พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 5.1 : วิหารฟ้าคะนอง

พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 5.1 : วิหารฟ้าคะนอง

โดย : พงศกร

Loading

พยับฟ้าพโยมดิน นวนิยายจากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อน้องชายฝาแฝดหายตัวไปอย่างลึกลับในหมู่บ้านกลางหุบเขาของภูฏาน เขาจำเป็นต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อตามหาก่อนที่จะสายเกินไป เขาต้องยอมรับความช่วยเหลือจากนารีญาหญิงสาวที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาตั้งแต่แรกเจอพ่วงไปด้วย เธอคนนี้อาจเป็นคนเดียวที่ไขปริศนาต่างๆ และพาเขาไปพบกับน้องชายได้

“หนูไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมเราต้องวิ่งวุ่นวายไปตามหาภาพเขียนดอกไม้ทิพย์ เพื่อจะไปซัมเซ” นารีญาส่ายหน้า พวกเธอกำลังนั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อของเยชิ ไต่ลัดเลาะไปตามไหล่เขา มุ่งหน้าไปยังวิหารเก่าแก่ “จะไปซัมเซ…ก็ไปเลยสิคะ”

“พื้นที่ของซัมเซ กว้างเท่ากับภาคเหนือของประเทศไทยทั้งภาค” อัญญาวีร์อธิบาย “การจะเดินทางไปที่นั่นแบบเดาสุ่ม มีโอกาสสูงมากที่เราจะไม่พบตัวล่องเมฆ”

“เราต้องเตรียมตัว” คินเซช่วยเสริม “เพราะครั้งนี้เราไม่ได้ไปเที่ยว แต่เราจะไปตามหาคน ภาพเขียนดอกไม้ทิพย์จะช่วยจำกัดให้ขอบเขตของการตามหาแคบลง”

“หายตัวไปตั้งนาน” หญิงสาวทำเสียงอุบอิบในลำคอ “ถ้ายังอยู่ดี น่าจะหาทางติดต่อมาแล้ว ปล่อยให้คนเขาเป็นห่วงอยู่ได้”

“เพราะอย่างนี้ไงครับ เราถึงต้องไปตามหา ปกติแล้วล่องเมฆกับผมไม่เคยขาดการติดต่อกัน…นี่ผิดปกติจริงๆ อย่างที่คุณว่า” ลิ่วลมถอนใจยาว สีหน้าไม่ค่อยดีนัก คำพูดของนารีญาเพิ่มความกังวลให้กับเขาขึ้นมาอีกหลายเท่า

“ขอโทษนะคุณ” นารีญาเพิ่งรู้ตัว เธอเอื้อมมือไปแตะแขนเขาเบาๆ พึมพำเสียงอ่อน “ฉันไม่ได้จะพูดให้คุณรู้สึกไม่ดี”

“ไม่เป็นไร” ลิ่วลมพึมพำ “คงเกิดอะไรสักอย่างขึ้นกับล่องเมฆอย่างที่คุณกำลังนึกสงสัยนั่นละ เขาถึงเงียบหายไปแบบนี้”

“ซัมเซเป็นพื้นที่ห่างไกล” เยชิฟังภาษาไทยออก “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องโทรศัพท์เลย…บางหมู่บ้านยังไม่มีไฟฟ้าใช้ด้วยซ้ำ”

“ไม่ต้องห่วงนะคะ” คินเซปลอบใจ “อย่างน้อยพอไปถึงที่นั่น เราคงได้เบาะแสน้องชายของคุณ…ฉันมีคนรู้จักอยู่ที่ซัมเซหลายคน พวกเราสัญญาว่าจะช่วยให้ถึงที่สุด”

“ขอบคุณครับ” ลิ่วลมเอ่ยเสียงแผ่วเบา ก่อนที่ทุกคนจะนิ่งเงียบไป

รถยังคงลัดเลาะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ลิ่วลมรู้สึกหูอื้อจนต้องยกมือขึ้นบีบจมูก ส่งน้ำมูกแรงๆ เพื่อช่วยเคลียร์ความดันในช่องหู

เขาหลับตานิ่ง พยายามรวบรวมสมาธิ ลองสื่อสารกับล่องเมฆอีกครั้ง หากทุกอย่างมีแต่ความว่างเปล่า

ความว่างเปล่าเช่นนี้ มีมาตั้งแต่ก้าวแรกที่เขาเหยียบแผ่นดินภูฏาน จนกระทั่งบัดนี้…

ลิ่วลมรู้สึกใจหาย สัญชาตญาณของฝาแฝดบอกว่าล่องเมฆกำลังตกอยู่ในอันตราย แต่น้องของเขายังมีชีวิตอยู่…นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ลิ่วลมมั่นใจ

หลายวันที่ผ่านมา เขาคอยโทรส่งข่าวให้พ่อและแม่รู้เป็นระยะ รวมถึงรินดาราด้วย สรุปให้ฟังสั้นๆ ถึงความคืบหน้าในการติดตามหาล่องเมฆ ยังไม่มีอะไรคืบหน้ามากมายนัก จนกว่าจะไปถึงซัมเซนั่นละ

ครอบครัวของเขาพี่น้องรักกันเหนียวแน่น การหายตัวไปของล่องเมฆสร้างความกังวลใจให้กับทุกคน พี่สาวของเขา…รินดารา แต่งงานและใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่น

รินดาราย้ำกับน้องชายว่าเธอและสามีพร้อมจะบินมาภูฏานทันที ถ้าหากลิ่วลมต้องการ พี่เขยของเขา – อาคิระ รู้จักกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลภูฏานหลายคน สามารถขอความช่วยเหลือได้ แต่ลิ่วลมคิดว่ายังไม่จำเป็นขนาดนั้น

