Siberia – Frozen Baikal ความลับของทะเลสาบเยือกแข็ง
โดย : พิมพ์อักษรา
คอลัมน์ที่บอกเล่าเรื่องราว อารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ และเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์บ้าง ไม่ประวัติศาสตร์บ้าง วิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละเมือง แต่ละดินแดนที่ได้ประสบพบเจอ เสมือนให้ผู้อ่านได้ท่องเที่ยวดื่มด่ำไปด้วยกัน ผ่อนคลายจากวันที่เหนื่อยล้า เปิดโลก เปิดตา และเปิดใจ และที่สำคัญคือเพลิดเพลิน เหมือนชื่อของผู้เขียนนั่นเอง
ฉันบ่นเรื่องอากาศร้อนขณะเดินทางท่องเที่ยวไปถึงสองครั้งแล้ว มาอ่านอีกครั้งก็เกิดคำถามว่า คนอ่านจะรู้สึกเหมือนฉันเที่ยวไปบ่นไปไหมนะ หรืออาจจะมองว่า…ก็เลือกไปเที่ยวร้อนๆ เองนี่นา ทำไมไม่ไปเที่ยวตอนอากาศดีๆ เสียบ้างล่ะ นึกได้อย่างนี้ฉันก็แอบอมยิ้ม เที่ยวตอนอากาศดีๆ ก็คงหมายถึงเที่ยวให้ถูกฤดู ถูกกับภูมิอากาศของประเทศนั้นๆ ใช่ไหม เช่น ไม่ควรไปเที่ยวทะเลทรายหน้าร้อน หรือไปเดินป่ากลางเดือนกรกฎาคมที่ฟุกุโอกะ
ครั้งนี้ฉันเลยอยากพาเที่ยวให้ถูกฤดูแล้วละ เที่ยวทะเลสาบไบคาลในไซบีเรียต้นฤดูใบไม้ผลิ
พอได้ยินฉันบอกว่า ‘ไบคาล’ คนก็จะถามซ้ำว่า ‘อะไรนะ บอลข่านหรือเปล่า’ และต่อมาด้วย‘ไซบีเรีย’ หลายคนก็มักขมวดคิ้วทันที เคยได้ยินแต่สุนัขพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้ แต่ไซบีเรียมันคือที่ไหนกันล่ะ
ต้องเล่าก่อนว่า ไซบีเรียเป็นดินแดนส่วนใหญ่ของรัสเซียฝั่งตะวันออกกินพื้นที่ยาวมาจรดขอบมองโกเลีย หากพูดให้เห็นภาพง่ายๆ คือไซบีเรียอยู่เหนือมองโกเลียขึ้นไปครอบคลุมพื้นที่ตะวันออกเกือบทั้งหมดของรัสเซีย ส่วนทะเลสาบไบคาลอยู่ตอนใต้ของไซบีเรียก็คืออยู่ขอบชายแดนตอนเหนือของมองโกเลีย เป็นพื้นที่อากาศหนาวจัดรุนแรง ช่วงฤดูหนาวของเขาอุณหภูมิจะอยู่ที่ -15 ถึง -40 องศาเซลเซียสเลย บริเวณพื้นที่ไซบีเรียคนอยู่น้อยมากถ้าเทียบกับฝั่งตะวันตกที่เป็นเมืองใหญ่ๆ ของรัสเซียเพราะอากาศหนาวโหดทารุณแต่ทรัพยากรธรรมชาติเค้าอุดมสมบูรณ์มากๆ
ส่วนเจ้าทะเลสาบไบคาลเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่กว้างใหญ่และลึกที่สุดอันดับหนึ่งของโลกลึกเกือบ 2 กิโลเมตรเลยก็ว่าได้และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงสุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
ไฮไลต์ของทะเลสาบนี้คือช่วงฤดูหนาวน้ำในทะเลสาบจะกลายเป็นน้ำแข็งทั้งหมด!
