
Slow life in Scandinavia 1 : โคเปนเฮเกนเมืองแห่งความสุข
โดย : พิมพ์อักษรา
เที่ยวเพลิน เดินทาง คอลัมน์ที่บอกเล่าเรื่องราว อารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ และเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์บ้าง ไม่ประวัติศาสตร์บ้าง วิถีชีวิตของผู้คนที่ได้ประสบพบเจอ เสมือนให้ผู้อ่านได้ท่องเที่ยวดื่มด่ำไปด้วยกัน ผ่อนคลายจากวันที่เหนื่อยล้า เปิดโลก เปิดตา และเปิดใจ และที่สำคัญคือเพลิดเพลิน เหมือนชื่อของผู้เขียนนั่นเอง
“อยากไปชาร์จพลังโดยไม่มีเหตุผล”
“อยากไปรู้จักเมืองที่ได้ชื่อว่าประชากรมีความสุขและคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง”
เหตุผลแค่นี้ที่ฟังดูน่าหมั่นไส้ที่จะออกเดินทาง แต่ก็เป็นเหตุผลหลักที่ฉันเลือกโคเปนเฮเกนเป็นจุดหมายหลักในทริปฤดูร้อนนี้ ที่บอกฤดูร้อนคือฤดูร้อนของเดนมาร์ก ซึ่งก็คือฤดูร้อนกึ่งฝนของบ้านเราอยู่ดี
ที่มาหรือแรงบันดาลใจของทริปนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่มาจากการ ‘ได้ยินเสียงเรียกข้างใน’ หรือ ‘Calling’ มาสักพักใหญ่ๆ แล้วว่าให้มาเที่ยวประเทศเดนมาร์ก เฉพาะเจาะจงที่โคเปนเฮเกนเลย
ใช่ค่ะ เหตุผลง่ายๆ เท่านี้เลย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน อาจเป็นโชคชะตาก็เป็นได้ ฉันคิดเรื่องไปเที่ยวที่นี่มาได้สองปีแล้วแต่เวลาไม่ลงตัว จนกระทั่งเข้าต้นปีนี้ เสียงเรียกร้องข้างในมันดังขึ้นเรื่อยๆ จนฉันต้องจัดเวลาสำหรับทริปนี้ อาจเพราะข้างในเรียกร้องให้หยุดความเครียดแล้วมารับพลัง รีชาร์จพลังชีวิตใหม่ในประเทศที่พลังงานดีรอบด้านก็ได้
เดินทางมาหลายประเทศหลายทวีปแล้ว แต่สแกนดิเนเวียเป็นดินแดนที่ฉันยังไม่เคยเหยียบย่างไปเลย ได้ยินแต่ชื่อเสียงบ้านเมืองที่สงบ สะอาด เป็นระเบียบ ทิวทัศน์งดงาม อากาศบริสุทธิ์สดชื่น แม้หน้าหนาวจะหนาวเหน็บถึงกระดูก แต่ฤดูที่เหลือคืออากาศสะอาด และคุณภาพชีวิตที่เยี่ยมยอด และทำให้คนที่นี่มีความสุข ฉันจึงตื่นเต้นมากในการแพลนทริปนี้ และตั้งใจว่าจะเที่ยวเอง ไม่ไปกับทัวร์เหมือนครั้งหลังๆ เพราะอยากค่อยๆ ใช้เวลาดื่มด่ำบรรยากาศ ไม่เร่งรีบ ไม่กดดันว่าจะต้องเก็บไฮไลต์สถานที่ท่องเที่ยวให้ครบ เน้นไปเดินเล่นเสพความเป็นเดนมาร์ก เสพวิถีชีวิตสแกนดิเนเวียให้ได้มากที่สุด
แต่ไหนๆ มาเที่ยวทั้งที มีเวลาสิบเอ็ดวัน อยู่ในโคเปนเฮเกนทั้งหมดก็ดูจะเยอะเกิน ก็เลยแบ่งสี่วันให้กับนอร์เวย์ด้วย ก็น่าตื่นเต้นไม่แพ้กันค่ะ
