โหงลำโขง บทที่  13 : ผีโหง (1)

โหงลำโขง บทที่ 13 : ผีโหง (1)

โดย : ทศพล

Loading

โหงลำโขง โดย ทศพล กับเรื่องราวของ “คูน” ชายหนุ่มผู้อาภัพ บิดามารดาถูกฆาตกรรม เขาจึงเติบโตโดยการฟูมฟักจากแม่เฒ่าต้วน ผู้หวังว่าสักวันหนึ่งคูนจะกลับไปล้างแค้นให้กับบิดามารดา และทำให้ครอบครัวของฆาตกรนั้นอยู่อย่างตายทั้งเป็น หากแต่แผนการและหัวใจสวนทางกัน คูนจะทำอย่างไร นวนิยายคุณภาพที่อ่านเอานำมาให้คุณอ่านใน anowl.co

แม่เฒ่าต้วนเดินด้วยไม้เท้าอยู่คนเดียวท่ามกลางความมืดมิดโดยไม่ถือตะเกียงเทียน แม่เฒ่าเดินตรงเข้าไปตามถนนในหมู่บ้านก่อนเลี่ยงไปยืนหลบมุมต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ กับลำน้ำโขง เพื่อแอบมองอะไรบางสิ่งที่อยู่ตรงกลางลำน้ำ

น้ำในลำโขงกระเพื่อมอย่างแรงจนเรือที่จอดเทียบท่าอยู่นั้นโคลงไปโคลงมา มีแม่หญิงนางหนึ่งกำลังก้าวขึ้นมาบนฝั่งด้วยอากัปกิริยานิ่งเงียบ หลับตาเหมือนไม่มีความรู้สึกใดๆ มีสิ่งที่น่าประหลาดใจมาก คือ ผมเผ้า ผ้าเบี่ยงสีขาว (สไบเฉียง) และผ้าซิ่นที่เธอนุ่งอยู่นั้นไม่มีความเปียกเลยทั้งๆ ที่เธอเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ

ไม่นานสายลมพัดก็พัดผ่านมากระทบเข้ากับหน้าผากของแม่หญิงนางนี้ เธอจึงลืมตาตื่นขึ้นมองก่อนความรู้สึกและความทรงจำทุกอย่างที่เคยมีได้คืนกลับมาเสมือนเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ การกลับมาครั้งนี้เธอนั้นเป็นเพียงดวงวิญญาณที่คนอื่นจะมองไม่เห็นเธอ และแม้ว่าเธอจะมองเห็นคนอื่น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

“จำปีกลับมาแล้ว” แม่เฒ่าต้วนพึมพำออกมาผ่านริมฝีปากเมื่อเห็นดวงวิญญาณของจำปีได้กลับคืนมาตามคำขอที่ตนได้ขอไว้กับเจ้าโหง เพื่อนำจำปีมาช่วยให้ภารกิจนี้สำเร็จให้เร็วที่สุด

จำปีได้เสียชีวิตกลางลำน้ำโขงโดยทุกคนเข้าใจว่าการตายของเธอเป็นอุบัติเหตุ ที่เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่คาดไม่ถึง อีกทั้งการตายของเธอยังเป็นการตายก่อนวัยอันควร เหล่ายมทูตเลยยังไม่ขึ้นมารับ ดวงวิญญาณเธอจึงเร่ร่อน ดวงวิญญาณลักษณะนี้เรียกกันว่า ‘ผีตายโหง’ ฉะนั้น ดวงวิญญาณของจำปีจึงเป็นผีโหงที่อยู่ใต้ลำน้ำแห่งนี้ ก่อนที่แม่เฒ่าต้วนจะได้เอ่ยขอจำปีกับเจ้าโหง ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าดูแลเหล่าผีโหงทั้งหมดในแถบลำน้ำโขงนี้แต่เพียงผู้เดียว

