เสียงเรียกจากแดนไกล
โดย :
นอกเหนือจากนวนิยายและบทความที่ผ่านการเลือกสรรและผ่านกระบวนการบรรณาธิการพิจารณาเป็นอย่างดี ทีมงานอ่านเอายังริเริ่มโปรเจ็กต์ “Anowl Showcase” พื้นที่ใหม่สำหรับคนชอบเขียนขึ้น เพื่อเป็นการสานต่อเจตนารมณ์ที่จะให้เว็บ www.anowl.co ของพวกเราเป็นชุมชนสำหรับคนรักการอ่านและการเขียนทุกคน
*************************
ภานนท์มีอาการนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว ก็ตั้งแต่เขาได้ยินเสียงจากเครื่องเล่นเสียงเพลงที่เปิดเสียงดังตลอดยามค่ำคืนจนเขาไม่ได้หลับไม่ได้นอน เขากระวนกระวาย นอนกระสับกระส่ายไปมาด้วยความหงุดหงิด เป็นการนอนหลับที่ยากเย็นเสียเหลือเกิน แอร์คอนดิชันที่เขาเปิดส่งเสียงดังจนน่าตกใจว่าจะระเบิดออกมา ภาพในคืนวันนั้น วันที่เขาทะเลาะกับเกตุลดา แฟนสาวที่ผับดังแห่งหนึ่ง ยังติดอยู่ในห้วงสมองของเขา ในการทะเลาะครั้งนั้น ทำให้เขากับเธอตัดสายสัมพันธ์กันอย่างเด็ดขาด ไม่มีการร่ำลาแต่อย่างใด บวกด้วยอาการหงุดหงิดของเสียงเพลงที่เปิดดัง ทำให้เขากระวนกระวายจนนอนไม่หลับ สติของเขาเหมือนจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คิดได้ว่าเดี๋ยวจะต้องโทร.ไปแจ้งตำรวจให้มาตรวจสอบเสียหน่อยแล้ว มันเปิดเพลงเสียงดังมาหลายวันแล้ว เขานอนไม่ได้ นอนไม่หลับก็เพราะมันเป็นต้นเหตุ
เขาลุกจากเตียงนอน คว้าหมับเข้าที่โทรศัพท์ที่ชาร์จแบตอยู่ปลายเตียง กดเบอร์ 191 เพื่อแจ้งตำรวจ
เสียงรอสายดังอยู่นาน ไม่มีคนรับสาย มันยิ่งทำให้อาการของเขาหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเรื่องงาน เรื่องแฟน และไอ้เสียงบ้านั่นก็มารบกวนเขา จนทำให้สมองเขาจะระเบิด เสียงวิ้งๆ ในสมองยังคงดังอยู่ เขาอยากจะเจาะสมองเอามันออกมาซะจริงๆ ปลายสายไม่มีคนรับ ยิ่งทำให้อาการหงุดหงิดทวีความรุนแรงขึ้น อยากจะบอกไอ้คนรับสายจริงๆ ว่า “มึงจะมีโทรศัพท์ไว้ทำไม” แต่ก็ทำได้แค่เพียงกดวางสายลง ก่อนจะกระหน่ำโทร.ไปอีกหลายต่อหลายรอบเพื่อให้มันรับสาย ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ได้นอนเป็นแน่
แต่แล้วก็สำเร็จ เมื่อปลายสายกดรับ ด้วยท่าทีงัวเงีย น้ำเสียงของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เอ่ยถาม
“สวัสดีครับ ยินดีให้บริการครับ” เสียงนั้นพยายามปรับให้เป็นปกติ แต่เขาฟังออก เหลือบมองนาฬิกาที่แขวงอยู่บนผนังห้อง บอกเวลา ห้าทุ้มสี่สิบห้านาที