ฉันเลือกเดินทางช่วงเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นฤดูร้อนของทางสแกนดิเนเวีย เป็นฤดูที่น่าเที่ยวที่สุดแล้วเพราะอากาศเย็นสบาย ไม่หนาวไม่ร้อนเกิน อยู่ราวๆ 10-18 องศา กำลังดีพอให้แต่งตัวสวยๆ ได้ ไม่ต้องพอกเสื้อกันหนาวหนาหลายชั้น ต้นไม้ใบหญ้าจะเขียวขจี ดอกไม้จะบานสะพรั่งสวยในฤดูนี้ค่ะ เที่ยวก็จะเพลิดเพลินตาเพลิดเพลินใจดี
โคเปนเฮเกน เมืองหลวงเล็กๆ แต่เสน่ห์เปี่ยมล้น
เวลาใครพูดถึงประเทศเดนมาร์ก หลายคนอาจนึกถึงขนมปังเดนิช เจ้าหญิงนิทรา หรือทีมฟุตบอล แต่ฉันไม่ได้นึกถึงอะไรพวกนั้นเลย ไม่มีภาพอะไรอยู่ในหัว กะไปเปิดตาเปิดใจเต็มที่ แต่ใครหลายคนที่ได้มาเยือนแล้ว แทบทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเสน่ห์ของเดนมาร์กก็คือกรุงโคเปนเฮเกนนี่เอง เพราะเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดเมืองหนึ่งของโลกจริงๆ ทั้งสงบ สะอาด ไร้มลพิษ เต็มไปด้วยคนขี่จักรยาน อีกทั้งเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหากเชื่อมโยงกับความเป็นเมืองสมัยใหม่เอาไว้ได้อย่างดี ปูมาขนาดนี้ฉันก็ยิ่งตื่นเต้น
จากหมู่บ้านประมง สู่เมืองหลวงของเดนมาร์ก
ชื่อ ‘โคเปนเฮเกน’ (Copenhagen) มาจากคำว่า ‘København’ ในภาษาเดนมาร์ก แปลตรงตัวว่า ‘ท่าเรือของพ่อค้า’ (Merchant’s Harbor) เพราะเมืองนี้เริ่มต้นจากหมู่บ้านประมงเล็กๆ ที่มีความสำคัญทางการค้าขายมากๆ ในช่วงศตวรรษที่ 11–12
ในยุคไวกิ้ง เดนมาร์กเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยนักเดินเรือและนักรบ การตั้งเมืองใกล้ทะเลจึงเป็นเรื่องธรรมดา ทำเลตรงนี้ก็เป็นชัยภูมิที่เหมาะสม เพราะอยู่ริมช่องแคบเออเรซุนด์ (Øresund) ที่เชื่อมทะเลเหนือกับทะเลบอลติก ทำให้ใครจะไปมาทางทะเลแถวนี้ก็ต้องผ่าน ดังนั้นต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 15 โคเปนเฮเกนจึงถูกเลือกให้เป็นเมืองหลวงของเดนมาร์กอย่างเป็นทางการ เมืองก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นศูนย์กลางทั้งด้านการปกครอง ศาสนา และการค้า
แพลนคือโนแพลน… แผนการเดินทางคือไม่มีแผน
ฉันวางแผนหลวมๆ ด้วยการจองโรงแรมที่พักในโคเปนเฮเกน จองเรือที่จะนอนข้ามคืนจากโคเปนเฮเกนไปกรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ และจองที่พักในนอร์เวย์ และก็คิดคร่าวๆ ว่าจะไปเดินเล่นชมเมือง เดินพิพิธภัณฑ์ หาของกินอร่อยๆ มีแค่นี้เลย ดังนั้นฉันและพี่สาวจึงเขียนรายการสถานที่ท่องเที่ยวคร่าวๆ ที่เราทำการบ้านมาแบบงูๆ ปลาๆ ได้มาจากเห็นคนรีวิวในโซเชียลมีเดียบ้าง อ่านเจอในบทความบ้าง เคยอ่านในหนังสือท่องเที่ยวบ้าง แล้วเลือกที่เราสนใจมากที่สุดมา 3-5 ที่ แล้ววางแผนไปทีละวัน เพราะเอาเข้าจริงไม่สามารถไปได้ครบแน่ๆ แค่จะเดินพิพิธภัณฑ์ก็แทบจะหมดวันแล้ว