…คืนหลังเหตุการณ์วันแห่พระข้ามโขง

แม่เฒ่าต้วนเดินชักไม้เท้ามายืนอยู่ริมฝั่งโขง ก่อนที่จะตะคอกเสียงออกไปด้วยความโมโห “เหตุการณ์เมื่อวานนั้น เป็นฝีมือของท่านแม่นบ่” ไม่มีวี่แววตอบกลับมา แม่เฒ่าจึงใช้ไม้เท้ากระทุ้งพื้นดิน จนน้ำกระเพื่อมอย่างแรง “หากท่านบ่ขึ้นมามาหาข้า ท่านคงต้องเป็นเจ้าโหงต่อไปตลอดกาล”

ไม่นานเจ้าโหงก็ปรากฏตัวขึ้นกลางลำน้ำโขง ก่อนลอยตัวมายืนอยู่บนฝั่งใกล้ๆ กับแม่เฒ่า เผยให้เห็นว่าเป็นพญานครอินทร์ ผู้ที่เคยประสิทธิ์ประสาทวิชาดาบอาทมาฏให้แก่คูน แท้จริงแล้วเขานั่นเองที่เป็นเจ้าโหง

“นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว แม่เฒ่าไม่เห็นจะทำตามคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้เลย” ท่านพญานครอินทร์ตำหนิแม่เฒ่าต้วนก่อนเบาเสียงลง “หวังว่าแม่เฒ่าคงจะเข้าใจข้า”

“เมื่อหลายร้อยปีก่อน ท่านเดินทางมารบไกลถึงนี่แล้วสิ้นใจลงที่ลำน้ำโขง จนกลายเป็นเจ้าโหง” แม่เฒ่าจ้องเขม็งไปที่ดวงตาของพญานครอินทร์ “มีใครหน้าไหนยื่นมือเข้ามาช่วยท่านอยู่บ่ ถ้าบ่แม่นข้า…กะอีแค่รออีกสักหน่อย นี่ถึงกับอดทนบ่ได้จนต้องฆ่าคนเลยอย่างนั้นหรือ” แม่เฒ่าเดินเข้าไปใกล้ๆ “ทั้งลักพาตัวแม่หญิงยี่สิบกว่าคน ทั้งล่มเรือในมื้อแห่พระข้ามโขง ท่านคิดดีแล้วเหรอ…ที่สิขู่ข้าด้วยวิธีแบบนี้”

“ข้าไม่ได้ฆ่าคนอย่างที่ท่านกล่าวมา แม่หญิงพวกนั้นตายกันเอง…”

“ตายเองจากสิ่งที่ท่านเป็นผู้ก่อให้มันเกิด” แม่เฒ่าตวาดเสียงออกไป “แล้วมันต่างกันยังไงกับการฆ่าคน แล้วพวกเขาต้องกลายไปเป็นผีโหงเยี่ยงท่านตลอดไปอย่างงั้นหรือ”

“ใจเย็นก่อนเถิดแม่เฒ่า…”

“สิให้ใจเย็นได้แนวใด คนที่ท่านเพิ่งฆ่าไปหมาดๆ นางสิเป็นคนช่วยให้ท่านและบริวารมีอิสรภาพ ท่านฮู้ตัวบ้างบ่…ว่าเฮ็ดหยังลงไป ข้าต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดด้วยการหาคนใหม่มาแทน”

“ไม่ได้นะ” พญานครอินทร์รู้สึกวิตกกังวล “ข้าเหลือเวลาเพียงแค่สี่วัน หากผ่านสี่วันนี้ไป ข้าคงต้องเป็นเจ้าโหงไปตลอดกาล คำสาปร้ายจะคงอยู่ถาวร แม่เฒ่าต้องรีบหาทางช่วยข้าให้ได้นะขอรับ”

“หากบ่ทัน ท่านกะยังคงมีอีกโอกาสอยู่ คือการรอให้คนที่ท่านรักจดจำท่านให้ได้ นี่กะเป็นอีกวิธีหนึ่งบ่แม่นติ ที่สิลบคำสาปการเป็นเจ้าโหงได้”

พญานครอินทร์ส่ายหน้าพร้อมทำหน้าละห้อย “ข้าไม่เคยมีคนรักหรอก ตอนมีชีวิตอยู่นั้น ข้ามีแต่จิตใจปกป้องบ้านเมือง หาได้มีเวลาไปมีรักแท้กับใครเลย ให้หาดวงวิญญาณด้วยจิตบริสุทธิ์มารับหน้าที่แทนยังจะง่ายกว่า”

