น้ำไนล์ ทะเลทราย พีระมิด ตอนที่ 1 : โอเบลิสก์ที่โลกลืม

น้ำไนล์ ทะเลทราย พีระมิด ตอนที่ 1 : โอเบลิสก์ที่โลกลืม

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

คอลัมน์ที่บอกเล่าเรื่องราว อารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ และเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์บ้าง ไม่ประวัติศาสตร์บ้าง วิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละเมือง แต่ละดินแดนที่ได้ประสบพบเจอ เสมือนให้ผู้อ่านได้ท่องเที่ยวดื่มด่ำไปด้วยกัน ผ่อนคลายจากวันที่เหนื่อยล้า เปิดโลก เปิดตา และเปิดใจ และที่สำคัญคือเพลิดเพลิน เหมือนชื่อของผู้เขียนนั่นเอง

ฉันเชื่อว่าดินแดนในฝันของใครหลายคนต้องมีอียิปต์อยู่ในลิสต์ ดินแดนแห่งอารยธรรมลุ่มแม่น้ำไนล์อันเก่าแก่ยาวนานอันเต็มไปด้วยตำนานเล่าขานมากมาย เรื่องราวลึกลับของมหาพีระมิด มัมมี่ ฟาโรห์ สฟิงซ์ คำสาป กับวิทยาการล้ำหน้าเกินยุคโบราณที่ยังคงเป็นปริศนาเป็นเสน่ห์ของอียิปต์ที่ดึงดูดใจให้ใครต่อใครใฝ่ฝันอยากไปเยือนให้เห็นกับตาสักครั้ง ฉันเองก็เช่นกัน ที่ฝันไว้ตั้งแต่เด็กว่าอยากมาเยือนดินแดนไอยคุปต์แห่งนี้ให้ได้สักครั้ง และในวันนี้ฝันก็เป็นจริงสักที

ฉันเลือกเดินทางไปกับคณะของคุณวิว แห่ง Point of View นักเล่าเรื่องคนเก่งที่ฉันติดตามมานาน ทำให้การเดินทางครั้งนี้ได้รับความรู้แบบสนุกและได้สาระ อีกทั้งยังได้เพื่อนใหม่อีกมากมาย ทำให้แม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการตะลอนเดินทาง อดนอนบ้างบางครั้ง แต่ทั้งทริปเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของคนที่รักการผจญภัยพอๆ กับรักสบายเหมือนๆ กัน แต่ขณะเดียวกันก็เป็นคนอยู่ง่าย กินง่าย ไม่เรื่องมาก และมีน้ำใจเอื้ออารีให้กัน ทุกอย่างทำให้การเดินทางไปอียิปต์ครั้งนี้แสนพิเศษ ประทับใจไม่รู้ลืม

01 | โอเบลิสก์ที่โลกลืม

ปกติเมื่อได้ยินคำว่าโอเบลิสก์ (Obelisk) หรือเสาโอเบลิสก์ เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึงเสาโอเบลิสก์ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางจัตุรัสคองคอร์ด (Place de la Concorde) ใจกลางกรุงปารีส หนึ่งในแลนด์มาร์คของฝรั่งเศสที่ไม่ว่าใครมาเยือนก็อดไม่ได้ต้องถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกและยืนมองให้เห็นกับตาสักครั้ง

นอกจากนั้นก็อาจจะนึกถึงเสาโอเบลิสก์ตามเมืองใหญ่ๆ ในอีกหลายประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์แห่งนครรัฐวาติกัน ถึงอย่างนั้นก็คงจะพอคุ้นพอทราบกันอยู่ดีว่าเป็นเสาโบราณของอารยธรรมอียิปต์ แต่ด้วยเหตุผลและเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์สารพัดเรื่อง ถึงมาโผล่ตามประเทศต่างๆ อีกมุมโลกได้