ทริปนี้ไม่เน้นเร่งรีบ ดังนั้น เราจะไม่ตื่นเช้า (ถึงแม้ฉันเอารองเท้าวิ่งและชุดออกกำลังกายมาด้วย ตั้งใจว่าจะไปวิ่งในสวนสาธารณะก็ตาม) ตื่นเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แต่ไม่ได้สายขนาดนั้นค่ะ
ด้วยความที่เราพุ่งเป้ามาที่โคเปนเฮเกนเป็นหลัก เราจึงเริ่มต้นกันที่เมืองนี้ จองที่พักกลางเมือง จะได้เดินทางได้สะดวก เช้าวันแรก (เรียกว่ามื้อสายดีกว่า) เราจะไปหาอาหารอร่อยๆ ทานกันที่ตลาดอาหาร Torvehallerne ตามด้วยเดินเล่นที่ Botanical Garden หรือสวนพฤกษศาสตร์และจบที่ปราสาท Rosenborg ค่ะ

เช้าวันแรกในโคเปนเฮเกนกลับมีลมแรงและอากาศเย็นยะเยือก ฝนก็ทำท่าจะโปรยปราย ทำให้เมื่อถึงสวนพฤกษศาสตร์เราก็ต้องเดินจากมาทันทีเพราะไม่มีที่ร่มให้บังฝนได้ แถมลมหนาวอีกหลายระลอกจนงงไปหมด ชาวคณะสามคนก็รีบวิ่งพร้อมเปิดกูเกิลแมปไปด้วยว่ามีร้านกาแฟร้านไหนให้หลบฝนได้บ้าง ก็มาเจอร้าน Det Vide Hus ร้านกาแฟบรรยากาศน่ารักอบอุ่นมาก เพิ่งมารู้ตอนมาถึงนี่ละว่าเป็นร้านดัง มี specialty coffee จากโรงคั่วดังหลายแห่งในโคเปนเฮเกน คนชอบกาแฟคงฟิน แต่คนไม่ดื่มกาแฟอย่างฉันก็ไม่ได้อินมาก เลยสั่งช็อกโกแลตร้อนมาจิบไปพลาง นั่งมองวิวปราสาท Rosenborg ฝั่งตรงข้ามไปพลาง
ใช่แล้ว ปราสาท Rosenborg อยู่ตรงข้ามร้านกาแฟแห่งนี้นี่เอง… เอาจริงๆ คือถ้ามีเวลาค่อยๆ เดิน เมืองนี้ก็ใช้วิธีเดินเที่ยวได้ทั่วเลย ยิ่งมาฤดูอากาศดีแบบนี้ด้วย
Rosenborg ปราสาทแห่งชีวิตชีวาของชาวโคเปนเฮเกน
พอฝนหยุดตก เราก็ข้ามถนนมาที่ปราสาทโรเซนบอร์ก (Rosenborg) ตอนแรกก็ไม่รู้อะไรมาก รู้แต่ว่ามีสวนสาธารณะสวยๆ ให้เดินเล่น และเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กสำคัญของโคเปนเฮเกน เป็นปราสาทฤดูร้อนสร้างด้วยสถาปัตยกรรมยุคเรอเนซองส์ ข้างในมีจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ พวกงานศิลปะต่างๆ แต่ไฮไลต์สำคัญคือการจัดแสดงมงกุฎของราชวงศ์ด้วย รู้แค่นี้พอไหมนะ

ด้วยความที่แพลนแบบหลวมๆ เราก็ดุ่มเดินผ่านรั้วเข้าไปในอาณาเขตปราสาทแบบงงๆ อาศัยไหลตามนักท่องเที่ยวไป แต่แล้วก็ต้องตื่นตาตื่นใจเพราะตลอดสองข้างทางคือต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นตลอดทางเดินและผืนหญ้าเขียวสด ดอกไม้บานสะพรั่ง และสระน้ำกึ่งกลาง ทุกอย่างที่ว่ามานี้ล้อมรอบอาคารที่เป็นปราสาทไว้อีกชั้นหนึ่ง แต่แค่ส่วนที่เป็นสวนนี้ก็กว้างใหญ่ไพศาลมากจนเดินไม่หวาดไม่ไหว