แม้จะเป็นเวลากลางวัน หากอากาศรอบกายกลับยะเยือกเย็น อาจเพราะว่ารถแล่นสูงขึ้นไปจนเทียมเมฆ นารีญาเหลือบมองไปรอบกายด้วยความตื่นเต้น ปุยเมฆสีขาวสะอาดละล่องลอยอยู่โดยรอบ เพียงแต่เปิดกระจกรถเอื้อมมือออกไปก็คงจะสัมผัสได้

เยชิเล่าว่าวิหารฟ้าคะนองเป็นวิหารเก่าแก่ อายุหลายร้อยปี นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จัก อาจเพราะเดินทางมายาก คนที่มาเที่ยวภูฏานแค่ไม่กี่วันจึงเลือกจะเดินทางไปที่อื่นมากกว่า

แต่สำหรับคนท้องถิ่นแล้ว วิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เป็นสถานที่ซึ่งผู้คนให้ความเคารพนักถือเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคนที่ทำอาชีพด้านเกษตรกรรมจะนิยมขึ้นมากราบไหว้เทพเจ้าที่ดูแลฟ้าดิน เพื่อขอพรให้ฝนตกตามฤดูกาล น้ำท่าอุดมสมบูรณ์

ที่วิหารแห่งนี้ได้ชื่อว่า ‘ฟ้าคะนอง’ เพราะตั้งอยู่บนยอดเขาสูง ในยามฤดูที่ฝนฟ้าคะนอง วิหารจะยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางสายฟ้าที่แลบแปลบปลาบ ดูแล้วเต็มไปด้วยความลึกลับน่าค้นหา

รถคันใหญ่เร่งเครื่องจนมาจอดอยู่บนลานกว้าง ตรงนั้นมีม้าให้เช่าขี่อยู่ฝูงใหญ่ เยชิหันมาหาทุกคนแล้วบอกว่า

“รถมาได้ถึงแค่นี้ จากนี้เราจะต้องขี่ม้าขึ้นไปครับ”

“หา” นารีญาร้องเสียงดัง ดวงตาจ้องมองม้าตัวพ่วงพีตรงหน้า “ขี่ม้าหรือคะ…ฉันไม่เคยขี่นะ”

“ไม่ต้องกลัว” คินเซรีบบอก “คุณไม่ต้องขี่เอง…เจ้าของม้าจะเป็นคนจูงให้ค่ะ”

“แล้วไป” นารีญาถอนใจ ก่อนจะเดินตามไกด์ของเธอไปยังฝูงม้า

เจ้าของม้าเป็นชายวัยกลงคน แต่งกายด้วยชุดพื้นเมือง สีหน้าของเขาดูเป็นกังวล เยชิกับคินเซพูดอะไรยืดยาวกับชายผู้นั้น ก่อนจะเดินกลับมาทางลูกทัวร์ของเขา พร้อมกับบอกว่า

“นัมเกลบอกว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา…เกิดเรื่องขึ้นข้างบน”

“เรื่องอะไรคะ” อัญญาวีร์ถาม

“นัมเกลก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่น่าจะสำคัญพอสมควร เขาเล่าว่าช่วงเช้าตรู่…มีตำรวจขึ้นไปบนนั้นหลายคน” เยชิส่ายหน้า “เขาเลยไม่แน่ใจว่าวันนี้วิหารจะเปิดให้คนนอกเข้าได้หรือเปล่า พวกคุณอยากลองเสี่ยงขึ้นไปไหม”

ลิ่วลมเงยหน้ามองขึ้นไปบนยอดเขา จากตำแหน่งที่ยืนอยู่เขาเห็นยอดวิหารสีน้ำตาลแดง ปรากฏอยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆขาวและท้องฟ้าใสกระจ่าง

“ลองดูครับ ถ้าไม่ให้เข้า…ก็ถือเสียว่าเราได้มาเที่ยวชมสถานที่สวยๆ แค่นี้ก็คุ้มค่าแล้วละครับ” มาจนถึงขนาดนี้แล้ว จะให้ย้อนกลับลงไปโดยไม่ได้ลอง นับว่าน่าเสียดาย

เยชิเลือกม้าสีน้ำตาลเข้มให้นารีญา มันพ่นลมหายใจเสียงดังพรืด นัยน์ตาใสแจ๋วราวลูกแก้วจ้องมองหญิงสาวชาวไทยด้วยความสนใจ นารีญาหยิบโทรศัพท์มาถ่ายเซลฟี่ตัวเองกับม้า ก่อนจะยื่นให้กับลิ่วลมแล้วสั่งเขาว่า

“ถ่ายให้ฉันหน่อย”

“อีกแล้วเหรอ” ลิ่วลมส่ายหน้า หากก็รับเอาโทรศัพท์มือถือไปแต่โดยดี เขาเดินหามุมและกดถ่ายภาพให้จนนารีญาพอใจ

“ฝีมือดีขึ้นเยอะเลยนี่…ดูมีพัฒนาการใช้ได้” เธอตรวจดูภาพอย่างพอใจ “ขอบคุณนะคะ”

ลิ่วลมส่ายหน้า แล้วเดินไปกระโดดขึ้นหลังม้าของตัวเอง

จากนั้น…ม้าทั้งห้าตัวก็ค่อยๆ เดินตามกันไปบนถนนแคบๆ มุ่งหน้าสูงวิหารที่ตั้งอยู่สุดปลายทาง ท่ามกลางสายลมที่แผ่วรวยรินมาเป็นระยะ…

 



Don`t copy text!