“งั้นกะยังพอเวลา ข้ามีวิธี” แม่เฒ่าหันกลับไปมองลำน้ำโขง “ท่านต้องปลดปล่อยดวงวิญญาณของจำปีขึ้นมา แล้วให้นางได้มีความทรงจำดังเดิม ข้าจะใช้นางนำตัวตายตัวแทนมาให้แก่ท่าน”

“ได้สิ” พญานครอินทร์ยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ “ข้าสัญญาว่าจะไม่ยุ่งวุ่นวายอีก ขอแค่ภายในสี่วันนี้ ข้ากับโหงทั้งหมดจะเป็นอิสรภาพกันสักที”

หลังจากเจรจากับเจ้าโหงหรือพญานครอินทร์เสร็จสิ้น แม่เฒ่าต้วนก็รีบตวัดตัวเดินทางกลับเฮือนทันที ปล่อยให้เจ้าโหงยืนยิ้มผู้เดียวต่อไป

นี่เป็นคำมั่นสัญญาที่แม่เฒ่าต้วนใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยนเพื่อให้พญานครอินทร์มาช่วยสอนวิชาดาบอาทมาฎให้แก่คูน แม่เฒ่าเชื่อว่าวิชานี้จะสามารถช่วยให้คูนล้างแค้นให้กับพ่อตีบและแม่จูมได้ แลกกับการต้องหาดวงวิญญาณจิตบริสุทธิ์มาเป็นเจ้าโหงแทนพญานครอินทร์

หากทำสำเร็จดวงวิญญาณทั้งหลายที่ตายแล้วกลายเป็นผีโหงในช่วงที่พญานครอินทร์เป็นเจ้าโหงอยู่นั้น ก็จะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสรภาพ ได้ไปเกิดในภพภูมิหน้าต่อไป โดยต้องหาคนที่เต็มใจจะมอบดวงวิญญาณด้วยจิตอันบริสุทธิเพียงหนึ่งคน แล้วผีโหงหลายตนจะได้พ้นจากคำสาปได้ ซึ่งเจ้าโหงตนใหม่ที่จะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำก็ต้องทำแบบนี้เป็นวัฏจักรต่อไปไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้นอย่างน่าเวทนา

แต่แล้วแผนการทุกอย่างของแม่เฒ่าต้องพังลง เพียงเพราะพญานครอินทร์ร้อนรนคิดว่าแม่เฒ่าต้วนลืมคำมั่นสัญญาเสียแล้ว จึงหาทางก่อกวนทางอ้อมเพื่อตักเตือนแม่เฒ่าว่าห้ามลืมตน…

จำปีเป็นดวงวิญญาณที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองนั้นเสียชีวิต เธอเดินอยู่กลางถนนภายในหมู่บ้านอย่างโดดเดี่ยวตั้งแต่จากริมน้ำแล้ว ดึกดื่นคืนนี้เงียบเหงามาก เหลียวมองหาใครๆ ก็ไม่มีใครเดินผ่านมา แลมองหาพ่อชายขี่ม้าลาดตระเวนก็ไม่เห็นจะมีเลยสักคน เธอคิดว่าตอนนี้คงจะดึกมากแล้ว ผู้คนจึงพากันหลับใหลไปหมด

“ชาวบ้านคงนอนกันหมดแล้ว” จำปีรำพึงรำพันก่อนหยิบดอกจำปีที่ทัดหูอยู่นั้นออกมาดู “ป่านนี้อ้ายคูนคงหลับแล้วเหมือนกัน” ยกดอกจำปีขึ้นมาดอมดม “แปลกจัง เป็นหยังมันคือบ่มีกลิ่นหอมเลย”

“สิมีกลิ่นได้ยังไง ดอกนั่นถูกเด็ดมาตั้งหลายมื้อแล้ว” ติ้วยืนอยู่ข้างของจำปี ในมือของเธอถือโคมไฟที่มีจุดเทียนเอาไว้ด้านใน

“นั่นใคร” จำปีเหลียวหลังหันไปหาเสียงนั่นก่อนแสดงสีหน้าตกใจกลัวออกมานิดหน่อย “เอื้อยติ้วนั่นเอง นี่เอื้อยมาตั้งแต่ตอนไหนกันจ๊ะ”