สวนของปราสาทที่นี่ไม่ได้มีหน้าที่เป็นแค่สวนของวัง แต่เป็นสวนสาธารณะที่ให้ชาวเมืองได้ใช้สอย เดินเล่น พักผ่อนหย่อนใจ อากาศหลังฝนตกสดชื่นเย็นสบาย แสงแดดอ่อนๆ เริ่มทอผ่านม่านหมอกลงมา แค่เดินให้ทั่วสวนนี้ฉันก็มีความสุขมากแล้ว บรรยากาศดี อากาศสะอาด มีคนจูงสุนัขมาเดินเล่นจำนวนมากเป็นเรื่องปกติ เห็นแล้วฉันก็อดนึกถึงน้องสุนัขที่บ้านไม่ได้ นางควรจะได้มาเดินเล่นอากาศเย็นๆ กลางธรรมชาติร่มรื่นและอากาศสะอาดแบบนี้ มีคุณภาพชีวิตดีๆ แบบที่คนกับสัตว์เลี้ยงควรจะมี บางบ้านมากันเป็นครอบครัว พาลูกมาปิกนิกเล่น เดินๆ ไปจะเห็นเพื่อนหญิงวัยกลางคนนั่งจิบกาแฟเม้ามอยกันบนม้านั่งด้วยท่วงท่าผ่อนคลายสบายๆ และมีความสุข
ชีวิตในฝันเลย ประเทศเราควรมีที่ให้ทำแบบนี้บ้าง
แต่บ้านเราปัจจัยหลายอย่างไม่เอื้อ ทั้งสภาพอากาศร้อนจัด แดดแผดเผาไม่ชวนให้มาเดินเล่นพักผ่อน ถ้าจูงน้องหมามา มีสิทธิ์เป็นฮีตสโตรกได้ นอกจากนั้นยังมีเรื่องมลพิษฝุ่นควันที่ไม่เหมาะให้เดินเล่นสูดดมไปนานๆ ได้
ฉันเดินดื่มด่ำอยู่ในสวนนี้เป็นชั่วโมง และประกาศกับพี่สาวว่า “พรุ่งนี้น้องจะตื่นมาวิ่งที่พาร์กนี้”
พี่สาวฉันก็ได้แต่หัวเราะหึๆ คงเพราะรู้จักนิสัยน้องตัวเองดีว่าจะทำได้หรือไม่
พอเต็มอิ่มกับสวนแล้วพวกเราถึงเริ่มคิดเรื่องเข้าไปชมข้างในปราสาท แต่เดินหาทางเข้าเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ เหมือนติดอยู่ในสวนวงกตรอบปราสาท เหมือนจะเข้าได้แต่ก็เข้าไม่ได้ งมอยู่อย่างนั้นนานมากจนไปเจอว่าต้องออกประตูข้างไปเลยถึงจะเห็นทางเข้าปราสาทอยู่ด้านข้าง ต่างจากทางเข้าสวนที่อยู่ด้านหน้าปราสาท
การเดินทางท่องเที่ยวในโคเปนเฮเกนนั้นสะดวกสบาย เราสามารถซื้อ Copenhagen Card (การ์ดโคเปนเฮเกน) ได้ โดยเลือกจากจำนวนวันที่เราจะใช้ ในการ์ดนี้จะรวมค่าเดินทางขนส่งสาธารณะและค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญไว้หลายแห่ง ซื้อการ์ดนี้ไว้อย่างไรก็คุ้ม แต่เราต้องคำนวณวันด้วยว่าเราจะอยู่โคเปนเฮเกนกี่วัน แพลนจะไปที่ไหนบ้าง ซื้อแบบกี่วันถึงจะคุ้มค่ากับเราที่สุด
ค่าเข้าชมปราสาทและตัวไฮไลต์คือมงกุฎราชวงศ์นั้นก็รวมอยู่ในการ์ดโคเปนเฮเกนนี้ด้วย เราจึงเริ่มเปิดใช้ (Activate) การ์ดวันแรกกันที่นี่เลย โดยต้องจองตั๋วล่วงหน้าตามช่วงเวลา (Time Slot) คือจะเปิดเป็นรอบๆ เพื่อจำกัดจำนวนคนเข้าชม เราก็เลือกรอบสุดท้ายก่อนปราสาทปิดไปเลยเพราะเหลือแค่ช่วงเวลานั้น (ก็มัวแต่เดินสวนเป็นชั่วโมงๆ นี่นา)
