เล่าเรื่องบอลข่าน “จักรพรรดิดิโอคลิเชียนผู้โหดร้าย”
โดย : พิมพ์อักษรา
คอลัมน์ที่บอกเล่าเรื่องราว อารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ และเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์บ้าง ไม่ประวัติศาสตร์บ้าง วิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละเมือง แต่ละดินแดนที่ได้ประสบพบเจอ เสมือนให้ผู้อ่านได้ท่องเที่ยวดื่มด่ำไปด้วยกัน ผ่อนคลายจากวันที่เหนื่อยล้า เปิดโลก เปิดตา และเปิดใจ และที่สำคัญคือเพลิดเพลิน เหมือนชื่อของผู้เขียนนั่นเอง
ฉันชอบเมืองเก่า ชอบโบราณสถาน หลงใหลร่องรอยอารยธรรมเก่าแก่ ผู้อ่านก็คงพอทราบบ้างแล้วจากสถานที่ที่ฉันพาไปชมที่ผ่านมา แต่จะหาเพื่อนคอเดียวกันค่อนข้างยาก เพราะประวัติศาสตร์ ของเก่า เมืองเก่า เป็นเรื่องน่าเบื่อเข้าใจยากสำหรับคนส่วนใหญ่ ดังนั้น พอเจอทัวร์เมืองโบราณที่มีแต่คนที่ชื่นชอบหลงใหลในสิ่งเดียวกัน ฉันจึงไม่รีรอตอบตกลงและจองทันที…
ประเทศกลุ่มคาบสมุทรบอลข่านเป็นปลายทางที่น่าตื่นเต้น ฉันตั้งตารอเอามาก ๆ และให้เวลากับประเทศโครเอเชียมากที่สุด มีอะไรให้ตื่นตาตื่นใจค้นหาจนสาธยายไม่หมด ถ้าให้เล่าหมดได้คงเขียนได้เป็นเล่มย่อม ๆ
เอาเป็นว่า หากต้องเลือกเมืองโบราณสักแห่งในโครเอเชียเล่าให้ผู้อ่านรู้จัก ฉันขอแหวกแนวไม่เลือกดูบรอฟนิกอันโด่งดังจากซีรี่ส์ Game of Throne มาเลือก “พระราชวังดิโอคลิเชียน” (Diocletian Palace) แห่งเมืองสปลิท (Split) แทน เพราะสปลิทเป็นเมืองท่าสำคัญ เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของโครเอเชีย และเป็นเมืองที่มีบุคคลสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ยุคโรมันอย่างจักรพรรดิโอคลิเชียนอยู่ด้วย กัน ทั้งยังมีบางฉากใน Game of Thrones ถ่ายที่พระราชวังแห่งนี้อีกด้วย
เมื่อพูดถึงพระราชวังดิโอคลิเชียน ฉันก็คงต้องแวะเล่าถึงตัวจักรพรรดิดิโอคลิเชียนให้รู้จักกันก่อน พระองค์เป็นกษัตริย์ในยุคจักรวรรดิโรมัน หากระบุช่วงเวลาให้เฉพาะเจาะจง ยุคของท่านจะเป็นยุคเริ่มต้นของจักรวรรดิโรมันตะวันออก หรือที่เรียกว่าจักรวรรดิไบแซนไทน์นั่นเอง
ดิโอคลิเชียนเดิมเป็นสามัญชน รับราชการในกองทัพโรมัน แต่เป็นคนทะเยอทะยานและเป็นคนเก่ง ทำให้ขึ้นตำแหน่งสูงได้เร็วจนเป็นถึงผู้นำกองทัพ ยุคนั้นทหารเริ่มมีอำนาจสูงกว่าสภาสูง (Senate) ขึ้นเรื่อย ๆ ชนิดที่ว่าครอบงำจักรพรรดิได้ ถึงขั้นว่าสามารถสังหารจักรพรรดิโรมันทิ้งได้ถ้าไม่ชอบใจ
