พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 20.2 : หุบมรณะ

พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 20.2 : หุบมรณะ

โดย : พงศกร

Loading

พยับฟ้าพโยมดิน นวนิยายจากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อน้องชายฝาแฝดหายตัวไปอย่างลึกลับในหมู่บ้านกลางหุบเขาของภูฏาน เขาจำเป็นต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อตามหาก่อนที่จะสายเกินไป เขาต้องยอมรับความช่วยเหลือจากนารีญาหญิงสาวที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาตั้งแต่แรกเจอพ่วงไปด้วย เธอคนนี้อาจเป็นคนเดียวที่ไขปริศนาต่างๆ และพาเขาไปพบกับน้องชายได้

ฟรึ่บ!

ทันทีที่กระติกน้ำที่ทำจากหนังใบนั้น ตกลงไปในดงเห็ดสีแดงเข้ม ทันใดนั้น…เห็ดทุกดอกก็เกิดปฏิกิริยาประหลาด

ต่อหน้าต่อตาของคณะเดินทาง พวกมันพากันหันหมวกสีแดงสดมาทางกระติกน้ำของเชวังอย่างรวดเร็ว เสียงดังฟรึ่บที่ทุกคนได้ยิน เป็นเสียงที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของเห็ดพวกนั้น

ฟรึ่บ…

เสียงฟรึ่บที่สองเบากว่าครั้งแรก เกิดจากยางเหนียวๆ สีขาวขุ่นบนดอกเห็ดผุดออกมาเป็นจำนวนมาก ลักษณะเหมือนกับเวลาที่คนเห็นอาหารอร่อยแล้วเกิดอาการน้ำลายไหล อย่างไรอย่างนั้น

ยางสีขาวที่ผุดออกมาจากดอกเห็ดไหลไปรวมกันบนกระเป๋าหนัง เกิดฟองปุดๆ และควันสีขาวขุ่นพวยพุ่งออกมาจนมองไม่เห็นกระติกน้ำที่เชวังโยนลงไป พร้อมกันนั้น กรุ่นหอมราวขนมปังเพิ่งออกจากเตาก็อวลตลบไปทั่งบริเวณ

เพียงพริบตาเดียว เห็ดทุกดอกก็สงบนิ่ง

จากนั้นไม่นานนัก กรุ่นควันที่ลอยอบอวลหายไป

พร้อมกับที่กลิ่นหอมราวขนมปังอบใหม่ ก็พลอยอ่อนจางลงไปด้วย

นารีญาใจหายวาบ เมื่อมองลงไปไม่เห็นกระติกน้ำที่เชวังโยนลงไปในดงเห็ดแล้ว

ไม่เห็น…ไม่เหลือแม้เสี้ยวซาก

เหมือนกับมันโดนยางเห็ดย่อยสลายไปหมด จนไม่เหลือซาก!

“กระติกน้ำ…เห็ดพวกนั้น” นารีญาชี้นิ้ว เสียงสั่นระริก “ถ้ารีญาเดินลงไปก็คง…”

“ใช่…ถ้าคุณไต่ลงไปในดงเห็ด คงไม่รอด” เชวังเม้มริมฝีปากแน่น สีหน้าของเยชิ คินซา และลูกหาบทุกคนเต็มไปด้วยความสยดสยอง

“รีญาไม่รู้ทำไม” นารีญาเสียงสั่น เป็นครั้งแรกที่ลิ่วลมเห็นร่องรอยประหวั่นปรากฏบนดวงหน้าสวยๆ “เหมือนตอนนั้นรีญาคิดอะไรไม่ออก หัวตื้อๆ ตันๆ คิดแต่ว่า อยากเดินลงไปในดงเห็ด”

“คุณรู้ได้อย่างไรว่าจะเป็นแบบนี้” อัญญาวีร์พึมพำถาม

“ผมเห็นแมลงตัวหนึ่งตกลงไปในดงเห็ด แล้วก็ถูกเห็ดพวกนั้นปล่อยน้ำย่อยออกมา…ย่อยสลายจนไม่เหลือซาก” เชวังเล่า

