![พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 9.1 : เหตุร้าย](https://anowl.co/wp-content/uploads/2024/03/04-Anowl-Fabric-8-Cover-1200x630.png)
พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 9.1 : เหตุร้าย
โดย : พงศกร
พยับฟ้าพโยมดิน นวนิยายจากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อน้องชายฝาแฝดหายตัวไปอย่างลึกลับในหมู่บ้านกลางหุบเขาของภูฏาน เขาจำเป็นต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อตามหาก่อนที่จะสายเกินไป เขาต้องยอมรับความช่วยเหลือจากนารีญาหญิงสาวที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาตั้งแต่แรกเจอพ่วงไปด้วย เธอคนนี้อาจเป็นคนเดียวที่ไขปริศนาต่างๆ และพาเขาไปพบกับน้องชายได้
“เป็นสัญญาที่แปลกประหลาดมาก” นารีญาพึมพำเมื่ออยู่ตามลำพังกับอัญญาวีร์ในห้องพักที่โรงแรม “น้าอัญว่าไหม”
“นั่นสิ” อัญญาวีร์พยักหน้า พวกเธอกลับมาจากพิพิธภัณฑ์ของเคซัง ลุนดรัปตั้งแต่หัวค่ำ หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อย ทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน เพราะเหนื่อยมาทั้งวัน “แสดงว่าผ้าผืนนี้ต้องมีความสำคัญมาก คุณเคซังถึงได้เข้มงวดขนาดนี้”
“ถ้าสำคัญแบบนั้น ทำไมถึงยอมยกให้เรามาง่ายๆ ก็ไม่รู้” นารีญายังไม่หายสงสัย
“เขายกสำเนาคัดลอกให้มาจ้ะ” อัญญาวีร์แก้ให้ถูก “ไม่ได้ยกผ้าของจริงสักหน่อย”
“นั่นแหละ” นารีญายักไหล่ “ก็ถ้ามันสำคัญขนาดนั้น…”
“คงเพราะเขาอยากช่วยน่ะสิ ให้ของจริงก็ลำบากใจ จะไม่ให้เลยก็ไม่ได้ เลยยกสำเนาที่คัดลอกลายให้มาแทน” อัญญาวีร์เดา “เพราะถ้าไม่มีเบาะแสว่าดอกอุทุมพรขึ้นอยู่ตรงไหนของซัมเซ โอกาสจะหาตัวล่องเมฆก็ยากมาก”
“ได้สำเนาลายผ้ามาก็ใช่ว่าจะง่ายขึ้น” นารีญายังนึกไม่ออก “สัญลักษณ์ในพยับฟ้าโพยมดินดูแล้วไม่เข้าใจเลยว่าหมายถึงอะไร”
“คินซากับเยชิคงพอช่วยได้” อัญญาวีร์ฝากความหวังไว้กับไกด์สองคนนั้น
“ก็หวังว่าอย่างนั้นนะคะ ถอดรหัสได้จะได้เจอตัวล่องเมฆไวๆ” นารีญาพึมพำ “หนูลางานมาได้แค่สามสัปดาห์เองนะคะน้าอัญ วันหยุดพักร้อนตลอดทั้งปี บวกกับวันหยุดนักขัตฤกษ์…ถ้าสามสัปดาห์แล้วยังไม่เจอตัว หนูคงต้องบ๊ายบาย ขอกลับบ้านก่อน”
“ถึงตอนนั้นคงเจอแล้วน่ะ” ถึงปากจะพูดกับหลานสาวเช่นนั้น หากในใจของอัญญาวีร์ก็อดจะหวั่นวิตกมิได้ เพราะหนทางไปถึงซัมเซอาจใช้เวลามากกว่าที่คิดเอาไว้ในตอนแรก
“ว่าแต่สัญญาสามข้อนี่…หนูยังติดใจอยู่เลยนะน้าอัญ มันแปลกมาก” นารีญายังบ่นเรื่องเดิม
“แต่สัญญาทั้งสามข้อ ก็ไม่ได้ยากเกินไปไม่ใช่หรือ” อัญญาวีร์หวนนึกไปถึงคำมั่นที่เคซัง ลุนดรัปขอให้ลิ่วลมรับปาก
“ถ้าลิ่วลมคิดว่าทำได้ ก็แล้วแต่เขา” นารีญายักไหล่ “ไม่เกี่ยวอะไรกับหนู”
“เราเนี่ยน้า” อัญญาวีร์หัวเราะเบาๆ “เข้านอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นกันแต่เช้า”
คินซาและเยชินัดทุกคนมาพบกันที่ล็อบบี้โรงแรม เพื่อประชุมวางแผนการเดินทางไปซัมเซ ท่าทางของเยชิดูจะเคร่งเครียดกว่าใคร เพราะการเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ไปเส้นทางปกติ แต่จะต้องใช้เส้นทางอ้อมภูเขา ผ่านป่าใหญ่ เพราะเส้นทางสายหลักเสียหายไม่สามารถผ่านได้ ครั้นจะรอเวลาให้ซ่อมทางเสร็จก็ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน ซึ่งลิ่วลมไม่มีเวลารอนานขนาดนั้น
…ทุกนาทีสำหรับชายหนุ่มหมายถึงชีวิตของล่องเมฆ…
นารีญาเข้านอนและหลับไปอย่างรวดเร็ว อากาศที่ภูฏานเย็นสบาย บริสุทธิ์สะอาด สูดลมหายใจเข้าไปรู้สึกได้ถึงความสดชื่น
เธอตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนเจ็ดโมงเช้า แต่นารีญาต้องสะดุ้งตื่นก่อนนาฬิกาปลุก เพราะเสียงเคาะประตูอย่างร้อนรนของใครบางคน
“ค่า…มาแล้ว มาแล้ว…รอประเดี๋ยวค่า แหม ใจร้อนจริง”
นารีญาลุกจากเตียง เอื้อมมือไปหยิบเสื้อคลุมมาสวมทับชุดนอน ขณะที่อัญญาวีร์เปิดประตูห้องน้ำออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“อุ๊ย”