ฉันไม่ได้มาเที่ยวทะเลสาบไบคาลในฤดูหนาวแต่อย่างใด เพราะมันหนาวเกินคนเมืองร้อนเขตเส้นศูนย์สูตรอย่างเราจะทนไหว คนที่นั่นเองก็แทบจะจำศีลอยู่แต่ในบ้านกันหมด ไม่มีใครออกมาท้าอากาศติดลบเยือกแข็งอย่างนั้นไหว ฉันเลือกปลายฤดูหนาว ต้นฤดูใบไม้ผลิที่อากาศอุ่นขึ้นมาหน่อย พอให้เดินทางท่องเที่ยวได้ แต่ก็ยังเย็นพอที่รักษาสภาพน้ำแข็งไม่ให้ละลาย เพราะเราจะมาเที่ยวทะเลสาบน้ำแข็งกัน
อย่างที่บอก คราวนี้ฉันมาเที่ยวถูกฤดู เพียงแต่ด้วยภูมิอากาศในดินแดนที่มาเยือน ห่างไกลจากคำว่าอบอุ่นเย็นสบายสไตล์ฤดูใบไม้ผลิอยู่มาก แต่กลับใกล้เคียงคำว่าหนาวจนจะแข็งตาย
ครั้งนี้ฉันมากับกลุ่มเพื่อนที่ไม่ได้สนิทกันมาก่อน แต่บังเอิญรวมกลุ่มกันได้ ตอนแรกเจอกันก็เลยเขินๆ เกร็งๆ สักหน่อย แต่เมื่อลงจากเครื่องบิน เหยียบย่างสู่สนามบินเมืองเอียร์คุตส์ (Irkutsk) ประเทศรัสเซียเวลาสี่ทุ่มแล้วละก็ อากาศ -15 องศาของเมืองเอียร์คุตส์ก็ต้อนรับและกลับละลายพฤติกรรมพวกเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ ความหนาวเย็นจัดจนชาทำให้คนแปลกหน้าหันมาคุยกันแล้ววิ่งหลบลมหนาวขึ้นรถกันยกใหญ่ แล้วยังต้องช่วยกันขนกระเป๋าขึ้นลงรถและลากไปยังที่พักซึ่งเป็นกึ่งๆ โฮสเทลและโฮมสเตย์ด้วยตนเองท่ามกลางอากาศหฤโหด
สองวันแรกพวกเราจะเที่ยวอยู่ในตัวเมืองเอียร์คุตส์ จากนั้นค่อยออกเดินทางสู่เกาะออลคอน (Ol’Khon Island) ซึ่งเป็นที่ตั้งของทะเลสาบไบคาล จุดหมายปลายทางที่เราถ่อกันมาไกลถึงที่นี่
พวกเราเดินทางด้วยรถจี๊ปคันใหญ่เกือบทั้งวันมุ่งหน้าสู่เกาะออลคอนเราจะค้างบนเกาะนี้ 3 คืน
เกาะออลคอนอยู่กลางทะเลสาบไบคาล ถือเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในไบคาลและอยู่ใกล้แผ่นดินใหญ่มาก พอนั่งรถต่อกันมาพักใหญ่ก็จะถึงจุดทางเชื่อมระหว่างแผ่นดินกับเกาะออลคอน ซึ่งเจ้าเกาะนี้ก็อยู่กลางทะเลสาบไบคาลอันกว้างใหญ่ ปกติเวลาจะเดินทางไปเกาะนี้ก็ต้องนั่งเรือกัน ทีนี้พอน้ำในทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็งก็เป็นทางรถวิ่งผ่านได้เพราะน้ำที่แข็งตัวนั้นแข็งแรงมาก มากพอที่รถจะวิ่งพาเราชมผืนน้ำแข็งได้เลย
ใช่ มันแข็งแรงขนาดนั้น
เราจะไปชมเกาะแก่งต่างๆ ที่ยามปกติก็ลอยอยู่กลางน้ำทั่วไป ต้องนั่งเรือถึงจะไปได้ แต่ในฤดูนี้ อากาศหนาวเย็นจัดๆ แบบนี้ เราก็ขับรถลุยผ่านน้ำแข็งไปแบบสวยๆ
