเป็นคือนี้อยู่ พระวรกายอาจสิประชวรขึ้นมาได้”

ข้าหลวงเนียมส่ายหน้าช้าๆ เพราะนางเองก็ไม่มีหนทางออกได้เลยกับเรื่องนี้ สงสัยคงต้องรอให้เวลาเท่านั้นคอยเยียวยาสภาพจิตใจของอัญญาเจ้าคำผุย การสูญเสียเจ้าราชบุตรไปทั้งคน จะให้ฟื้นตัวในเร็ววันนั้นก็คงจะเป็นไปไม่ได้ แต่การที่อัญญาแม่เอาแต่นั้งอยู่ภายในโฮงและไม่ยอมทานอะไรเลยนั้น ร่างกายนั่นแหละจะทนไม่ไหวเอาเสียก่อน

 

ไม่นานนักอัญญาเจ้าลำดวลและอัญญาเจ้าคำคูนก็ได้เดินทางมาถึงหน้าโฮงของท้าวก้อนคำ ทั้งสองพระองค์ถวายความเคารพต่ออัญญาเจ้ากองแก้วทันที

“เป็นแนวใดอัญญาเจ้า อัญญาแม่ยังบ่ทรงยอมเสด็จออกมาจากห้องนั่นอีกอยู่บ่เจ้า” อัญญาเจ้าลำดวลพูดด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความเป็นห่วงอัญญาเจ้าคำผุย

“แม่นแล้วญาป้า” อัญญาเจ้ากองแก้วตอบ “ข้าพะเจ้าเกลี่ยกล่อมแล้ว กะยังบ่ได้ผลอยู่เจ้า”

“งั้นให้ข้าพะเจ้าได้ลองเข้าเฝ้าดูก่อนได้บ่เจ้า เผื่อสิเฮ้ดให้อัญญาแม่ทรงเปลี่ยนพระทัย”

“อย่าเสี่ยงเลยญาป้า หากญาป้าเสด็จเข้าไปตอนนี้ แล้วเกิดอัญญาแม่ทรงกริ้วขึ้นมา ญาป้าอาจสิต้องโทษได้เด้อเจ้า”

“แม่นแล้วเจ้า” อัญญาเจ้าคำคูนเห็นด้วยกับอัญญาเจ้ากองแก้ว “ญาแม่กะทรงเชื่ออัญญาเจ้าบ้าง หากญาแม่เข้าไปแล้วเฮ็ดให้อัญญาแม่ทรงกริ้ว แล้วเกิดมีรับสั่งประหารชีวิตญาแม่มื้อนี้ สิบ่แย่เอาเลยบ่เจ้า”

อัญญาเจ้าลำดวลเหลือกลูกตามองแรงไปยังบุตรีตัวเองทันที ภายในใจนึกแต่คำว่า เอาอีกแล้วนะลูกตัวดีคนนี้ แต่ก็ไม่ได้จะดุบุตรีตอนนี้ เพราะยังเกรงใจอัญญาเจ้ากองแก้วอยู่ “กะได้ งั้นข้าพะเจ้าคงต้องกลับโฮงก่อนเด้อ อัญญาเจ้าเองกะต้องเข้มแข็งเอาไว้ อย่างน้อยอัญญาแม่ทอดพระเนตรมา พระทัยอาจสิเข้มแข็งขึ้นมากะได้เด้อเจ้า”

อัญญาเจ้ากองแก้วพยักหน้ารับทราบ “เข้าใจแล้วเจ้า ข้าพะเจ้าขอบพระทัยญาป้าและญาเอื้อยหลาย ที่อุตส่าห์เสด็จมาฮอดนี้ ไว้อัญญาแม่พระทัยดีขึ้นหลายแล้ว ข้าพะเจ้าสิให้นางข้าหลวงไปแจ้งข่าวเด้อเจ้า”

จากนั้นอัญญาเจ้าลำดวลและอัญญาเจ้าคำคูนพากันถวายความเคารพอัญญาเจ้ากองแก้วก่อนเดินถอยให้ห่าง จากนั้นค่อยตวัดตัวเดินตรงไปที่กำแพงประตูโฮงพร้อมกับเหล่านางข้าหลวงในทันที

ด้วยการจากไปของท้าวก้อนคำได้ส่งผลให้นครหลวงแห่งนี้ดูเงียบเหงาและโศกเศร้ากันทุกหย่อมหญ้า โดยเฉพาะผู้ที่เป็นพ่อแม่ การสูญเสียลูกชายอันเป็นที่รักยิ่งไป คงยากที่จะทำใจได้กับเรื่องจริงนี้

 



Don`t copy text!