“ครับคุณตำรวจ ผมโทร.มาแจ้งเรื่องเสียงดังครับ”
“ที่ไหนครับคุณ” ปลายสายถามสถานที่ ภานนท์ตอบกลับไปโดยไว เสียงปลายสายเหมือนกำลังครุ่นคิด
“ที่ไหนนะครับ” นายตำรวจปลายสาย ถามย้ำอีกครั้งหนึ่งเหมือนไม่แน่ใจ
“เสียงดังจนผมนอนไม่หลับมาหลายวันแล้วครับคุณตำรวจ” เขาเสียงอ่อนลงกว่าตอนแรก
“ได้ครับ เดี๋ยวผมจะให้สายตรวจออกไปตรวจนะครับคุณ…”
“ผมภานนท์ครับคุณตำรวจ”
“ครับคุณภานนท์ ทางเราจะให้สายตรวจออกไปตรวจสถานที่ที่คุณบอกนะครับ”
“ได้ครับคุณตำรวจ ขอบคุณครับ”
“ยินรับใช้บริการครับ” เสียงนายตำรวจผู้นั้นวางสายลงไป เขายิ้มมุมปาก หวังว่า สายตรวจจะสามารถทำให้เสียงบ้านั้นหยุดดังซะที ไม่เกรงใจชาวบ้านชาวช่องเสียเลยแม้แต่น้อย
เขาวางโทรศัพท์มือถือลงก่อนที่จะปิดไฟ ล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนเพลียแม้จะยังได้ยินเสียงเพลงที่ดังมาจากด้านนอกก็ตาม
เขาพยายามหลับตาลงด้วยความเหนื่อยและเบื่อหน่ายเป็นอย่างมาก ครุ่นคิดไปถึงเรื่องต่างๆ เขาใช้เวลาหลับตาลงและตั้งสติ นับหนึ่งถึงพัน ไม่ว่าจะวิธีการใดก็ตามแต่ก็ไม่หลับ นับแกะ นับกบ สวดมนต์ ท่องคาถา หรือแม้แต่ทำสมาธิ แต่เขาก็ไม่สามารถหลับลงได้เลย มันยิ่งทวีความโมโหมากยิ่งขึ้น เขาพลิกตัวไปมาบนเตียงนอนขนาด 6 ฟุต เสียงแอร์ยังคงดัง มันคงเก่าตามสภาพเสียงที่ดัง เสียงดังนั้นทำให้อาการปวดหัวที่ขมับดังตึบๆ เหมือนจะระเบิด แม้ตอนหัวค่ำเขาจะหยิบยาพาราเซตามอลมากินแล้วก็ตาม
นานเท่าใดที่เขาพยายามหลับตา แต่ก็เหมือนเป็นเพียงแค่ปิดตา ไม่ได้หลับลึกลงในห้วงนิทราแต่อย่างใด เขาใช้เวลานานเท่าใดไม่ทราบ แต่ยิ่งอยากหลับ ภาพเกตุลดาก็แทรกเข้ามา หากวันนั้นเขาไม่ทิ้งเธอแล้วเดินออกไป เธอก็คงไม่…
เขานึกภาพย้อนกลับไปวันนั้น วันครบรอบเจ็ดปีที่เขาคบกับเธอ เกตุลดาคือผู้หญิงคนแรกที่เขารักและอยากมีชีวิตคู่ อยากใช้ชีวิตครอบครัวร่วมด้วยกับเธอ เธอสวย เก่ง แสนดี คุณสมบัติแบบนี้จะหาที่ไหนได้ แต่เขาสิ เขาเป็นคนโมโหร้าย พูดจาไม่คิด ทำให้เธอกับเขาต้องแยกจากกันไปโดยไม่ร่ำลา จะหวนคิดไปทำไม คิดไปก็เจ็บช้ำ เขาเป็นผู้ชายที่ปากร้าย ปากหนัก ไม่มีวันยอมไปของ้อคืนดีกับเธอหรอก ไม่มีทาง นั่นเองที่ทำให้เขารู้สึกผิด แต่พยายามที่จะแสแสร้งแกล้งว่าไม่ผิด แต่ใจของเขาพ่ายแพ้ต่อความดีของเธอตั้งนานแล้ว
ภานนท์นอนส่ายไปมา หน้าเกตุลดายังอยู่ เขาอยากโทร.ไปหาเธอ อยากขอโทษที่พูดไม่ดี แล้วทำให้เธอต้องเสียใจ จนเขากับเธอ…