“เห็ดกินแมลง” คินซาพึมพำ “ตำนานเก่าแก่ของภูฏาน เล่าถึงเห็ดกินแมลง…เหมือนต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง กาบหอยแครง หยาดน้ำค้าง…ฉันนึกว่ามันเป็นแค่นิทานหลอกเด็ก ไม่น่าเชื่อว่ามันมีอยู่จริงๆ”

“แล้วกลิ่นหอมนั่นล่ะคะ” อัญญาวีร์ทำจมูกฟุดฟิด จู่ๆ กลิ่นหอมเหมือนขนมปังก็กรุ่นอวลขึ้นมาอีกครั้ง

หอมอ่อนจางในตอนแรก ก่อนจะทวีความเข้มข้นขึ้นในอึดใจถัดมา

กลิ่นนั้นทำให้ทุกคนรู้สึกหิว ท้องร้อง น้ำลายสอ…

“กลิ่นยางเห็ด” เชวังพยักหน้า “รีบไปกันเถอะ”

นายแพทย์วัยกลางคนรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล สัญชาตญาณบอกกับเขาว่าควรไปจากบริเวณหุบเขาอันตรายนี้ให้เร็วที่สุด

“ทุกคนมีหน้ากากอนามัยใช่ไหมครับ เอาออกมาสวมตอนนี้เลย”

เขาร้องบอก และทุกคนก็รีบหยิบหน้ากากอนามัยออกมาจากเป้ สวมตามคำสั่งของเชวัง

เขาเป็นคนสั่งให้เยชิเตรียมหน้ากากอนามัยชนิดที่เรียกว่า N-95 ให้กับทุกคน

หน้ากากอนามัยแบบนี้ มีคุณสมบัติสามารถกรองฝุ่นและเชื้อโรคที่มีขนาดเล็กได้เป็นอย่างดี แรกๆ ที่สวมอาจจะหายใจยากหน่อย แต่ถ้าสวมจนคุ้นเคยแล้วก็สามารถหายใจได้เป็นปกติ

เยชิกับคินซาพาลูกหาบไปตรวจความแข็งแรงของสะพานที่สร้างขึ้นมาจากเถาวัลย์

สะพานที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่สะพานธรรมชาติ แต่เป็นสะพานที่มนุษย์สร้างขึ้น

ใครสร้าง…

สร้างมานานเท่าไรแล้วก็ไม่มีใครรู้

มันยังแข็งแรงพอจะรับน้ำหนักคนได้อยู่หรือไม่

เยชิต้องการตรวจสอบให้มั่นใจก่อนจะพาทุกคนเดินข้ามไป เพราะถ้าตกลงไปในดงเห็ดข้างล่างนั้น ไม่มีทางรอดแน่นอน

ลิ่วลมทำตามคำสั่งของเชวังอย่างงงๆ ไม่เข้าใจเหตุผลของนายแพทย์วัยกลางคน หากทว่าหลังจากสวมหน้ากาก N -95 ไปได้สักพัก เขาก็ไม่ได้กลิ่นหอมเหมือนขนมปังที่กรุ่นลอยขึ้นมาจากดงเห็ดนั้นอีก พร้อมกันนั้น อาการงุนๆ งงๆ เหมือนหัวไม่แล่น สมองไม่ปลอดโปร่งก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง

หรือว่า…

กลิ่นนั้น…

“พืชกินแมลง จะมีกลิ่น มีน้ำหวาน มีอะไรบางอย่างล่อตาล่อใจให้แมลงหลงไปติดกับ” สิ่งที่เชวังเอ่ย เป็นสิ่งที่ลิ่วลมกำลังนึกสงสัยอยู่พอดี

