โหงลำโขง บทที่  11 : แห่พระข้ามโขง (3)

โหงลำโขง บทที่ 11 : แห่พระข้ามโขง (3)

โดย : ทศพล

Loading

โหงลำโขง โดย ทศพล กับเรื่องราวของ “คูน” ชายหนุ่มผู้อาภัพ บิดามารดาถูกฆาตกรรม เขาจึงเติบโตโดยการฟูมฟักจากแม่เฒ่าต้วน ผู้หวังว่าสักวันหนึ่งคูนจะกลับไปล้างแค้นให้กับบิดามารดา และทำให้ครอบครัวของฆาตกรนั้นอยู่อย่างตายทั้งเป็น หากแต่แผนการและหัวใจสวนทางกัน คูนจะทำอย่างไร นวนิยายคุณภาพที่อ่านเอานำมาให้คุณอ่านใน anowl.co

 “จำปีลูกแม่” แม่จำปูนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เธอค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้นดินทั้งน้ำตา เธอร้องไห้ทุรนทุรายไปพร้อมกับคลานเข่าเข้าไปสัมผัสใบหน้าของจำปี “ดวงใจของแม่จากไปแล้ว” สองมือคว้าร่างของลูกสาวมากอดเอาไว้กับพร้อมกับความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกดาบทิ่มแทงจนบาดเจ็บปางตาย

จำปาร้องไห้แทบใจจะขาด เธอส่ายหน้ารับไม่ได้ที่ต้องมาสูญเสียพี่สาวไปในเหตุการณ์นี้ ถึงแม้ในช่วงวัยเด็กทั้งคู่มักทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างตามประสาเด็กน้อย แต่เธอก็รักและเป็นห่วงความรู้สึกพี่สาวคนนี้เสมอ เห็นได้ชัดจากการที่เธอยอมเสียสละและรับผลร้ายต่างๆ นานาแทน

ส่วนชาวบ้านหลายคนที่เคยผูกพันกับจำปีมาตั้งแต่เด็กก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาด้วยความเศร้าโศกเสียใจไปตามๆ กัน โดยเฉพาะป้าจำเนียน นับจากนี้ไปคงไม่มีแล้วรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของแม่หญิงที่มีนามว่า ‘จำปี’

คูนนั่งคุกเข่าลงกับพื้นไปด้วยความเสียใจ เขาไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงไม่รู้สึกสะใจเลย ในเมื่อได้เห็นคนที่ฆ่าพ่อแม่ตัวเองได้ตกมาอยู่ในชะตากรรมของการสูญเสียคนอันเป็นที่รักยิ่งไปบ้าง เขากลับรู้สึกสงสารครอบครัวนี้เสียด้วยซ้ำ เขาควรที่จะรู้สึกดีใจสิถึงจะถูกต้อง ในเมื่อได้ล้างแค้นให้กับพ่อตีบและแม่จูมได้แล้วหนึ่งก้าว นั่นคือการทำให้คนชั่วได้พบกับความทุกข์ใจ ถึงแม้ว่าการตายของจำปีจะไม่เกิดจากฝีมือของเขาเองก็ตาม

เนื่องจากเกิดเหตุไม่คาดคิดเช่นนี้ขึ้น พิธีน้อมถวายหลวงพ่อพระสานแก่วัดในถ้ำ จึงถูกยกเลิกไปอย่างกะทันหัน เพราะชาวบ้านทั้งหลายต่างขวัญหนีดีฝ่อและตกอยู่ในสภาพของความเศร้าต่อสถานการณ์นี้กันเสียหมด

หลังจากนั้นทุกคนก็ทยอยแยกย้ายกันกลับเฮือนของตัวเอง มีเพียงคนสนิทของท้าวคำมั่นเท่านั้นที่ยังอยู่คอยช่วยเคลื่อนย้ายศพของจำปีขึ้นบนเกวียน เพื่อนำกลับไปประกอบพิธีกรรมที่เฮือนต่อไป

 