“ข่อยสิมาตอนไหนบ่สำคัญ ว่าแต่เจ้ามาเฮ็ดหยังบนนี้ เป็นหยังคือบ่ลงไปอยู่ใต้โขง” ติ้วเดินสวนจำปี แล้วหันหน้าไปพูดคุยซึ่งๆ หน้า “จำปี…เจ้าเห็นเงาเจ้าของอยู่บ่”

“เงาข่อยหรือจ๊ะ” จำปีเหลียวหาเงาตัวเอง กลับไม่เจอเลย ทั้งที่แสงของพระจันทร์คืนส่องแสงสว่างไปทั่วบริเวณ เธอจึงหันมองติ้วว่ามีเงาหรือไม่ ปรากฏว่ามี “เป็นหยังข่อยคือบ่มีเงา แล้วเป็นหยังเอื้อยคือมี”

“กะเอื้อยบ่แม่นผีแล้ว เอื้อยเป็นคนกะเลยมีเงายังไงล่ะจ๊ะ” ติ้วหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ ในขณะที่ความมึนงงกลับตีวนเข้ามาในหัวของจำปี จนเธอคิดว่านี่อาจเป็นเพียงความฝัน “มันบ่แม่นความฝันเด้อน้องหล่า มันคือความจริง” ยื่นโคมไฟให้จำปีจับ “ลองจับโคมไฟนี่เบิ่ง ถ้าจับได้กะแม่นคน ถ้าจับบ่ได้กะเป็นผี นับว่ายังโชคดีหลายเด้อที่เบื้องบนยังให้ผีย่างบนเฮือนได้ แต่กะยังโชคร้ายอยู่หลายที่เบื้องบนให้จับสิ่งของบ่ได้”

จำปีไม่เข้าใจว่าทุกอย่างที่ติ้วพูดหมายความว่าอย่างไร ทำไมจู่ๆ ต้องเอาโคมไฟยื่นมาทดสอบเธอด้วย “ได้…งั้นข่อยสิลองเบิ่ง” เธอยื่นมือไปจับโคมไฟ ปรากฏว่ามือของเธอทะลุผ่านมันได้ แม้จะลองดูหลายๆ ครั้งแล้ว มันก็ยังเป็นเหมือนกับครั้งแรก “บ่แม่น…เป็นหยังข่อยคือจับมันบ่ได้ล่ะ”

“ถ้ายังบ่เชื่อ กะลองย่างผ่านตัวข่อยเบิ่งติล่ะ” ติ้วท้าให้พิสูจน์อีกครั้งด้วยการให้จำปีเดินผ่านร่างกายของเธอ

“ได้สิ” จำปีรวบรวมความกล้าด้วยการหายใจเข้าลึกๆ แต่แปลกใจมากที่ตนไม่รู้สึกว่ามีลมผ่านเข้าไปในจมูกเลย แต่เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เธอตัดสินใจเดินผ่านร่างกายของติ้วทันที ผลปรากฏว่าเธอสามารถเดินผ่านไปได้อย่างฉลุย “เกิดหยังขึ้น เป็นหยังข่อยถึงจับสิ่งของบ่ได้ แถมยังย่างฝ่าร่างกายเอื้อยได้ล่ะ” ยกมือตัวเองขึ้นมามองแล้วเห็นสภาพร่างกายตัวเองเป็นเงาทึบแสง

“เจ้าตายแล้ว จำปีคนงาม” ติ้วถอนลมหายใจออกมา “เจ้าตายแล้วอีหลีเด้อ ศพเจ้ากะเผาแล้ว”

“ข่อยเป็นหยังตายล่ะเอื้อย” จำปีหันหน้ากลับมาหาติ้วด้วยความสงสัย “แล้วตายตอนไหน”

“เจ้าตกน้ำตายตอนงานแห่พระข้ามโขง จำได้บ่ว่าเจ้าของตกน้ำ”