แต่ภานนท์ก็แข็งใจที่จะไม่ยอมขอโทษ เพราะเขาถือคติ หยิ่งยโสโอหัง เป็นผู้ชายที่ไม่ยอมรับความเป็นจริง เป็นคนแข็งกระด้าง มีหลายคนที่บอกว่าเกตุลดาทนอยู่กับผู้ชายที่เหมือนหินเหมือนต้นไม้ได้อย่างไร ไม่ยิ้ม หน้าบึ้งตึง ถามคำตอบคำ คิดว่าตัวเองเก่ง แต่ที่ไหนได้ความรู้เท่าหางอึ่ง ไม่เห็นเหมาะสมกับเกตุลดาเลยแม้แต่น้อย
ภานนท์เก็บคำพูดเหล่านั้นไว้ในใจ เวลาอยู่กับเกตุลดา เขาจะแสดงตัวตนอีกแบบออกมา แม้เขาจะไม่ใช่คนดีเลิศ แต่เวลาที่ทุ่มเทและเอาใจใส่เธอไม่แพ้ผู้ชายโรแมนติกคนไหนๆ แม้จะปากหนัก การกระทำต่อหน้าคนอื่นอาจจะไม่ดี อาจจะดูว่าเขาไม่รัก แต่เวลาอยู่กันสองคน มันสามารถสื่อสารกันได้ว่า ขารักหล่อนจริงๆ
เสียงนาฬิกาข้างผนัง ดังบอกเวลาเที่ยงคืน ของวันใหม่ ใจของเขารู้สึกแปลกๆ อย่างไรชอบกล กลิ่นควันพวยพุ่งมาเตะจมูกเหมือนอะไรไหม้ มันเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อควันกระจายไปรอบห้อง บัดนี้มันกระจายเต็มบริเวณจนมองไม่เห็น เขาหยิบโทรศัพท์ปลายเตียงเท่าที่จะหยิบได้ คิดไปว่าเกิดเหตุอะไรที่ด้านล่างของอพาร์ตเมนต์หรือเปล่า แต่ทำไมไม่มีสัญญาณเตือนภัย เขาหยิบได้แต่โทรศัพท์ เพราะในห้องมันมืดมาก ควันหนาปกคลุมทั่วห้อง เสียงร้องดังอยู่ด้านนอก เขาตกใจ นึกภาพร้ายที่จะเกิด ใช่แล้ว ไฟไหม้ ด้านนอกนั้นคงเกิดไฟไหม้ เสียงคนด้านนอกดังลั่นไปหมด ดูเหมือนทุกคนกำลังจะหนี เขาอยู่ชั้นบนของตึก จะหนีอย่างไร
เสียงด้านนอกดูชุลมุนวุ่นวายกันไปหมด เขาเปิดประตูออกไปเพื่อหาทางหนี เพราะจะให้ ปีนลงไปทางหน้าต่างก็คงไม่รอดเพราะมันสูงมาก คิดได้เท่านี้ก็เปิดประตูออกไป ควันด้านนอกลอยเข้ามา ได้ยินแต่เสียงของคนกรีดร้อง เขานึกถึงเหตุการณ์ไฟไหม้ในภาพยนตร์ แต่ในชีวิตจริงมันน่ากลัวกว่า เขานึกถึงวิธีการปฏิบัติเบื้องต้นของการหนีไฟไหม้ ต้องหาผ้าชุบน้ำมาอุดจมูก หรือเอาผ้าหนาเปียกน้ำคลุมร่างกาย แต่ ณ เวลานั้น มันยากลำบากเหลือเกินที่เขาจะทำได้ ไม่มีเวลา เขาทำได้เพียงเอาผ้าปิดจมูกและเดินก้มต่ำที่สุดเพื่อจะให้ควันที่ลอยเหนืออากาศไม่เข้าหูตา หรือเข้าให้น้อยที่สุด
ภายนอก มันดูแปลกตาไปจากที่เขาเห็น สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่อพาร์เมนต์ที่เขาอยู่อาศัย แต่มันเป็นผับที่เขาเคยคุ้น แต่ก็ด้วยสายตาสั้นของเขา มองอะไรไม่ถนัดนักในเวลานี้ พร้อมกับไฟฟ้าดับสนิท เสียงกรีดร้อง คนทุกคนในตึกวิ่งกันวุ่นไปหมด เขาเห็นผู้หญิงคนนั้น คุ้นๆ ว่าจะรู้จักวิ่งหาทางออก เสียงตะโกนขอความช่วยเหลือดังอยู่ไม่ไกล