3 วันผ่านไป

ยามนี้ดวงตะวันใกล้คล้อยต่ำลาลับขอบฟ้า ณ บริเวณลานกว้างทางด้านทิศตะวันตกของท้ายหมู่บ้าน ซึ่งติดกับลำน้ำโขง สถานที่แห่งนี้มีไว้ขึ้นเพื่อประกอบพิธีกรรมเผาผีหรือเผาศพ

ชาวบ้านเลือกสวมเสื้อขาวหรือดำ แม่หญิงจะนิยมใช้ผ้าเบี่ยงสีขาว (สไบเฉียง) ซึ่งเป็นผ้ายาวประมาณ 1 วา มาพาดเฉวียงไหล่ ในทุกครั้งที่มีพิธีเผาผีเกิดขึ้น ทุกคนจะถือมีดปาดหมากหรือพร้าที่ตนมีมาตัดเอากิ่งไม้แห้งตามข้างทางไปร่วมพิธีเผาผีด้วย เพราะคนที่นี่เชื่อว่าการทำเช่นนี้เป็นการช่วยส่งดวงวิญญาณผู้ตายกลับสู่เมืองฟ้าเมืองแถน

ก่อนที่จะนำร่างของจำปีมานอนราบบนกองฟอนเพื่อเป็นเชื้อไฟเผาผี ชาวบ้านได้สร้างกองฟอนโดยนำท่อนไม้ลำใหญ่เท่าขา ยาวประมาณวาเศษๆ มาเรียงเป็นชั้นๆ กองสูงระดับหน้าอกของผู้ใหญ่ โดยเรียงให้มีความโปร่ง ไม่ให้ท่อนไม้เบียดอัดกันแน่น เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้ไฟดับลงได้

ศพของจำปียังคงงดงามเหมือนครั้งมีชีวิต ผ้าขาวผืนงามที่ห่มร่างของเธอเอาไว้ มองแล้วคล้ายกับคนนอนหลับตา โอ้หนอ…อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ชีวิตนี้ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ชีวิตนี้ล้วนเป็นทุกข์ ชีวิตนี้ไม่ใช่ตัวตน เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับสูญสลายไปเป็นธรรมดา

หลังจากนั้นชาวบ้านก็นำท่อนไม้หรือกิ่งไม้ที่ตัดมาวางตามกองฟอน พอใกล้จะถึงเวลาเผาผี ท้าวคำมั่นก็ประคองไหล่ของแม่จำปูนเดินไปดูหน้าลูกเป็นครั้งสุดท้าย คนเป็นพ่อพอที่จะทำใจได้บ้างแล้ว แต่คนเป็นแม่กลับยังร้องไห้ออกมาไม่หยุด ก่อนยื่นมือไปลูบใบหน้าของลูกสาวเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก

พอพ่อกับแม่ไว้อาลัยเสร็จ จำปาจึงค่อยๆ ก้าวเท้าไปยืนใกล้กับกองฟอน เธอมองดูจำปีด้วยความเศร้าใจเป็นอย่างมาก พี่สาวฝาแฝดเพียงคนเดียวกลับต้องมาด่วนจากไปโดยไม่มีการบอกลากันเลยสักคำ เป็นใครก็ยากที่จะทำใจได้ เธอจดจ่ออยู่กับการไว้อาลัยพี่สาวจนไม่รู้ว่าตอนนี้มีใครบางคนก้าวเข้ามายืนข้างๆ เธอ

“เฮาสองคนเฮ็ดทุกวิถีทางเพื่อรักษาชีวิตจำปีเอาไว้แล้ว อ้ายยอมแต่งงานกับจำปีกะเพื่อน้อง” คูนหันไปมองหน้าจำปา “แล้วบอกอ้ายได้บ่ นับต่อจากนี้ไปอ้ายต้องเฮ็ดหยังอีก”

