“See Ankor Wat and Die” แก๊งนางอัปสรในนครวัด
โดย : พิมพ์อักษรา
คอลัมน์ที่บอกเล่าเรื่องราว อารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ และเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์บ้าง ไม่ประวัติศาสตร์บ้าง วิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละเมือง แต่ละดินแดนที่ได้ประสบพบเจอ เสมือนให้ผู้อ่านได้ท่องเที่ยวดื่มด่ำไปด้วยกัน ผ่อนคลายจากวันที่เหนื่อยล้า เปิดโลก เปิดตา และเปิดใจ และที่สำคัญคือเพลิดเพลิน เหมือนชื่อของผู้เขียนนั่นเอง
หยุดยาววันแม่สุดสัปดาห์หนึ่ง ฉันกับพี่สาววางแผนว่าเราจะพาคุณป้าไปเที่ยว
เนื่องจากเป็นวันแม่ แต่แม่ของพวกเราเสียไปนานหลายปีแล้ว คุณป้ามีส่วนช่วยเลี้ยงดูพวกเรามา ก็เหมือนแม่คนหนึ่ง พาไปเที่ยววันแม่นี่ละเหมาะสมแล้ว ก็เลยเลือกประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงอย่างกัมพูชา เดินทางง่าย นั่งเครื่องบินหนึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว เหมาะกับผู้สูงอายุ
และถือโอกาสเก็บมรดกโลกและหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณที่อยู่ใน Bucket List ใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กว่าจะต้องมาเยือนให้ได้อย่างนครวัดด้วยเสียเลย
ยิ่งถ้าเป็นแฟนนิยายเรื่อง “สุริยวรรมัน” ของคุณทมยันตีด้วยแล้ว ก็ต้องมีกรี๊ดบ้างละ
ฉันกับพี่วางแผนเที่ยวเองทั้งหมดโดยร่วมปรึกษากับคนขับรถท้องถิ่นด้วย โดยนครวัดจะอยู่ในรายการวันที่สามของการเดินทาง ซึ่งไฮไลต์สำคัญคือการชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัด ที่เราจะเห็นแสงแรกฉาบฟ้าสะท้อนปราสาทหลังมหึมาในเงาน้ำ และดวงอาทิตย์โคจรตระหง่านเป็นฉากหลังกลางยอดพระปรางค์ เป็นภาพในตำนานที่คนร่ำลือกันว่ามหัศจรรย์มาก
ดังนั้น คืนวันที่สองเราต้องนอนกันแต่หัวค่ำ พักผ่อนให้มาก เพื่อให้ตื่นทันไปชมพระอาทิตย์ขึ้นตอน 5.50 น. ซึ่งหมายความว่าเราจะต้องตื่นกันตั้งแต่ตีสามครึ่งเลย
คนขับของเราเป็นชาวกัมพูชาที่พูดไทยได้ อัธยาศัยดี มารยาทดี และมีความรู้เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศเป็นอย่างดี เขาแนะนำว่าช่วงนี้อยู่ในฤดูฝน ถ้าฝนตกก็อาจไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้น ดังนั้น ถ้าตื่นมาแล้วฝนตกก็ให้นอนต่อได้เลย แล้วเขาจะมารับที่โรงแรมเจ็ดโมงเช้าแทน
แต่โชคเป็นของพวกเรา ตื่นมาตีสามครึ่ง ฝนไม่ตก อากาศกำลังเย็นสบาย ไปถึงเวลา 5.20 น. พอดี ไม่เร่งรีบ เพราะจากจุดจอดรถต้องเดินเข้าไปอีกพอสมควรกว่าจะถึงจุดชมพระอาทิตย์ และตรงจุดนั้นเองที่เราจะเริ่มเห็นเงาตะคุ่มของปราสาทมหึมาน่าเกรงขามในความมืดสลัวของรุ่งสาง พวกเราสามคนพากันเบียดตัวแทรกฝูงชนจำนวนมากเพื่อหาที่เหมาะ ๆ สำหรับชมแสงอรุณรุ่งเช้าของนครวัด