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย” ใครคนหนึ่งเอ่ย เขาหันมองไปทางด้านหนึ่ง มันเป็นมุมทึบ เขาไม่รู้ว่ามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร แต่มองด้วยสายตา เสียงนั้นดูร้อนรน
“ทางนี้ ทางนี้มีคนอยู่เต็มห้อง” เขาวิ่งไปดู เห็นหญิงสาวหลายคนร้องไห้ ตื่นตระหนก ทุกคนแต่งตัวเหมือนเที่ยวกลางคืน แต่เขาไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก
“โทร.ตามตำรวจสิ ใครมีมือถือ” ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“จะโทร.อะไรได้ ไม่มีสัญญาณ” หญิงสาวคนหนึ่งบอกด้วยความผิดหวัง
“ของฉันแบตหมด”
“ฉันลืม”
“โถ อะไรมันจะซวยขนาดนี้” เสียงเจ๊ใหญ่เอ่ยขึ้น ชายหนุ่มล้วงหยิบมือถือที่หยิบออกมาจากห้อง
“ผมมี ผมมี” เขาร้องบอก หญิงสาวพวกนั้นหันมามอง
“โทร.เลยคุณ บอกให้คนมาช่วยพวกเราที่ห้องน้ำหญิงด้านใน” หญิงสาวคนนั้นคะยั้นคะยอเขา เขากดมันด้วยใจสั่น มือสั่นไปทั้งตัวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“เฮ้ย ระวัง” เสียงใครคนหนึ่งดังลั่น ทำให้ทุกคนหันมองด้วยท่าทีตื่นตกใจ ภาพที่เห็นคือฝ้าเพดานทะลุลงมา ภานนท์มองด้วยความตื่นตระหนก มือสั่น จนมือถือหลุดมือไปตอนที่เขากระโดดหลบเพดานถล่มลงมา เสียงกรีดร้องทำให้คนตรงนั้นกระเจิง มีคนเคราะห์ร้ายที่โดนทับอยู่ แต่คนที่รอดกลับวิ่งหนีตายกันคนละทิศคนละทาง ด้วยจิตสำนึกจะเข้าไปช่วย แต่เขาเองก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร หญิงสาวคนหนึ่งที่โดนทับ พยายามร้องขอความช่วยเหลือ มือของเธอพยายามเอื้อมไขว่คว้าอากาศ มันน่าเวทนาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ภานนท์กำลังจะเอื้อมไปคว้าเธอ แต่เหมือนมีแรงกระชากบางอย่างดึงเขาออกมาจากตรงนั้น ก่อนที่ทุกอย่างวูบหายไป
เขามายืนอีกมุมหนึ่ง ทุกคนในสถานที่แห่งนั้นวิ่งหนีกระจัดกระจาย บางคนหกล้มกลิ้ง บางคน แขนขาโดนไฟคลอก บางคนผิวหนังแหว่วงและมีรอยไหม้ตามร่างกาย และบางคนก็หมดลมหายใจไปนอนกองที่พื้น มีอีกหลายคนที่นอนรอคอยความตายเพราะทับกันอย่างกับซากศพ มือของทุกคนไขว่คว้าขอความช่วยเหลือจากคนที่รอด เสียงขอความช่วยเหลือดังอยู่รอบๆ ภานนท์ มองซ้ายขวา เขากลัวไปหมดแล้ว มันสั่นระรัว ความกลัวโลดแล่นเข้ามาในจิตใจ ทุกคนในที่นั้นน่าเวทนา แต่เขาเองก็ยังเอาชีวิตไม่รอด