หลังจากไปทำการบ้านมา ก็พอจะเล่าประวัติความเป็นมาของปราสาทโรเซนบอร์กได้เล็กน้อย ว่าสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1606 โดยพระเจ้าคริสเตียนที่ 4 แห่งเดนมาร์ก เป็นที่พักฤดูร้อนสไตล์ Dutch Renaissance หลังจากปี ค.ศ. 1720 ปราสาทก็ไม่ได้ใช้เป็นที่พำนักหลักของราชวงศ์อีก และได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อเก็บและจัดแสดงสมบัติของราชวงศ์เดนมาร์กตั้งแต่ปี ค.ศ. 1838 เป็นต้นมา
พวกเราค่อยๆ เดินสำรวจในปราสาทซึ่งมีหลายชั้น พูดตามตรงก็ดูได้ไม่ครบเพราะเยอะละลานตาไปหมด แต่ที่ฉันประทับใจเป็นพิเศษคือปราสาทแห่งนี้มีความหรูหราแบบไม่ตะโกน ไม่โฉ่งฉ่าง ฉันนิยามว่าเป็นความหรูเงียบๆ แบบคนที่รู้ว่าตัวเองมีดีโดยไม่ต้องอวดอ้างเครื่องเรือนข้าวของ ภาพวาด งานศิลป์ต่างๆ ประณีตงามเลอค่าไม่แพ้พระราชวังดังๆ ในโลก แต่จัดแสดงหรือจัดวางไว้เป็นธรรมชาติกลมกลืนไปกับสถานที่ซึ่งในความเห็นฉันยิ่งทำให้ดูมีเสน่ห์โดยไม่ต้องพยายาม ห้องโถง ทางเดิน ห้องหับต่างๆ ค่อนข้างกะทัดรัด ให้ความรู้สึกอบอุ่นในความหรูหรา
ที่ฉันชอบเป็นพิเศษคือการใช้สี สังเกตว่าจะใช้สีขาว สีทอง สีเหลืองมัสตาร์ด สีน้ำเงินเข้มและสีแดงเลือดนกเป็นหลัก ทำให้ดูหรูแบบขรึม สุขุม และไร้กาลเวลามากๆ (Timeless)
ไฮไลต์สำคัญอื่นๆ ในปราสาท ได้แก่ Long Hall หรือ ห้อง Knight’s Hall ที่มีเพดานภาพเฟรสโก้และลายปูนปั้นจากรัชสมัยของพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 4 บัลลังก์ราชาทำจากงาช้างที่โอบล้อมด้วยสิงโตเงิน 3 ตัว

และ… ที่ขาดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมาไม่ถึงก็คือ หอสมบัติ (Treasury Room) หรือห้องจัดแสดงเครื่องราชบรรณาการซึ่งอยู่ชั้นใต้ดิน เราต้องออกจากตัวปราสาทมาเข้าอีกทาง ในหอสมบัตินี้เก็บเครื่องราชบรรณาการล้ำค่าจากที่ต่างๆ ไว้มากมาย รวมถึงมงกุฎของพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 4 ตั้งแต่ปี 1596 อันเป็นหนึ่งในมงกุฎที่เก่าแก่ที่สุดในเดนมาร์ก
มงกุฎนี้เองที่ทุกคนอยากชมให้เห็นกับตาให้ได้ นักท่องเที่ยวเข้าไปรุมถ่ายรูปมงกุฎในตู้กระจกกันอย่างบ้าคลั่ง ฉันกับพี่สาวเลยได้แต่ยืนอยู่ไกลๆ และใช้วิธีซูมถ่ายเอา ถึงอย่างนั้นก็สวยอลังการจนน่าขนลุกทีเดียว
พวกเราออกจากปราสาทเป็นกลุ่มสุดท้าย หลังจากนั้นก็เดินกลับโรงแรมและหามื้อเย็นทานในละแวกนั้น ที่นี่อะไรก็ดีหมด เสียอย่างเดียว ค่าครองชีพสูงลิบ จะกินอะไรแต่ละทีคำนวณค่าเงินแล้วก็ต้องคิดแล้วคิดอีก แต่ฉันก็ถือว่ามาเที่ยว ไม่อยากไปจำกัดตัวเองมาก ได้กินอะไรใหม่ๆ ลองอะไรแปลกๆ บ้างก็ถือเป็นประสบการณ์
วันต่อๆ มาฉันก็กะจะเดินเล่นเก็บบรรยากาศอยู่ในเมืองนี่ละค่ะ หวังว่าฟ้าฝนจะเป็นใจ เพราะดูพยากรณ์อากาศแล้วฝนจะตก!