สวย แต่มันหนาวมากนะ…
เพราะพอเข้าเขตทะเลสาบไบคาล อุณหภูมิลดต่ำลงกว่าในตัวเมืองเอียร์คุตส์มาก เรียกว่าน่าจะแต่ -25 องศา หนาวจนหาคำบรรยายไม่ถูกว่าหนาวอย่างไร หนาวลึกเสียดถึงกระดูกก็คงประมาณนั้นหรือยิ่งกว่า หนาวจนมือแข็งหูแข็งจนเหมือนจะขาด หนาวจนหน้าชาไร้ความรู้สึก หนาวจนแทบจะวิ่งหนีขึ้นรถ แต่ขึ้นไม่ได้ หนาวจนถามตัวเองว่าฉันมาทำอะไรที่นี่ ทำไมไม่อยู่บ้านดีๆ และเมื่อไรทริปนี้จะจบสักที
แต่ถ้าอยากมาเที่ยวทะเลสาบน้ำแข็งที่เป็นไฮไลต์ ก็ต้องมาเฉพาะช่วงกลางกุมภา–กลางมีนาคมอย่างที่ฉันมาตอนนี้เท่านั้น ก่อนหน้านั้นก็จะหนาวเกินไปคืออาจแตะ -30 องศาได้ม าช่วงกุมภามีนากำลัง -15 ถึง -23 องศาก็พอไหวอยู่ แต่ถ้าเลยเดือนมีนาไป อากาศจะเริ่มอุ่นขึ้น น้ำแข็งเริ่มละลาย เริ่มยุบตัว ก็จะไม่ปลอดภัยแล้ว
เรียกได้ว่าเรากำลังมาสัมผัสดินแดนน้ำแข็ง Frozen ทุกทีมีแต่น้ำแข็งน้ำแข็งและน้ำแข็งมีหิมะปกคลุมบ้างมีแต่ความหนาวยะเยือก
แต่นี่ก็คือเสน่ห์ของไบคาลแห่งไซบีเรียความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
เราจึงแวะถ่ายรูปกับทะเลสาบน้ำแข็งเป็นครั้งแรกตรงนั้นเอง…
ทะเลสาบไบคาลทะเลสาบน้ำจืดที่ลึกที่สุดในโลกพอแข็งตัวด้วยอากาศที่เย็นจัดจึงแข็งแรงมากและเห็นเป็นสีเขียวเข้มดูลึกลับแปลกตามีรอยแยกแตกเหมือนหินอ่อนเหยียบไปครั้งแรกก็ลื่นนิดๆ แต่ไม่เปียก แปลกจัง!
นั่งรถต่อไปอีกเกือบชั่วโมงสู่เมืองคุชเชียร์ (Khuzhir) ที่พักของเราอยู่เมืองนี้ซึ่งอยู่ค่อนไปทางกลางๆ ของเกาะเลยทางก็เป็นดินขรุขระสลับน้ำแข็งทำให้ต้องระมัดระวังเวลาขับรถเลยต้องใช้เวลานานหน่อย พอถึงก็ต้องเดินฝ่าลมหนาวขึ้นเนินกันอีกพอสมควร จนมาถึงกลางหน้าผาแห่งหนึ่งที่มีแท่งไม้ปลายแหลมยาวเรียงรายกัน เรียกว่า Baikal Spirit หรือจิตวิญญาณแห่งไบคาลนั่นเอง
ลมหนาวยะเยือกบาดผิว ยิ่งต้องเอามือออกจากถุงมือหนาอุ่นของพวกเราแล้วถือเป็นช่วงเวลาทรมานกายทรมานใจมาก แต่ก็เพื่อให้ได้ภาพเวิ้งน้ำแข็งสุดลูกหูลูกตาก็ต้องยอม
ตรงเวิ้งอ่าวแห่งนี้เป็นท่าเรือที่ชาวไบคาลจะล่องเรือออกไปทำมาหากินจึงมีไบคาลสปิริตหรือแท่งไม้ปลายแหลมนี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยพิทักษ์คุ้มครองชาวไบคาลที่ออกเรือไปให้ปลอดภัย