หญิงสาวอุทานด้วยความตกใจ…ตกใจจริงๆ เพราะที่เคาะประตูห้องของเธอนั้นเป็นชายวัยกลางคนสองคน ดวงหน้าของพวกเขาเข้มขรึม คนหนึ่งไว้หนวดหนาเหนือริมฝีปาก อีกคนมีเคราที่คาง ทั้งสองสวมชุดประจำชาติที่ตัดเป็นเครื่องแบบเหมือนกัน ดูจากเครื่องหมายที่ประดับบนหน้าอกและบ่า นารีญาคิดว่าทั้งคู่เป็นตำรวจ
“ขออภัยที่ต้องรบกวนมิสครับ” คนที่เป็นหัวหน้าเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษชัดถ้อยชัดคำ “ผมร้อยตำรวจเอกจิกมี ซิงห์หา กับลูกน้องของผมร้อยตำรวจโทดอร์จี นัมเกล…เราขอเชิญมิสทั้งสองลงไปสอบปากคำข้างล่างหน่อยครับ”
นั่นไง…ตำรวจจริงๆ เสียด้วย
“เดี๋ยวก่อนนะคะ…สอบปากคำ…เรื่องอะไรคะ” อัญญาวีร์เดินมาสมทบกับหลานสาว ดวงตาองเธอกวาดมองชายทั้งสองด้วยท่าทางระมัดระวัง “เกิดอะไรขึ้น”
“มีคนบุกรุกเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ผ้าลุนดรัปเมื่อคืนที่ผ่านมา ทำร้ายพนักงานและยามได้รับบาดเจ็บ” ผู้กองจิกมีเล่าสั้นๆ “พวกคุณคือแขกชุดสุดท้ายที่ไปเยือนพิพิธภัณฑ์ เราเลยอยากขอสอบปากคำพวกคุณสักเล็กน้อย”
“แล้วคุณเคซังเป็นอย่างไรบ้าง” อัญญาวีร์เป็นห่วงชายคนนั้น
“บาดเจ็บเล็กน้อย แอดมิทอยู่ที่โรงพยาบาล” ร้อยตำรวจเอกเจ้าของคดีถอนใจเบาๆ ครั้นพอเห็นอีกฝ่ายมีท่าทางห่วงใยจริงๆ เลยอธิบายเพิ่มเติมว่า “ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว แต่ห้ามคนเยี่ยม”
“เกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไรกัน” อัญญาวีร์พึมพำ มือไม้สั่น เธอจับมือหลานสาวเอาไว้แน่น แล้วพากันเดินตามตำรวลงไปที่ล็อบบี้ชั้นล่าง
เพื่อไม่ให้เป็นการเอิกเกริกจนแขกคนอื่นตกใจ ทางโรงแรมเลยเปิดห้องประชุมเล็กให้ตำรวจใช้สอบปากคำ ลิ่วลมนั่งอยู่ตรงนั้นแล้ว ทันทีที่ชายหนุ่มเห็นอาจารย์ของเขาและหลานสาวเดินตามตำรวจลงมา ลิ่วลมก็ผุดลุกขึ้นรวดเร็ว
“อาจารย์…” เขาพึมพำ
“นี่มันอะไรกัน” อัญญาวีร์กระซิบถาม และลิ่วลมได้แต่ส่ายหน้า
“ผมก็ไม่รู้ครับ”
ชายหนุ่มอยู่ในชุดลำลอง เห็นได้ชัดว่าตำรวจไปเรียกเขาลงมาจากห้องนอนเช่นกัน
“ขอบคุณทุกคนที่ให้ความร่วมมือนะครับ” ร้อยตำรวจเอกจิกมีเล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อย่างที่ผมได้เล่าให้ฟังไปแล้ว…เมื่อคืนนี้มีคนร้ายไม่ทราบจำนวน บุกเข้าไปในพิพิธภัณฑ์เคซัง ทำร้ายพนักงานและยาม รวมถึงทำร้ายคุณเคซังด้วย พวกมันพยายามค้นหาอะไรบางอย่าง แต่ไม่น่าจะหาไม่พบ เพราะสุดท้ายพวกมันก็กลับไปโดยไม่ได้เอาอะไรไปด้วยเลย”
“แล้วคุณเคซังล่ะคะ พวกมันทำอะไรเขา” อัญญาวีร์ใจหาย นึกไปถึงดวงหน้าสุขุมลุ่มลึกของชายวัยกลางคนผู้นั้น
“คนร้ายใช้ด้ามปืนตีเข้าที่ศีรษะของคุณเคซังครับ” ตำรวจเล่าออกมาในที่สุด “พวกมันคงวางแผนจะจับตัวเขาเพื่อคาดคั้นให้หยิบของสำคัญให้ แต่คุณเคซังมีสติ เขาแกล้งหมดสติ พอพวกมันเผลอก็รีบหลบพวกมันไปที่รถแล้วขับหนีไปที่โรงพยาบาล ระหว่างทางก็โทรไปแจ้งตำรวจว่ามีคนร้ายบุกไปที่บ้าน ตอนขับรถไปถึงโรงพยาบาล คุณเคซังเสียเลือดมากจนหมดสติไป หมอกับพยาบาลรีบพาตัวเข้าห้องฉุกเฉิน เขาเลยได้รับการรักษาทันท่วงที”
“แล้วตำรวจไม่มีเบาะแสอะไรเลยหรือคะ” นารีญาอดถามไม่ได้
“ตอนที่พวกเราไปถึง คนร้ายไม่อยู่แล้วครับ มียามถูกยิงบาดเจ็บสาหัสหนึ่งคน พนักงานของคุณเคซังบาดเจ็บเล็กน้อยอีกสองคน ทั้งสองยังตกใจมาก สับสนและหวาดกลัวเสียจนให้การอะไรไม่ได้ กล้องวงจรปิดเสีย เราไม่รู้เลยว่าคนร้ายคือใคร”
“แล้วพวกคุณคิดว่าพวกฉันคือคนร้ายหรือไง” นารีญาถามตรงๆ ตามนิสัย “ถึงต้องมาสอบปากคำแต่เช้าแบบนี้”
“ก็มีความเป็นไปได้ไม่ใช่หรือครับ” คำตอบตรงๆ ของนายตำรวจหนุ่ม ทำให้นารีญาถึงกับเงียบไป
