ความเชื่อ ตอนที่ 2

ความเชื่อ ตอนที่ 2

โดย : ครูก้อ เพิ่มพลังชีวิตคิดบวก

Loading

“อ่านเอาเล่าเรื่อง” คอลัมน์ที่รวมบทความจากผู้เข้าอบรมในโครงการ อ่านเอาเล่าเรื่อง ที่จัดโดยเว็บไซต์อ่านเอา โดยโครงการนี้ เป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้นำเรื่องราวที่ประทับใจของตัวเองมาถ่ายทอดในรูปแบบเรื่องเล่า และสานฝันสำหรับทุกคนที่อยากเริ่มต้นสู่เส้นทางการเป็นนักเขียน

ในบทความวันนี้ เรายังจะพูดกันถึง “ความเชื่อ” กันต่อนะคะ เพราะความเชื่อ มีผลต่อชีวิตเราทุกคนเป็นอย่างมาก ยิ่งเราเชื่อสิ่งใดมากเท่าไหร่ สิ่งนั้นก็จะกลายเป็นตัวเรา เป็นชีวิตเรามากขึ้นเท่านั้น แต่เราไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่เราเชื่อ เราสามารถเปลี่ยนได้ค่ะ

เพราะคนเรามี “ทางเลือก” ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ลองอ่านประโยคด้านล่างให้ดี ๆ นะคะ

  • เรามีความคิด แต่เราไม่ใช่ความคิด
  • เรามีความเชื่อ แต่เราไม่ใช่ความเชื่อ
  • เรามีนิสัย เรามีมุมมอง เรามี… อีกมากมายหลายหลาก
  • เรามีสิ่งเหล่านั้น แต่เราไม่ใช่สิ่งนั้น

ทีนี้มาลองให้พวกเราได้ใช้เวลากับตัวเองสักนิดหนึ่ง เขียนออกมาค่ะว่า “ความเชื่ออะไรที่ไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น?” เขียนมา 5 ข้อ เช่นเราเชื่อว่าเราไม่เก่งพอ ไม่สวยพอ อ้วนไป ผอมไป โง่ไป ดำไป ขาวไป เรียนน้อย เรียนเยอะ แก่ไป เด็กไป ค่อย ๆ คิด แล้วค่อย ๆ เขียนออกมานะคะ

พอเรารู้ว่าเรามีความเชื่อแบบไหนที่ไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น ให้เปลี่ยนความสัมพันธ์กับความเชื่อนั้น เพราะความเชื่อไม่มีดี หรือเลว มันก็เป็นได้เท่าที่ตัวมันเป็น

หากวันนี้เราเชื่อว่าเรายังไม่เก่งพอ เชื่อแบบนี้มาตลอด พฤติกรรมของเราก็จะกลายเป็นคนที่ทำอะไรไม่ค่อยได้ ไม่กล้าทำ ไม่กล้าคิดริเริ่มอะไรใหม่ ๆ เป็นแบบนั้นซ้ำ ๆ แล้วสุดท้ายเราก็จะสรุปกับตัวเองอีกครั้งว่า เห็นไหมล่ะ ก็เรามันไม่เก่งไง มันก็เป็นแบบนี้แหละ ซะงั้น

แล้วจะเปลี่ยนยังไงได้บ้าง?​ แรกเลยคือให้เราคิดตรงกันข้ามกับที่เราเชื่อ ซึ่งบอกได้เลยว่า มันจะฝืนความรู้สึกอย่างที่สุด เพราะเราเชื่อแบบที่เราเชื่อมาเนิ่นนาน แล้วอยู่ ๆ มาบอกว่าเราเป็นอีกแบบ จิตใต้สำนึกจะต่อต้านทันทีค่ะ ให้เราใจเย็น ๆ (เสียงพี่จองลอยมา) เช่นเราบอกว่าเรายังไม่เก่งพอ พอเราพูดว่าเราเก่ง จะมีเสียงลอยมาอีกว่า ไม่จริง เราไม่เก่งหรอก

ไม่ต้องแปลกใจ แต่แค่รับรู้ ไม่ตำหนิตัวเอง ไม่ต้องอายตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกผิด ไม่ต้องตัดสินตัวเอง แค่รับรู้ว่ามีความเชื่อแบบนี้ แล้วค่อย ๆ ปะเหลาะจิตตัวเองไปใหม่​ พูดซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ เหมือนการเทน้ำเปล่าลงในน้ำที่ผสมสีดำไว้ ยิ่งเทน้ำเปล่ามากเท่าไหร่ สุดท้ายน้ำสีดำนั้นก็จะกลายเป็นสีขาวได้ในที่สุด ช้า หรือเร็วขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสีดำที่ใส่ไว้ในน้ำนั้น หรือคือความเชื่อของเรามีมาเนิ่นนาน เข้มข้นแค่ไหน เราก็ต้องใช้ความเชื่อใหม่ใส่เข้าไปเจือจากให้มากเท่านั้นค่ะ

ความเชื่อเปรียบเสมือนเลนส์ที่สมองเราเห็นโลกของเรา เราเห็นโลกเป็นแบบไหน นั่นคือการสะท้อนว่าตัวเรานั่นเองมีความเชื่อในเรื่องแบบนั้น โลกวันนี้ของเราเป็นเช่นไร?​ ถ้าเห็นว่าโลกนี้อับเฉา ก็ให้หันมาดูความเชื่อของเราว่า เราเชื่อเรื่องอะไร? โลกของเราจึงได้อับเฉาแบบนั้น หรือโลกนี้ไม่ยุติธรรม เรามีความเชื่อเรื่องความยุติธรรมแบบไหนกัน โลกของเราถึงไม่ยุดิธรรมเอาซะเลย

จำไว้นะคะว่าคุณมีสมอง แต่คุณไม่ได้เป็นสมอง ถ้าเราปล่อยให้สมองมองผ่านเลนส์แห่งความเชื่อที่เรามี เท่ากับเรากำลังบิดเบือน หรือลบความจริงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ที่จะทำให้เราสำเร็จตามเป้าหมายที่ต้องการได้

ความจริงคือ เราทำสำเร็จได้ง่าย ๆ สบาย ๆ ถ้าอ่านประโยคนี้แล้วยังไม่เชื่อ ลองดูสิว่า เรามีควาเมเชื่อเรื่องความง่าย ความสบายไว้อย่างไร?​ ชีวิตนี้มันต้องยาก มันไม่ง่ายเลย ความเชื่ออะไรที่ทำให้เราเชื่อแบบนี้? คิดว่าหลายคนเริ่มเห็นความเชื่อของตัวเองที่มีแล้วนะคะ

ครั้งหน้าเราก็จะยังมาพบกับเรื่องความเชื่อกันต่ออีก มีอะไรน่าสนใจมาก ๆ ค่ะ ดีไม่ดี พออ่านเรื่องความเชื่อจบทั้ง 4 ตอน เราอาจจะเปลี่ยนความเชื่อที่ไม่ช่วยให้เราไปข้างหน้าได้ก็ได้ ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้เสมอ แล้วพบกันนะคะ

 

Don`t copy text!