พวกเรายังท่องทะเลสาบน้ำแข็งอยู่อีกเป็นวันๆ ต้องออกเดินกลางแจ้งกลางอากาศเย็นเยือกบาดผิว -23 องศาจนรู้สึกเหมือนมาเข้าค่ายทรมานตัวเอง จะวิ่งกลับไปรอในรถก็ไม่ได้ เพราะแต่ละที่ที่ไปต้องเดินไกลจากจุดที่จอดรถมาก เรียกว่ากลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง แล้วก็มานั่งบ่นตัวเองในใจ…
ฉันมาทำอะไรที่นี่
ผ่านมาหลายวัน หน้าขาวซีดแต่จมูกแดงก่ำ น้ำมูกย้อย แขนขาแทบจะไร้ความรู้สึก แต่ก็กลับตัวไม่ได้แล้วจริง ๆ นั่นละ
สิ่งที่ได้เรียนรู้อีกอย่างคือการเที่ยวบนเกาะและลุยทะเลสาบน้ำแข็งต้องใช้รถที่ถึกจริง ๆเพราะทางโหดมาก พวกเราจึงต้องเปลี่ยนรถอีกครั้งเป็นรถตู้แบบรัสเซียแท้สมรรถนะสูงรถนี้จะเล็กกว่ารถตู้เดิมเราเลยต้องแบ่งไปใช้ 3 คันแทน
ตอนเหนือของเกาะน้ำในทะเลสาบจะลึกกว่า เข้มกว่าตอนใต้มีรอยแตกที่กลืนเป็นเนื้อเดียวกับน้ำแข็งบ้างและรอยแยกกะเทาะอุดด้วยหิมะ เพราะคลื่นใต้ทะเลสาบลึกลงไปที่ไม่ได้เป็นน้ำแข็งกระเพื่อมคลื่นขึ้นมาบริเวณผิวน้ำส่วนไหนที่เปราะกว่าส่วนอื่นก็จะถูกดันนูนขึ้นมา
แต่ทะเลสาบน้ำแข็งนี่แข็งแรงมากไม่ต้องกลัวยวบสูบลงไปใต้น้ำ เพราะถึงส่วนที่แข็งจะประมาณ 1-2 เมตรก็ตามแต่เค้าบอกว่ารับน้ำหนักได้เป็น 10 ตันเพราะเป็นมวลน้ำแข็งทั้งทะเลสาบ
เราใช้เวลาอยู่แต่ละที่ราว 15-30 นาทีก็ขึ้นรถเปลี่ยนไปชมทะเลสาบน้ำแข็งและถ้ำน้ำแข็งอีกหลายที่รวมทั้งถ้ำน้ำแข็งงอกน้ำแข็งย้อย
อ้าว…ก็ทุกทีถ้ำทั่วไปเค้าเป็นหินงอกหินย้อย
แต่ถ้ำน้ำแข็งก็เป็นน้ำแข็งงอกน้ำแข็งย้อย
วันก่อนสุดท้ายเราจะลงไปตอนใต้ของเกาะซึ่งน้ำในทะเลสาบตอนใต้เกาะนี้จะเรียกว่า “ทะเลใน” น้ำจะใสกว่าและไม่ลึกเท่าตอนเหนือ
แต่ไฮไลต์ของน้ำแข็งตอนใต้คือจะมีฟองอากาศหรือ Bubble นั่นเองซึ่งจะไม่เห็นในทะเลสาบตอนเหนือ
เจ้าบับเบิลคือฟองอากาศใต้น้ำแข็งที่เกิดจากการถูกฟรีซฉับพลันบวกด้วยก๊าซออกซิเจนปริมาณมากบับเบิ้ลบางที่จะผสานก๊าซมีเทนที่โรงงานบางแห่งปล่อยออกมาด้วยก็จะได้ลักษณะฟองแตกต่างกัน… บางบริเวณส่องดูจะเห็นสาหร่ายทะเลหรือพวกแพลงตอนด้วยนะ