ภาพความทรงจำในเหตุการณ์วันนั้นผุดขึ้นมาในหัว จนจำปีถึงกับต้องเอามือขึ้นมากุมขมับตัวเองแล้วนั่งยองๆ ลงไป ไม่นานน้ำตาก็ไหลอาบแก้มพร้อมกับกับความรู้สึกที่จมดิ่งสู่หลุมดำ “อีกบ่กี่มื้อข่อยกะได้แต่งงานแล้ว ข่อยยังตายบ่ได้”

“นี่แหละคือเหตุผล เป็นหยังเวลาตายถึงต้องถูกลบความทรงจำ” ติ้วบ่นพึมพำออกมาลอยๆ ก่อนเงยหน้ามองขึ้นฟ้า “ฝากเบิ่งแยงกฎข้อนี้แหน่เด้อ ผู้อยู่เทิงฟ้านั่น”

จำปีเงยหน้าขึ้นไปมองติ้ว “แล้วอ้ายคูนรู้เรื่องอยู่บ่เอื้อย”

ติ้วหันหน้ากลับลงมามองหน้าจำปีอย่างน่าสงสาร “เขารู้กันหมดหมู่บ้านแล้ว งานศพจัดอย่างงามหลายเด้อ” จำปีสั่นหัวคล้ายเจ้าเข้า “เจ้าเห็นแล้ว คือสิอิ่มเอมใจหลาย ยามตายคนกะแพงเจ้าหลายป่านหยัง”

“แล้วมีใครตายอีกบ่จ๊ะ แม่ล่ะ จำปาล่ะ มีใครเป็นหยังอยู่บ่”

“บ่มีเลย…มีแต่เจ้าคนเดียวที่ตาย จำปามันกระโดดลงไปช่วยเจ้าอยู่เด้อ แต่จักเป็นหยังบักคูนมันถึงลงไปช่วยจำปาขึ้นมา แทนที่สิช่วยเจ้าขึ้นมาก่อน” ติ้วลงไปนั่งยองๆ ใกล้กับจำปี “แต่คนที่ลงไปช่วยเจ้า กะคือพ่อเจ้านั่นละ แต่ช่วยบ่ทัน เจ้าดันมาตายเสียก่อน”

จำปีร้องไห้เสียงดัง เธอรู้สึกเวทนาตัวเองมากที่ต้องมาเสียชีวิตไปแบบนี้ “แล้วข่อยสิอยู่แนวใดต่อไปล่ะเอื้อย ชีวิตข่อยคือมาโศกมาเศร้าแท้ล่ะ แต่งงานกะยังบ่ทันได้แต่ง ผัวกะยังบ่ทันมี บุญกะยังบ่ทันได้สร้าง เป็นหยังข่อยคือต้องมาตายไปตั้งแต่น้อยๆ แบบนี้ ชีวิตยังใช้บ่คุ้มค่าเลย” หลังจากนั้นเธอก็ร้องไห้ดังลั่นให้กับโชคชะตาที่ไม่เห็นใจกันบ้างเลย ทั้งยังไม่รู้ว่าชีวิตหลังความตายต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไปเช่นไรด้วย

ติ้วลุกขึ้นยืนพร้อมกับถือโคมไฟไว้ในมือ “ร้องไห้ออกมาเถิดจำปี ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องฮู้เอาไว้ ไหนๆ กะตายไปแล้ว ฮู้ไว้กะดี”

จำปีปาดน้ำตาตัวเองก่อนลุกยืนขึ้น “รีบบอกมาเถิดเอื้อย ยังต้องมีเรื่องหยังอีกที่ทุกข์ใจไปกว่าฮู้ว่าเจ้าของตายแล้ว”

“พ่อชายที่เจ้าสิแต่งงานนำนั้น” ติ้วก้มหน้าเข้าไปข้างๆ หูของจำปีเพื่อกระซิบ “มันบ่เคยมักเจ้าเลย มันมักน้องสาวเจ้ามาตลอด เจ้ามันกะแค่หมากก้อนหนึ่งที่สิเขวี้ยงไปทางใดกะได้”

จำปีตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ “บ่แม่น อ้ายคูนมักข่อยคนเดียว”

“ถ้ามันมักเจ้าอีหลี เป็นหยังจำปาถึงได้มาแต่งงานแทนเจ้าล่ะ พ่อชายกะชั่ว แม่หญิงกะเลว ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันหลาย เจ้าน่ะมันรอดพ้นแล้ว อย่าไปคิดเสียดายเลย”