และแล้ว… แสงรุ่งสางสีส้มอมชมพูก็ค่อย ๆ ฉายฉาบผืนฟ้า ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ แง้มอวดโฉม โคจรขึ้นฟ้าทีละน้อย ภาพสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณก็ค่อย ๆ พ้นเงาสลัวทีละนิด ปรากฏโฉมให้หมู่มวลนักท่องเที่ยวแน่นขนัดตรงหน้าสระน้ำตกตะลึงตาค้าง เงาสิ่งก่อสร้างอันแข็งแกร่งตั้งตระหง่านผ่านกาลเวลาก็ทาบทับสะท้อนลงบนผืนน้ำ
ฝูงชนส่งเสียงฮือฮาและปรบมือด้วยความตื้นตันประทับใจต่อภาพตรงหน้า
ถึงฉันจะเสียดายหน่อยที่ไม่สามารถถ่ายเห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้อย่างที่หวัง แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะภาพที่เห็นเมื่อครู่ก็เกินบรรยายจนน้ำตาไหลแล้ว
ได้มาเยือนแล้ว สิ่งมหัศจรรย์ของโลก อย่างที่มีคำกล่าวไว้ว่า
See Ankor Wat and Die
ต้องได้เห็นสักครั้งหนึ่งในชีวิตเนอะ…
หลังจากนั้นเราสามคนก็จะเริ่มผ่านประตูตรงระเบียงคด (1) เข้าไปสำรวจชมความยิ่งใหญ่ข้างใน
นครวัด (Angkor Wat) สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 1696-1693 ก็ประมาณเกือบพันปีมาแล้ว สร้างโดยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เพื่อเป็นสุสานของพระองค์ จึงหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ผิดกับเทวาลัยแบบอื่นและเป็นศาสนสถานที่สร้างขึ้นตามคติฮินดูที่มีเขาพระสุเมรุและเกษียรสมุทรล้อมรอบ เราจึงเห็นบารายหรือสระน้ำล้อม ต่อมาในยุคพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้เปลี่ยนไปนับถือพุทธคติมหายาน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นฮินดูไวษณนิกายที่นับถือพระวิษณุเป็นไศวนิกายที่นับถือพระศิวะ เราจึงจะเห็นคติความเชื่อหลากหลายที่นี่
กว่าจะเป็นปราสาทนครวัดนั้นไม่ง่าย อาศัยการวางแผนผังโครงสร้างอย่างละเอียด แสดงถึงภูมิปัญญาและความรู้เชิงวิศวกรรม สถาปัตยกรรมขั้นสูง และที่สำคัญคือศรัทธาสูงสุด เพราะการก่อสร้างนครวัดต้องใช้แรงงานคนนับแสน แรงงานช้างเป็นหมื่นเชือก ขนและชักลากหินจากเขาพนมกุเลน ที่อยู่ไกลออกไปราว 50 กิโลเมตร ต้องใช้หินปริมาตรหลายล้านลูกบาศก์เมตร มาสร้างปราสาทนครวัด จึงทั้งกว้างขวาง ใหญ่มหึมา และซับซ้อนประณีตชนิดที่ให้เดินทั้งวันก็ไม่หมด แต่พวกเราสามคนมีเวลากันเพียงสามชั่วโมงเท่านั้นเอง
แต่ละคนก็ชอบต่างกัน ส่วนตัวฉันประทับใจภาพสลักหินของนางอัปสราตรงกำแพงชั้นนอกรอบปราสาทเป็นพิเศษ พวกนางอยู่ในกลุ่มรูปแกะสลักตามวรรณคดีรามายณะที่เทวดากับอสูรกวนเกษียรสมุทรด้วยกัน ซึ่งรวมถึงนางอัปสราหรืออัปสร 1,635 นาง ที่จะมีเครื่องทรงและทรงผมไม่ซ้ำกันเลย
ฉันใช้เวลาเดินชมแผ่นสลักหินนางอัปสรตามจุดต่าง ๆ อย่างเพลิดเพลิน แต่แล้วเมื่อมาถึงเสาต้นหนึ่งก็ต้องอึ้งไป… ใครมือบอนเติมปากชมพูให้นางอัปสรทั้งสาม!