“กลิ่นหอมนั่น…” แม้ไม่เห็นเพราะสวมหน้ากากอนามัย แต่ลิ่วลมรู้จากท่าทางว่านารีญากำลังอ้าปากค้าง

“เห็ดสร้างขึ้น เพื่อล่อให้เราหลงไปติดกับของพวกมัน” เชวังมั่นใจ “น้ำยางพวกนั้น เหมือนกับน้ำย่อย…มันจะย่อยทุกอย่างให้ละลายสลายไปเป็นของเหลว เพื่อที่เห็ดเหล่านั้นจะได้ดูดกินเป็นอาหาร”

“มิน่าล่ะ” ลิ่วลมนึกออกทันที “ภาพในพยับฟ้าโพยมดิน จึงมีรูปคนสวมหน้ากากอยู่ในดงเห็ด”

“ไม่ได้ไปประกอบพิธีกรรมอะไรอย่างที่เราสันนิษฐาน” อัญญาวีร์พยักหน้า อาการเหนื่อยๆ เพลียๆ ของเธอหายไปแล้วเช่นกัน

“คนปักผ้าต้องรู้เรื่องนี้แล้วเลยปักรูปคนสวมหน้ากากเพื่อเตือนให้เราระวังตัว” ลิ่วลมพึมพำกับตัวเอง “แล้วค้างคาวล่ะ”

เขานึกถึงการเดินทางในช่วงถัดไปด้วยความหวั่นวิตก

“ค้างคาวตาโตพวกนั้น…หน้าตาน่ารักเหมือนการ์ตูน…มันจะมีอะไรอยู่เบื้องหลังเหมือนเห็ดพวกนี้หรือเปล่า”

“ก็ต้องไปดูกันข้างหน้า” เชวังสรุป เขายังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อไป เยชิก็ตะโกนบอกว่า

“สะพานยังใช้การได้ดี เรารีบข้ามกันเถอะครับ ผมได้ยินเสียงฝีเท้าคนสะท้อนมาจากทางเดินในถ้ำ พวกนั้นตามเรามาแล้ว”

“รีบไปครับ” เชวังส่งสัญญาณให้เยชิข้ามนำไปก่อน และส่งให้คนไทยทั้งสามข้ามตามไป เขากับคินซาและลูกหาบยังรออยู่ฝั่งนี้เพื่อคุ้มกันความปลอดภัย

“อย่ามองข้างล่างนะครับ เดินตรงไปเรื่อยๆ”

เยชิบอกเมื่อเห็นนารีญามีท่าทางละล้าละลัง

“ป๊อดเหรอ” ลิ่วลมได้ที แกล้งแหย่หลานสาวของอัญญาวีร์บ้าง เขาตามมาข้างหลังนารีญา และรู้สึกได้ว่าสะพานเถาวัลย์กำลังสั่นไปมาตามจังหวะก้าวเดิน ทำให้ต้องย่างเท้าด้วยความระมัดระวัง “กลัวความสูงหรือคุณ”

“เปล่า” นารีญาสะบัดหน้า “ใครกลัวกัน”

“จะไปรู้หรือ” ลิ่วลมหัวเราะเบาๆ ตั้งใจอยากให้นารีญาผ่อนคลายมากกว่าจะล้อเลียนให้ได้อาย “เห็นขางี้สั่น ทำท่าเหมือนไม่อยากจะก้าว”

“ฉัน – ไม่ – กลัว” นารีญาตอบเน้นเสียง จากนั้นก็กลั้นใจเดินตามหลังเยชิและน้าของเธอไปอย่างรวดเร็ว พยายามมองไปยังปลายทางข้างหน้า ไม่สนใจลิ่วลมและการแกว่งไกวของสะพานอีก

ทว่าจังหวะที่นารีญาอยู่กลางสะพานนั่นเอง

ที่เสียงปืนดังขึ้น

รวดเร็วและสะท้านกึกก้อง

ปัง!



Don`t copy text!