ไม่รู้ว่าฉันเริ่มชินกับความหนาวลบยี่สิบสามองศาแล้วหรืออย่างไร จึงเริ่มมีแก่ใจเดินสำรวจและถ่ายรูปฟองอากาศใต้แผ่นน้ำแข็ง ความหนาวยังคงอยู่ แต่ฉันเริ่มรู้สึกทนทานมันได้มากขึ้น หรืออาจจะเรียกว่าด้านชา มองความมหัศจรรย์ของธรรมชาติใต้แผ่นน้ำเยือกแข็ง หิมะและน้ำแข็งขาวโพลนทุกหนแห่งด้วยดวงตาที่เปิดกว้างเต็มที่มากขึ้น จากที่เดิมมันถูกบดบังด้วยความเหน็บหนาวทุกข์ทรมาน
ในความหนาวแห้งแล้งกันดารจนไม่ควรมีใครตั้งรกรากและมีชีวิตรอดอยู่ที่นี่ได้ สภาพเยือกแข็งเช่นนี้ก็มีความงามและความซับซ้อนในเหลี่ยมมุมธรรมชาติในแบบของมันเอง ความหนาวเย็นชา ก็งดงามได้แบบของความหนาว และก็มีสิ่งมีชีวิตที่อยู่รอดกลางสภาพเช่นนี้มาได้เป็นพันๆ ปี
ถึงจะพูดอย่างนั้น ฉันก็ยังต้องสวมเสื้อผ้าห้าชั้นอยู่ดี และยังห่างไกลกับคำว่า ‘ปรับตัวกับอากาศที่นี่ได้แล้ว’ แต่ขณะที่กำลังชื่นชมทิวทัศน์ไป กลุ่มสาวๆ นักท่องเที่ยวชาวจีนที่อยู่ไม่ไกล ก็พร้อมใจกันสลัดเครื่องกันหนาวออกหมด เหลือเพียงเสื้อกล้ามและสายเดี่ยวบางเบา ยืนเรียงกันบนแผ่นน้ำแข็งที่มีฟองอากาศสีขาวด้านใต้ แล้วให้ตากล้องถ่ายรูปกันสนุกสนาน ท้าลมหนาวแบบไม่เกรงใจคนพอกเสื้อกันหนาวจนอ้วนกลมตรงนี้เลย!
เมื่อเดินทางมาถึงวันสุดท้ายของทริป ฉันก็ยังยืนยันว่าโล่งใจที่ความหนาวทรมานแทบขาดใจนี้ได้จบลงสักที ฉันโหยหาแสงแดด คิดถึงไออุ่น คิดถึงที่นอนสบายๆ สุดหัวใจ แต่ก็ดีใจที่ได้มาเปิดประสบการณ์หนาวเยือกถึงกระดูกนี้สักครั้งในชีวิต
ฉันจึงได้ตระหนัก…ทุกอย่างควรมีความพอดี
ร้อนไปก็ทรมาน หนาวเกินไปก็เกินจะทานทน
ว่าแต่… จะมีคนสงสัยอยู่ไหมคะว่า ฉันจะไปเที่ยวที่อากาศดี ๆ ปกติได้บ้างหรือยัง
- READ ปราสาทแดรกคูล่ากับวลาดจอมเสียบ
- READ Siberia – Frozen Baikal ความลับของทะเลสาบเยือกแข็ง
- READ ฤดูร้อนกลางทะเลทรายสีขาว : มุยเน่
- READ ดินแดนแห่งอามาริเทสึ เทพีแห่งแสงอาทิตย์ และ หุบเขาทาคาชิโฮะ อุทยานแห่งทวยเทพ [Amano Iwato & Takachiho Gorge]
- READ Unseen Italy : Matera เมืองที่เหลืองเหมือนกระดาษเก่า
- READ เมืองลึกลับในเงื้อมเขา
- READ เพราะเชียงตุงไม่ใช่ดอยตุง
- READ เร้นลับหลังคาโลก
- READ เล่าเรื่องบอลข่าน "มอนเตเนโกร เมืองในปราการขุนเขาสีดำ"
- READ เล่าเรื่องบอลข่าน "จักรพรรดิดิโอคลิเชียนผู้โหดร้าย"
- READ แสงสุดท้ายที่ตาพรหม "ปราสาทรากไม้ลึกลับกลางพงไพร"
- READ "See Ankor Wat and Die" แก๊งนางอัปสรในนครวัด
- READ "Sbeitla" หลงทางยังหาเจอ หลงเธอสิเหลือทน