“ข่อยบ่เชื่อเอื้อยหรอก จำปาบ่มีทางเฮ็ดแบบนั้นได้หรอก อีกอย่างอ้ายคูนเป็นคนขอข่อยแต่งงานเองกับปากต่อหน้าชาวบ้าน” จำปีขึงตาแข็งกร้าว “เดี๋ยวข่อยสิไปถามความจริงกับจำปาเอง”

ในขณะที่จำปีกำลังจะก้าวเท้าเดินตรงไปข้างหน้าเพื่อกลับเฮือน เสียงหัวเราะของติ้วก็ดังขึ้นด้วยความสะใจให้กับความโง่เขลาของดวงวิญญาณนี้ที่มีมากเหลือเกิน เสียงหัวเราะคล้ายกับคนบ้าดังขึ้นไม่หยุดจนจำปีต้องหยุดเดินแล้วหันหน้ากลับมามองด้วยความแปลกใจ

“หยุดหัวเราะแบบนั้นเดี๋ยวนี้” จำปีตะคอกเสียงออกไปด้วยความโกรธ เธอไม่ชอบเสียงหัวเราะแบบนี้เลย มันให้ความรู้สึกเหมือนถูกเยาะเย้ย “ถ้าบ่หยุด ข่อยสิไปบอกทุกคนว่าเอื้อยเป็นบ้า”

“บอกทุกคนอย่างงั้นหรือ” ติ้วหยุดหัวเราะแล้วเดินเข้าไปหาจำปี “บอกทุกคน แล้วใครสิได้ยิน เจ้าเป็นผีโหง คนพวกนั้นบ่มีทางได้ยินหรือสนใจเจ้าหรอก” ติ้วเบาเสียงลงเพื่อเน้นความน่าเชื่อถือว่าสิ่งที่พูดอยู่นี้ มันคือเรื่องจริง “อย่าลืมสิ…เจ้าตอนนี้กับตอนนั้นมันต่างกันแล้ว ยิ่งเป็นผีโหงแบบนี้ กะบ่ต่างหยังกับหมาจรจัด แม้แต่หนังหน้า…ยังบ่มีใครอยากสิมองเลย”

“เอื้อยพูดหยัง ข่อยบ่เห็นสิเข้าใจเลย”

“เจ้ามันเคยอยู่ที่สูงมาก่อน สิไปเข้าใจชีวิตที่ถูกกดให้ต่ำได้ยังไง” ติ้วแสยะยิ้มที่มุมปากก่อนหันหลังให้ “ดีคือกันที่เจ้าต้องกลายมาเป็นผีโหง สิได้ฮู้ความจริงข้อหนึ่งว่า…ผีอย่างเฮา คนเหล่านั้นกะฮู้แค่ว่ามี แต่มันกะมองบ่เห็นเฮาคือเก่า ถ้าคนมองเห็นและหยุดกลัวพวกเฮากะดีนะ ชีวิตจะได้มีสีสันขึ้นบ้าง”

หลังจากนั้นติ้วก็รีบเดินย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิมที่เธอเดินมา ทุกคำพูดที่พูดออกไปให้จำปีฟังนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นปมจากใจของดวงวิญญาณที่สิงสู่ในร่างของติ้ว เปรียบได้กับชีวิตของคนที่แตกต่างกันเหลือเกิน เพราะชีวิตของเธอนั้นไม่ได้มีความสุขสบายเลย ถึงตัดพ้อออกมาด้วยความน้อยใจในโชคชะตาของตัวเองเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่

แม้จำปีจะงุนงงและไม่เข้าใจในสิ่งที่ติ้วพูดสักเท่าไร แต่ในเมื่อตอนนี้กลายเป็นผีแล้ว ก็คงต้องลองไปพิสูจน์กับคนที่เฮือนก่อนว่าจะมีใครมองเห็นและพูดกับเธอได้อย่างที่เธอพูดคุยกับติ้วหรือไม่ หลังจากนั้นเธอก็รีบสาวเท้าเดินทางกลับเฮือนทันที



Don`t copy text!