- READ Slow life in Scandinavia 1 : โคเปนเฮเกนเมืองแห่งความสุข
- READ น้ำไนล์ ทะเลทราย พีระมิด ตอนที่ 10 : วันแห่งพีระมิด (Step Pyramid of Saqqara and The Great Pyramid of Giza)
- READ น้ำไนล์ ทะเลทราย พีระมิด ตอนที่ 9 : Lost in Valley of The Kings หลงไปในหุบเขากษัตริย์
- READ น้ำไนล์ ทะเลทราย พีระมิด ตอนที่ 8 : อียิปต์แบบตะโกน "ฮัตเชปซุต ฟาโรห์หญิงผู้ยิ่งใหญ่"
- READ น้ำไนล์ ทะเลทราย พีระมิด ตอนที่ 7 : อียิปต์แบบตะโกนดังๆ ว่า ‘ทำถึง’
- READ น้ำไนล์ ทะเลทราย พีระมิด ตอนที่ 6 : อียิปต์แบบตะโกน
- READ น้ำไนล์ ทะเลทราย พีระมิด ตอนที่ 5 : วิหารแห่งการแก้แค้น
- READ น้ำไนล์ ทะเลทราย พีระมิด ตอนที่ 4 : วิหารแห่งเทพจระเข้
- READ น้ำไนล์ ทะเลทราย พีระมิด ตอนที่ 2 : ฟิเล วิหารที่รอดจากใต้น้ำ
- READ น้ำไนล์ ทะเลทราย พีระมิด ตอนที่ 3 : อาบูซิมเบล - อนุสรณ์แห่งรามเสสที่ 2
- READ น้ำไนล์ ทะเลทราย พีระมิด ตอนที่ 1 : โอเบลิสก์ที่โลกลืม
- READ เล่าเรื่องบอลข่าน "มอนเตเนโกร เมืองในปราการขุนเขาสีดำ"
- READ เล่าเรื่องบอลข่าน "จักรพรรดิดิโอคลิเชียนผู้โหดร้าย"
- READ แสงสุดท้ายที่ตาพรหม "ปราสาทรากไม้ลึกลับกลางพงไพร"
- READ "See Ankor Wat and Die" แก๊งนางอัปสรในนครวัด
- READ "Sbeitla" หลงทางยังหาเจอ หลงเธอสิเหลือทน
- READ Siberia – Frozen Baikal ความลับของทะเลสาบเยือกแข็ง
- READ ฤดูร้อนกลางทะเลทรายสีขาว : มุยเน่
- READ ดินแดนแห่งอามาริเทสึ เทพีแห่งแสงอาทิตย์ และ หุบเขาทาคาชิโฮะ อุทยานแห่งทวยเทพ [Amano Iwato & Takachiho Gorge]
- READ Peles Castle ปราสาทน้อยกลางป่าสน งดงามแบบไม่ตะโกน
- READ ปราสาทแดรกคูล่ากับวลาดจอมเสียบ
- READ Unseen Italy : Matera เมืองที่เหลืองเหมือนกระดาษเก่า
- READ เมืองลึกลับในเงื้อมเขา
- READ เพราะเชียงตุงไม่ใช่ดอยตุง
- READ เร้นลับหลังคาโลก