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย” เสียงของชายหนุ่มแต่งตัวดีที่โดนไฟคลอกครึ่งร่างวิ่งแหกปากออกไป
ภาพความชุลมุนวุ่นวายรอบทิศทาง เพดานสูงเกิดประกายไฟลามไปทั่วก่อนที่ถล่มลงมาทั้งหลังคา ทุกคนด้านล่างกรีดเสียงร้องดังสนั่น มือของใครคนหนึ่งดึงร่างของเขาเอาไว้ และกระชากออกมาอย่างไว เส้นยาแดงผ่าแปดที่เขารอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ เขามองหน้าคนที่ช่วยเหลือเขาให้รอดตายอย่างหวุดหวิด
“เกตุ นั่นคุณ” เขาพึมพำเมื่อเห็นร่างของแฟนสาว
“คุณมาได้ยังไง นน” เธอถามด้วยความสงสัย
“ผมต้องถามคุณมากกว่า คุณมาที่นี่ได้ยังไง นี่มันอพาร์ตเมนต์ผม”
“ที่นี่มันผับนะคะนนท์” ไม่ทันพูดจบ ก็มีคนวิ่งแทรกเข้ามาชนสองคนกระเด็น เธอลงไปนอนที่พื้น
“เจ็บมั้ยเกตุ” เขาประคองร่างของเธอลืมเรื่องที่พูดกันสนิท
“เจ็บ เจ็บ ขอบคุณนนที่ช่วยเกตุนะ”
“ผมต้องขอบคุณเกตุมากกว่าที่ดึงผมออกมา ไม่อย่างนั้นผมคงตายไปแล้ว”
“ก็นนเป็นแฟนเกตุนี่คะ” เขานึ่ง ดึงเธอมากอด
“ผมขอโทษนะเกตุ ที่ผมพูดไม่ดีกับคุณวันนั้น”
“โถ ที่รัก เราเป็นแฟนกัน เกตุไม่โกรธคุณหรอกค่ะ” เธอจับลูบใบหน้าของเขา น้ำตาไหลเอ่อที่ขอบตาแดงๆ
“เรารีบหนีกันเถอะเกตุ ผมสัญญาว่าจะพาคุณออกไปจากที่นี่ ผมสัญญา” เขากระตุกร่างเธอเบาๆ พร้อมกับจะพาเดินออกไป เธอหยุดเดินเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
“นนคะ นน เกตุมีเรื่อง” เธอนิ่งไป เสียงภายนอกรบกวนจนฟังไม่ถนัด เขากำลังจะพาเธอหนีออกไปจากสถานการณ์อันเลวร้ายนี้ให้ได้
“เราไปพูดกันข้างนอกดีกว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพูดนะเกตุ” เขาเสียงดุ เมื่อเห็นใบหน้าเธอ เขาจึงหันมาพูดอีกครั้งด้วยท่าทีอ่อนโยน
“ผมรักคุณนะ ผมรักคุณ ผมจะไม่มีวันยอมให้คุณจากผมไหนอีก ผมสัญญา” เขากระชับร่างของเธอมากอด พากันออกไปจากเหตุการณ์อันเลวร้ายแห่งนี้
ด้านนอกมีคนนอนไม่ได้สติที่พื้น บางคนยังมีลมหายใจ และบางหมดลมหายใจพร้อมกับร่างที่ไร้วิญญาณ และมีอีกหลายคนที่พยายามดิ้นรนออกจากสถานที่แห่งนั้น แต่ไม่มีโอกาส ภาพคนนอนทับกัน บางคนหงิกหงอเป็นตอตะโก เพลิงเผาพลาญทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใดรอดพ้นมัน