“วาสนาอยู่ร่วมกันน้อยเกินไปอีหลี แม้ว่าเฮาสองคนสิเป็นฝาแฝดที่เหมือนกันหลายแค่ไหน แต่ข่อยกับเอื้อยกะมีความต่างกันอยู่” จำปาหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อหวนคิดถึงเรื่องราวระหว่างเธอและจำปี “เอื้อยเป็นแม่หญิงเรียบร้อยอ่อนหวาน แต่ข่อยนั้นตรงกันข้ามกับเอื้อยทุกอย่างเลย” เธอชมชายตามองคูน “ถูกต้องแล้วที่อ้ายต้องแต่งงานกับจำปี”

คูนหยิบดอกจำปีออกมาจากผ้ามัดเอว “ดอกจำปีนี้สวยงามและมีกลิ่นหอมหลาย จำปีชอบมันมาก จึงมักจะนำมาแซมผมอยู่ทุกมื้อ” เขานำดอกจำปีไปทัดไว้ที่หูของจำปีก่อนหันไปพูดกับจำปา “แต่อ้ายชอบกลิ่นดอกจำปาหลายกว่าเด้อ”

จำปาเบิกตากว้างขึ้นจ้องมองตากันกับคูน หัวใจของเธอเหมือนถูกฟื้นฟูให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าในหัวใจของพ่อชายที่ยืนอยู่ข้างๆ นั้นมีเพียงเธอคนเดียวมาโดยตลอด หลังจากนั้นทั้งสองก็พากันเดินออกจากกองฟอนนี้ เพื่อเข้าสู่พิธีเผาต่อไป

 

เมื่อทำการสวดพระอภิธรรมศพเสร็จ หลวงปู่ลิ้นก็เดินมายืนหน้ากองฟอนพร้อมกับพระสงฆ์อีก 7 รูป ท่านจะเป็นผู้จุดไฟที่กองฟอนก่อนพาพระสงฆ์ทั้งหมดเดินออกมายืนในจุดที่ชาวบ้านเตรียมไว้

หลังจากเห็นเปลวไฟจากกองฟอน คนที่มีหน้าที่จุดพลุตะไล (1) ก็จุดพลุขึ้นจากที่ห่างไกลผู้คน แล้วตามด้วยตะไล ผู้เฒ่าบางคนพอได้ยินเสียงพลุ ต่างพากันยกมือท่วมหัวแล้วกล่าวว่า ‘สาธุ เกิดชาติหน้าขอให้ดังคือพลุด้วยเทอญ’ การจุดพลุเปรียบเป็นการเบิกทาง ส่วนการจุดตะไลนั้นทำเพื่อส่งดวงวิญญาณขึ้นสู่สรวงสวรรค์

บัดนี้ เปลวเพลิงได้เผาร่างของจำปีมลายสิ้น ท่ามกลางความไว้อาลัยของบรรดาญาติพี่น้องและชาวบ้าน คงเหลือไว้แต่เพียงแต่คุณงามความดีประดับไว้ให้รำลึกถึงกันเท่านั้น

แม่เฒ่าต้วนยืนมองดูงานเผาผีจากที่ไกลๆ สายตาของแม่เฒ่าจ้องดูทุกคนด้วยความสงสัยที่ต้องหาคำตอบให้ได้ เพราะเธอเชื่อว่าการตายของจำปีในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากการกระทำของธรรมชาติ ต้องมีใครสักคนในนี้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน ครั้นพอเหลือบไปเห็นหลวงปู่ลิ้น แม่เฒ่าก็รีบตวัดตัวเดินชักไม้เท้ากลับเฮือนทันที โดยที่ยังหาไม่เจอว่าใครกันที่ต้นเหตุของความตายนี้

 

เชิงอรรถ : 

(1) พลุตะไล คือ ดอกไม้ไฟชนิดหนึ่งที่ใช้จุดในงานศพ มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ เพราะเป็นความเชื่อที่ว่า วิญญาณของคนตายจะได้ไปสู่สวรรค์ ลักษณะของพลุมีปีกเป็นวงกลม ทําด้วยกระบอกไม้ไผ่บรรจุดินปืนที่ทําด้วยดินประสิวกับถ่านไม้และตอกให้แน่น มีรูชนวนสําหรับจุด



Don`t copy text!