จริงๆ เสาโอเบลิสก์นี้ก็เป็นเสาโบราณจากอียิปต์นั่นละค่ะ มีอยู่มากมายหลายต้นกระจายทั่วประเทศตั้งแต่โบราณกาลนานมา แต่เสาโอเบลิสก์ที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นที่คนมักนึกถึงก็คือเสาต้นที่อยู่กลางจัตุรัสคองคอร์ดแห่งปารีส ซึ่งเดิมทีจะตั้งเป็นคู่อยู่หน้าวิหารลักซอร์ในอียิปต์ แต่ตอนนี้หน้าวิหารนั้นเหลือแค่ต้นเดียวเท่านั้น เพราะอีกต้นนั้นรัฐบาลอียิปต์ได้มอบเป็นของขวัญให้รัฐบาลฝรั่งเศสในปี 1835 แลกกับนาฬิกาเรือนหนึ่ง ซึ่งใช้งานเพียงสองเดือนก็เสียใช้การไม่ได้แล้ว ปัจจุบันหน้าวิหารลักซอร์จึงเหลือเพียงโอเบลิสก์ต้นเดียวโดดเดี่ยว

แต่จริงๆ แล้วเสาโอเบลิสก์คืออะไร มีความสำคัญอย่างไรกันแน่ ฉันก็ไม่เคยทราบจริงๆ จังๆ มาก่อน จนกระทั่งได้มาถึงดินแดนต้นกำเนิดนี่เอง

โอเบลิสก์ แปลว่าเข็มแหลม เหล็กแหลม หรือเสาปลายแหลม มีลักษณะเป็นแท่งสูง มีสี่ด้าน ฐานกว้างแล้วค่อยๆ เรียว บริเวณยอดตัดจนมีมุมแหลมแบบพีระมิด ปลายยอดห่อหุ้มด้วยโลหะผสมทองคำและเงิน ตัวเสาแกะสลักด้วยอักษรเฮียโรกลิฟฟิก เล่าตำนานเทพเจ้าประจำวิหารและฟาโรห์ผู้สร้างวิหาร ดังนั้นเสาโอเบลิสก์จึงเปรียบเสมือนอนุสรณ์อันแสดงนัยยะสำคัญของสถานที่แห่งนั้น หรือเรียกได้ว่าแสดงความเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของอียิปต์ยุคโบราณ

แต่ที่มาหรือความสำคัญของโอเบลิสก์น่าจะมีมากกว่านั้น ว่ากันว่าสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้ารา (Ra) หรือ อามุน-รา (Amun-Ra) สุริยเทพผู้ยิ่งใหญ่ เนื่องจากสอดคล้องกับบางงานวิจัยว่า ชาวอียิปต์สมัยนั้นน่าจะได้รับอิทธิพลเรื่องการสร้างเสาโอเบลิสก์มาจากปรากฏการณ์ Sun Pillar หรือเสาสุริยะ เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเมื่อลำแสงอาทิตย์ฉายแสงยามรุ่งเช้าและยามตะวันลับฟ้า เมื่อแสงอาทิตย์ฉายส่องประกายริมขอบฟ้าตัดผิวน้ำทะเล ลำแสงจะสะท้อนทาบบนผิวน้ำจนแลดูคล้ายเป็นเงาต้นเสา กลายเป็นที่มาของเสาสุริยะ สัญลักษณ์แห่งสุริยเทพรา เสาโอเบลิกส์จึงน่าจะได้รับอิทธิพลหรือแรงบันดาลใจมาจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้นั่นเอง

ด้านหลังแท่งยาวๆ คือ เสาโอเบลิสก์

พอได้รู้ว่าการเดินทางมาอียิปต์ครั้งนี้ เราจะได้ไปชมเสาโอเบลิสก์ด้วย ฉันก็ดีใจและตั้งตารอพอสมควร อยากรู้ว่าเสาต้นกำเนิดจริงๆ หน้าตาเป็นอย่างไร แถมคุณวิวยังบอกว่า เราจะได้เห็นเสาโอเบลิสก์มากมายหลายเสาตลอดทั้งทริปอีกด้วย