ภานนท์กระชับร่างของหญิงสาวเอาไว้ จะฝ่าเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วง เขากระชับกอดร่างของเธอ กระซิบเบาๆตลอดเวลา
“ผมขอโทษที่ทำผิด ผมสัญญา สัญญาที่จะไม่ทิ้งคุณไปไหนอีกตลอดไป” ร่างของสองคนฝ่าเปลวเพลิงที่ลุกโหมกระหน่ำ เสียงเพลงลมหายใจของกันและกันดังขึ้น
“อาจเป็นเพราะเรา คู่กัน มาแต่ชาติไหน จะรัก รักเธอตลอดไป เป็นลมหายใจของกันและกัน”
สองคนกระชับแนบแน่น น้ำตาไหลเอ่อ ภานนท์ร้องไห้ออกมา กอดร่างเธอ ไม่ให้เธอต้องโดนเปลวเพลิง เขารักเธอ เพิ่งรู้ว่า ไอ้คำว่ารักนี้มันยิ่งใหญ่ขนาดที่ยอมแลกชีวิตได้เลย
“เกตุก็รักคุณนะ นน” เขาได้ยินเสียงของเธอพูด พร้อมกับร่างที่ฝ่าเปลวไฟนรก และทุกอย่างก็ดับวูบลงไปพร้อมกับน้ำตา รอยยิ้ม และความทรงจำ
เสียวหวิวๆ ดังมาจากภายนอกห้อง ร่างของภานนท์กระตุกเล็กน้อย บนใบหน้าเปื้อนด้วยคราบน้ำตา แต่ริมปากอมยิ้ม เขานอนเหยียดกายด้วยท่าผ่อนคลายสบายที่สุด เหมือนฝันที่หลุดลอยไป เขาได้หลุดพ้นจากบ่วงแห่งความทุกข์ ความเหงา ความเศร้า และความรู้สึกผิดเมื่อครั้งปล่อยให้คนรักอย่างเกตุลดาต้องตายในเปลวเพลิงมรณะ เพียงเพราะสองคนทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกัน เขาหนีกลับ ส่วนเธอกลับเข้าไปข้างใน ระยะเวลาไม่กี่นาทีหลังจากนั้น มันได้สร้างบาดแผลให้เขาไปชั่วชีวิต เรื่องทั้งหมดได้จบสิ้นลงแล้ว บัดนี้ ลมหายใจของเขาขาดห้วงไป พร้อมกับเสียงเรียกจากแดนไกลแห่งหนไหนไม่ทราบได้ ร้องเรียกให้เขาไปหา
…………………………………….…………………………………………………………………………………………………………..
“ไม่เห็นมีเสียงอะไรอย่างที่แจ้งเลยนะครับสารวัตร” เสียงจ่าที่ออกตรวจบริเวณที่มีคนโทร.แจ้งว่าเสียงดัง มันเป็นบริเวณที่โล่งกว้าง ปกคลุมไปด้วยต้นไม้หนา และมีอาคารเก่าๆ ที่เหมือนโดนไฟไหม้ทิ้งร้างเอาไว้
“ไม่มีได้ไงวะ เอ็งไปตรวจตรงไหน” เสียงปลายสายดังขึ้นที่วอ
“ก็ตรงบริเวณแยกสาม ที่เป็นลานกว้างน่ะสิครับ”
“เฮ้ย” เสียงดังลั่น จนนายตำรวจหนุ่มสะดุ้ง
“อะไรเหรอครับสารวัตร” เสียงนั้นดังขึ้นพร้อมๆ กับอาการขนลุกอย่างเห็นได้ชัด
“เปล่าๆ คงไม่มีเสียงอะไรแล้วมั้ง ไปๆ ตรวจตรงอื่นได้ๆ ตรงนั้นไม่ต้องตรวจแล้ว” ปลายสายบอกก่อนที่จะเงียบไป นายตำรวจหนุ่มมองรอบๆ ลมพัดกรูเข้ามาจนเขาสะดุ้ง ขนลุกอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะ
สตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ขับออกไป