มัคคุเทศก์ของนักท่องเที่ยวกลุ่มใกล้ ๆ เห็นท่าทางช็อกของฉันพอดี ก็เลยใจดีอธิบายให้ว่า เป็นฝีมือนักท่องเที่ยวจีนที่ไร้จิตสำนึก นอกจากนั้นยังมีศิลาอีกหลายจุดที่นักท่องเที่ยวเอาปากกาไปเขียนสลักชื่อตนเองไว้
ช่างน่าเศร้า… เศร้าจริง ๆ
แต่ตอนนี้ทางการก็พยายามกวดขันเข้มงวดมากขึ้น ถึงอย่างนั้น มีนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลเดินทางมาทุกวัน ก็อาจรอดหูรอดตาไปได้บ้าง
หลังจากนั้นเราก็เลยแอบฟังมัคคุเทศก์อธิบายให้ฝรั่งฟังต่อ เผื่อจะได้ความรู้ไปด้วย เนื่องจากพวกเราไม่มีมัคคุเทศก์ คนขับรถของพวกเราไม่มีใบอนุญาตนำเที่ยวก็เลยไม่สามารถนำเที่ยวพวกเราในนครวัดได้ ได้ความมาว่าคำว่า “อังกอร์วัด” จริง ๆ มาจากคำว่า “นง กอร์” ซึ่งแปลว่า นคร หรือเมืองนั่นเอง นงกอร์ วัดก็หมายถึงนครแห่งวัดมากมาย
ทีนี้พอคนฝรั่งเศสมาเรียกก็เลยเพี้ยนไปเป็น “อังกอร์”
พวกเราเดินต่อไปอีกพักใหญ่ ยังมีอะไรให้ชมอีกมากไม่รู้จบ รวมถึงต่อคิวขึ้นยอดพระปรางค์ซึ่งบันไดขึ้นชันมาก พอลงมาฉันเริ่มเมื่อย แต่คุณป้ายังแรงดีอยู่ ดูเวลาก็ผ่านมาเกินสามชั่วโมงแล้ว เกรงใจคนขับจะรอนาน แก๊งนางอัปสรจำเป็นก็เลยจำใจอำลาอังกอร์วัด นครแห่งวัดมากมายอันยิ่งใหญ่ไปอย่างแสนเสียดาย
Bucket list checked!
เชิงอรรถ :
(1) ระเบียงคด เป็นห้องยาวต่อเนื่องเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าล้อมรอบปราสาทชั้นใน เป็นทางเดินที่มีผนังกั้นและหลังคาคลุม ภายในสามารถเดินทะลุถึงกันได้ตลอด
- READ Unseen Italy : Matera เมืองที่เหลืองเหมือนกระดาษเก่า
- READ เมืองลึกลับในเงื้อมเขา
- READ เพราะเชียงตุงไม่ใช่ดอยตุง
- READ เร้นลับหลังคาโลก
- READ เล่าเรื่องบอลข่าน "มอนเตเนโกร เมืองในปราการขุนเขาสีดำ"
- READ เล่าเรื่องบอลข่าน "จักรพรรดิดิโอคลิเชียนผู้โหดร้าย"
- READ แสงสุดท้ายที่ตาพรหม "ปราสาทรากไม้ลึกลับกลางพงไพร"
- READ "See Ankor Wat and Die" แก๊งนางอัปสรในนครวัด
- READ "Sbeitla" หลงทางยังหาเจอ หลงเธอสิเหลือทน