และสิ่งนั้นก็เกิดขึ้น เมื่อกองทัพกำจัดจักรพรรดิเดิมไปได้ กองทัพก็เลือกดิโอคลิเชียนขึ้นเป็นจักรพรรดิ (Emperor) โรมัน พระองค์ปกครองอยู่ราว 20 ปีก็ทรงอยากเกษียณ จึงเลือกกลับมาอยู่บ้านเกิดที่เมืองสปลิทเนื่องจากอากาศดี อบอุ่น ทำเลดี เหมาะแก่การพักผ่อนในบั้นปลาย และทรงสร้างพระราชวังดิโอคลิเชียนขึ้นมาตอนนั้นเอง
แต่ตามหน้าประวัติศาสตร์เล่าไว้ว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ดุร้าย ที่ว่าโหดร้ายนั้น ต้องเท้าความก่อนว่าในอดีตสมัยนั้น ชาวโรมันต่อต้านศาสนาคริสต์อย่างรุนแรง ดิโอคลิเชียนเองก็ทรงนับถือเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ตามความเชื่อโรมัน รวมถึงยกย่องตัวเองเป็นพระเจ้าไปด้วย
ดังนั้นใครไม่เห็นด้วยกับพระองค์ หรือใครนับถือคริสต์ก็จะทรงจับไปตัดหัวหรือสังหารด้วยวิธีโหดร้ายต่าง ๆ นานา เช่น โยนลงไปในบ่อสิงโต ในรัชสมัยของพระองค์นั้นชาวคริสต์โดนฆ่าล้างทำลายไปมหาศาล จึงมีผู้โกรธแค้นดิโอคลิเชียนเป็นอันมาก เมื่อสิ้นพระองค์พวกชาวเมืองโซลิน หรือซาโลนา (Solin / Salona) ซึ่งนับถือศาสนาคริสต์จึงลุกฮือทำลายทุกอย่างที่เป็นของพระองค์ทั้งจักรวรรดิที่ดิโอคลิเชียนขยายไปถึงนั่นเลยทีเดียว พูดง่าย ๆ ก็คือ ลบจักรพรรดิดิโอคลิเชียนออกจากหน้าประวัติศาสตร์เป็นการแก้แค้น
เพราะการแก้แค้นศัตรูที่เป็นถึงจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ก็คือการลบออกจากหน้าบันทึกประวัติศาสตร์!
ส่วนพระศพของพระองค์ ชาวคริสต์ผู้โกรธแค้นก็ขุดเอาร่างพระองค์จากสุสานโยนทิ้งทะเลลงไป จึงเท่ากับว่าพระศพของพระจักรพรรดิดิโอคลิเชียนผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรของจักรวรรดิโรมันจมอยู่ที่ใดสักแห่งในท้องทะเลอาเดรียติก และสลายไปตามกาลเวลาเสียอย่างนั้น (หรือถูกฝูงปลาแทะกินจนหมดแล้วก็ได้)
จากนั้นก็เอาร่างนักบุญดอมนิอุส (St.Domnius) มาใส่ในโลงแทนและสร้างเป็นโบสถ์นักบุญดอมนิอุส (The Cathedral of St.Domnius) ขึ้นมา
หลักฐานเดียวที่ยังเหลือให้เห็นหน้าตาของจักรพรรดิดิโอคลิเชียนก็คือพระพักตร์พระองค์บนเหรียญเมืองสปลิท จึงทำให้คนรุ่นหลังพอเดาหน้าตาของพระองค์ได้