แต่ฉันก็ยิ่งเซอร์ไพรส์ เมื่อเราเปิดประเดิมสถานที่แรกๆ ของทริปด้วยเสาโอเบลิสก์ แต่ไม่ใช่เสาโอเบลิสก์หน้าวิหารลักซอร์ แต่เป็นเสาโอเบลิสก์ที่สร้างไม่เสร็จ! หรือที่มีชื่อเรียกกันเป็นทางการเลยว่า The Unfinished Obelisk

ต้องเล่าก่อนว่า เราบินจากกรุงเทพฯ ไปเปลี่ยนเครื่องที่โอมานก่อน จากนั้นบินจากโอมานมาลงสนามบินไคโร ค้างที่กรุงไคโรหนึ่งคืน จากนั้นเช้าตรู่ก็รีบขึ้นเครื่องบินในประเทศไปลงเมืองอัสวาน (Aswan) โดยเราจะเริ่มต้นเที่ยวจากเมืองอัสวานนี้เอง ลงจากเครื่องเราก็ไปชมเขื่อนอัสวานก่อน แล้วจึงตามด้วย The Unfinished Obelisk นี้ค่ะ

ตอนแรกที่ได้ยินว่าเราจะไปชมโอเบลิสก์ที่ยังสร้างไม่เสร็จ ในหัวฉันและเพื่อนๆ ก็นึกถึงเสาตั้งตระหง่านที่อาจจะหักหรือยังเกลาขึ้นปลายแหลมไม่เสร็จ ยังไม่หุ้มทองหุ้มเงินตามต้นตำรับ หรือยังไม่ได้สลักจารึกอักษรเอาไว้ คุณวิวเองก็อุบไว้ให้พวกเราประหลาดใจเล่น เพราะพอพวกเรามาถึงก็พบกับลานหินกลางแจ้ง มีเนินหินเรียงรายกลางแสงแดดแผดเผา แม้จะอากาศเย็นมีลมพัดก็เถอะ แล้วก็ให้พวกเราเดาว่า เสาอยู่ที่ไหน? คนนั้นก็ชี้ไปทางนั้น คนโน้นก็เดาไปทางนี้ สรุปก็ให้เดินกึ่งปีนหินตามมัคคุเทศก์และคุณวิวไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ จนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าหลุมหนึ่งที่มีก้อนหินมหึมาฝังตัวอยู่ ทั้งไกด์ทั้งคุณวิวก็เลยเฉลยด้วยรอยยิ้มและแววตาสนุกทะเล้นว่า… นี่แหละค่า

ก็เสาที่ยังสร้างไม่เสร็จ มันก็นอนเป็นหินอยู่ตรงนี้ไง

แล้วไกด์กับคุณวิวก็เริ่มเล่าว่าเจ้าเสาที่สร้างไม่เสร็จนี้ ถูกพบในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นี่เอง หลังจากถูกทรายปกคลุมอยู่นานหลายพันปี และปัจจุบันก็ยังอยู่ที่เดิมในสภาพเดิมที่เหมืองหินแห่งเมืองอัสวานที่พวกเรากำลังยืนอยู่นี่เอง

เสาต้นนี้มีเรื่องน่าอัศจรรย์ที่ชวนให้คนรุ่นหลังอย่างเราๆ ได้ทึ่งกันหลายเรื่อง ตั้งแต่เสานี้แกะสลักจากหินแกรนิตชิ้นใหญ่เพียงชิ้นเดียวโดยตรง จึงอยู่ติดกับพื้นหินเช่นนี้มาโดยตลอด มีขนาดความสูง 42 เมตร หนัก 1,168 ตัน สร้างขึ้นราว 1,500 ปีก่อนคริสตกาล ก็ราวๆ 3,500 ปีมาแล้ว! ซึ่งอยู่ในรัชสมัยของฮัตเชปซุต (Hatshepsut) ฟาโรห์หญิงองค์แรกและองค์เดียวของอียิปต์ โดยตั้งใจจะใช้เป็นโอเบลิสก์สำหรับตั้งไว้หน้าวิหารคาร์นัค (Karnac) ในเมืองลักซอร์