“ตอนนี้เราต้องสงสัยทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคุณเคซังเอาไว้ก่อน” ร้อยตำรวจเอกจิกมีพูดต่อ เขาหันไปสบตาลูกน้องแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบดุจเดิมว่า “อีกอย่างผมจำเป็นต้องทำตามหน้าที่ พวกคุณคือแขกชุดสุดท้ายของพิพิธภัณฑ์ หลังจากพวกคุณกลับไปได้ไม่นานก็เกิดเหตุร้ายขึ้น ผมอยากสอบถามรายละเอียดจากพวกคุณให้มากที่สุด เพราะบางทีอาจจะมีเบาะแสให้รู้ว่าคนร้ายคือใคร และบุกเข้าไปด้วยวัตถุประสงค์อะไรกันแน่…”
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 20.1 : พรมสีแดง
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 19.2 : ถ้าเรากลับไปได้
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 19.1 : ศรีวัตสะ
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 18.2 : ปรับแผนเดินทาง
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 18.1 : สี่เทพผู้พิทักษ์
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 17.2 : ภาพนิมิต
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 17.1 : Linn Plant Company
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 16.2 : ผิดแผน
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 16.1 : วันฟ้าหลัว
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 15.2 : ความทรงจำ
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 15.1 : ไม่ใช่นัมเก
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 14.2 : อันตรายที่มองไม่เห็น
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 14.1 : ผู้พิทักษ์ขุนเขา
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 13.2 : ผู้ช่วยของนัมเก
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 13.1 : นยาลา เดียม
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 12.2 : ช่วยด้วย
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 12.1 : นยาลาลัม
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 11.2 : ฤดูแห่งดวงดาว
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 11.1 : อ้อมกอดแห่งขุนเขา
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 10.2 : วิหารม้าเทวดา
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 10.1 : ออกเดินทาง
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 9.2 : Orchid Hunter
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 9.1 : เหตุร้าย
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 8.2 : นิมิตของลิ่วลม
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 8.1 : พยับฟ้าโพยมดิน
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 7.2 : Til the Earth through the Heavens
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 7.1 : เบาะแสของดอกไม้ทิพย์
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 6.2 : พิพิธภัณฑ์ผ้าเคซัง
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 6.1 : ภัณฑารักษ์จาก The MET
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 5.2 : ท่านครุ
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 5.1 : วิหารฟ้าคะนอง
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 4.2 : เกาตัน ซับบา
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 4.1 : ฝากไว้
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 3.2 : เธอคือแสงตะวัน
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 3.1 : ความทรงจำเหมือนม่านหมอก
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 2.2 : วันฟ้ากระจ่าง
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 2.1 : มีเมฆบ้างเป็นบางวัน
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 1.2 : ไม่มีเสียงตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 1.1 : Udumbara - อุทุมพร ดอกไม้สวรรค์
- READ พยับฟ้าโพยมดิน : บทนำ