พระราชวังดิโอคลิเชียนแห่งนี้เป็นสร้างตามลักษณะของสถาปัตยกรรมโรมันอันโอ่อ่า ตรงลานกลางพระราชวังที่คล้าย Courtyard ตามรูปนั้นได้กลายเป็นแลนด์มาร์คที่ผู้คนจดจำเกี่ยวกับพระราชวังนี้ และยังเป็นฉากที่ใช้ถ่ายทำบางตอนใน Game of Throne ด้วย เรียกว่า Peristyle แปลเป็นภาษาไทยว่าระเบียงคด ซึ่งลักษณะของระเบียงคดจะก่อเป็นห้องยาวต่อเนื่องเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าล้อมรอบปราสาทชั้นใน เป็นทางเดินที่มีผนังกั้นและหลังคาคลุม ภายในสามารถเดินทะลุถึงกันได้ตลอด ชวนให้นึกถึงนครวัดที่ได้มาไปเยือนคราวก่อน ด่านแรกก่อนเข้าไป ฉันก็ต้องผ่านระเบียงคดแบบนี้
แต่ระเบียงคดของพระราชวังแห่งนี้มีขนาดย่อมกว่ามาก และไม่ได้ล้อมปราสาทชั้นในขนาดนั้น ฉันจึงรู้สึกว่าคล้ายกับลักษณะลานกว้างที่ล้อมด้วยระเบียง ทางเดิน (Courtyard) มากกว่า
นอกจากนี้ยังมีศิลปวัตถุ รูปปั้นที่เต็มไปด้วยเรื่องราวจำนวนมากตลอดทั้งพระราชวังแห่งนี้
อย่างที่ได้เกริ่นไปตอนต้นว่าพระราชวังแห่งนี้อยู่มาเป็นพันปี ผ่านมาหลายยุคหลายสมัย มีคนเข้ามาดัดแปลงเป็นที่อยู่อาศัยก็มาก พระราชวังดิโอคลิเชียนเลยค่อนข้างปะปนไปหมด มีทั้งร้านค้า อาคารพาณิชย์ บ้านเรือนที่อยู่อาศัยแทรกปนไปกับพระราชวัง เพิ่งจะมีช่วงปีค.ศ. 1979 นี้เองที่ UNESCO เข้ามาคุ้มครองพระราชวังดิโอคลิเชียน ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ห้ามคนย้ายเข้ามาหรือสร้างที่อยู่อาศัยเพิ่มเติมอีก แต่คนที่อาศัยอยู่ดั้งเดิมแล้วให้อยู่ต่อไปได้ เพียงแต่งดการสร้างเสริมต่อเติมเพิ่ม
สำหรับฉันก็ว่าแปลกดี ไม่เคยเห็นสิ่งแบบนี้ในสถาปัตยกรรมยิ่งใหญ่ เพราะบรรยากาศโดยรอบที่เห็นตรงหน้าคือพระราชวังที่ผุกร่อนตามเวลา แต่ก็มีบ้านเรือนร้านค้าปะปนไปกับพระราชวังด้วย
เรียกว่าเป็นอีกแห่งที่ประทับใจในเรื่องราวและความยิ่งใหญ่เก่าแก่ของสถาปัตยกรรมอย่างมาก แต่หากจะว่าไปก็อาจเป็นคำพูด
แท้จริง สิ่งที่ถูกใจที่สุดคือนักรบโรมันที่มายืนเชียร์ให้ฉันถ่ายรูปควงดาบคู่กับพวกเขานั่นต่างหาก อย่างกับหลุดออกมาจากซีรี่ส์เลยเชียว
- READ Unseen Italy : Matera เมืองที่เหลืองเหมือนกระดาษเก่า
- READ เมืองลึกลับในเงื้อมเขา
- READ เพราะเชียงตุงไม่ใช่ดอยตุง
- READ เร้นลับหลังคาโลก
- READ เล่าเรื่องบอลข่าน "มอนเตเนโกร เมืองในปราการขุนเขาสีดำ"
- READ เล่าเรื่องบอลข่าน "จักรพรรดิดิโอคลิเชียนผู้โหดร้าย"
- READ แสงสุดท้ายที่ตาพรหม "ปราสาทรากไม้ลึกลับกลางพงไพร"
- READ "See Ankor Wat and Die" แก๊งนางอัปสรในนครวัด
- READ "Sbeitla" หลงทางยังหาเจอ หลงเธอสิเหลือทน