ภาพจาก https://www.flickr.com/ โดย Dan Lundberg

แต่กระนั้น ฟังไปก็เกิดสงสัยว่า คนสมัยก่อนเขาจะขนย้ายเสาหินมหึมาอันแสนหนักอึ้งนี่จากอัสวานไปคาร์นัคที่ลักซอร์ได้อย่างไรกันนะ แต่ไม่ทันได้เก็บความสงสัยไว้นาน ก็ได้รับคำอธิบายว่าเขาจะค่อยๆ เซาะขอบร่องส่วนที่จะเป็นเสาก่อน จากนั้นจะใช้น้ำร้อนฉีดเข้าไปจนหินขยายตัว จึงเอาส่วนที่เป็นเสาออกมาได้ จากนั้นก็ลำเลียงล่องมาตามแม่น้ำไนล์จนถึงที่หมาย ซึ่งได้ขุดหลุมทรายไว้ตอนสร้างไพลอนวิหารแล้ว (ไพลอน คือ ประตูใหญ่หน้าวิหาร เข้าไปจะเป็นลานกว้าง ก่อนจะถึงชั้นในตัววิหารอีกที) แล้วให้เสาค่อย ๆ ไหลลงไปยังตำแหน่งที่ตั้ง

โอ้โฮ… ทุกขั้นตอนกระบวนการนี่ช่างละเอียดและต้องใช้ฝีมือ แรงงาน เวลา และความชำนาญอย่างมาก สมกับคำร่ำลือของ “ความอียิปต์” จริงๆ

แต่เรื่องของเสาเจ้ากรรมต้นนี้ก็มีอยู่ว่า ระหว่างที่กำลังก่อสร้างนั้นเอง ตัวเสาเกิดมีรอยร้าวชำรุด แตกเสียหายขึ้นเสียก่อน และด้วยความที่สลักจากหินแกรนิตก้อนใหญ่ก้อนเดียวเน้นๆ จึงไม่สามารถซ่อมแซมแก้ไขได้ จำเป็นต้องทิ้งผลงานประติมากรรมอันน่าทึ่งนี้ ล้มเลิกโครงการไปโดยปริยาย

คนฟังอย่างเราๆ ก็ได้แต่อ้าปากค้างด้วยความเสียดาย… ทิ้งเลยหรือนี่

น่าเสียดาย เพราะเชื่อกันว่า หากเสาโอเบลิสก์ต้นนี้สร้างเสร็จสมบูรณ์ละก็ จะกลายเป็นเสาหินที่สูงที่สุดในโลกเลยทีเดียว

แต่อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้เจ้าเสาโอเบลิสก์ที่สร้างไม่เสร็จต้นนี้ก็ถูกบำรุงดูแลและรักษาโครงสร้างนี้ไว้อย่างดีให้เป็นสมบัติทางโบราณคดีของมนุษยชาติ สะท้อนภูมิปัญญาและวิทยาการล้ำหน้าของชาวอียิปต์โบราณให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา

และฉันก็โชคดีได้มาเห็นหลักฐานชิ้นสำคัญทางโบราณคดีอย่างนี้ด้วยตาตัวเอง ต่อให้แดดร้อนแค่ไหนก็ไม่หวั่น (ก็ทาครีมกันแดดมาเต็มที่แล้ว)

สำหรับฉัน โอเบลิสก์ต้นนี้ไม่ใช่แค่ Unfinished Obelisk แต่เป็น Forgotten Obelisk หรือโอเบลิสก์ที่โลกลืมมากกว่า เพราะในขณะที่ผู้คนจดจำหรือให้ความสนใจโอเบลิสก์กลางคองคอร์ด โอเบลิสก์กลางวาติกัน หรือแม้แต่โอเบลิสก์หน้าวิหารลักซอร์

ทว่ากลับยังมีโอเบลิสก์ที่ยังไม่ถูกตัดออกมาจากหิน ยังไม่กลายร่างเป็นเสา ยังไม่ทันได้ตั้งตระหง่านเหมือนเพื่อนๆ นอนนิ่งสงบอยู่กลางความเวิ้งว้างในเหมืองหินแห่งอัสวาน

แต่ฉันได้รู้แล้ว ได้เห็นแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ใช่โอเบลิสก์ที่ถูกลืมแล้วละ…

Don`t copy text!