
ทุ่งกุลากับเสียงเรียกในยามวิกาล
โดย : ทรรศิตา
อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา
“หนู!” เสียงนั้นแทรกทำลายความเงียบสงัดพุ่งทะลุทะลวงความมืดมิดยามราตรีกาลมากระชากจิตผู้ถูกเรียกให้พลันผวาสะดุ้งตื่นขึ้น เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นพลันสรรพสิ่งที่อยู่รายรอบก็กลับมาเงียบสงัดนิ่งดังเดิม นอกจากผืนฟ้าสีอำพันอันหมู่ดาวนับพันดวงพลัดกระจัดกระจายอยู่ ก็ปรากฏเห็นเพียงท้องทุ่งอันไพศาลที่ถูกกลืนหายไปในท่ามกลางความมืดมิดอันเยือกเย็น!
ข่าวว่ามีเด็กผู้หญิงจมน้ำตายกลางลำห้วยทุ่งกุลาของหมู่บ้านแห่งหนึ่งอันห่างออกไปจากหมู่บ้านของผู้เล่าหลายสิบกิโลเมตร ทำให้บรรดาผู้ใหญ่หลายคนต้องหันมาเตือนลูกหลานภายในหมู่บ้านให้ระมัดระวังตัวให้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะช่วงนั้นโรคคนไหลตายอันเชื่อว่าเกิดจากผีแม่หม้ายกำลังมาแรง คนที่นำข่าวนี้มาเล่าลือในหมู่บ้านของผู้เล่า คือ ‘ป้าพูน’
ป้าพูน เป็นแม่ค้าอายุประมาณหกสิบปีที่มักนำขนมจีน ของหวานหลายชนิดหรือผักต่างๆ ที่มีตามฤดูกาลนั้นๆ ใส่ตะกร้าและกระบุงมาแลกข้าวเปลือกในหมู่บ้านเป็นประจำ บังเอิญวันนั้นผู้เล่าในวัยเด็กไม่ได้ไปโรงเรียนเพราะเป็นวันหยุดพอดีเลยได้ยินเรื่องนี้จากวงสนทนาของแม่และเพื่อนบ้านที่กำลังเลือกของแลกเปลี่ยนกันอยู่ ป้าพูนบอกว่า
“เด็กผู้หญิงที่ตายน้ำนั้นเพิ่งเรียนอยู่ชั้นป.สองเอง เห็นเขาว่าตายตอนกลางคืนเสียด้วยนะ”
“ออกไปเล่นน้ำตอนกลางคืนเหรอแม่พูน เป็นไปได้ยังไง?” เสียงหลายคนสงสัย
“มันโดนผีเรียกขวัญ!” ทุกคนที่นั้นก็ถึงกับชะงักงันเงียบกริบ ป้าพูนเล่าต่อว่า
“แม่ของเด็กนั้นบอกว่า ลูกเคยเล่าให้ฟังว่าชอบมีเสียงผู้หญิงมาเรียกให้ไปหาตอนกลางคืนหลายครั้ง เด็กนั้นมันก็มักชอบฝันแปลกๆ แล้วลุกเดินละเมออยู่เรื่อย!”
“ถ้าเป็นแบบนี้ก็ไม่น่าปล่อยให้ลูกนอนตามลำพังตอนกลางค่ำกลางคืนนะ มันอันตราย!” เสียงป้าข้างบ้านพูดพลางหันมาดูผู้เล่า จำได้ว่าตอนนั้นผู้เล่าเองก็จิตใจเต้นระทึกด้วยความกลัวแต่ก็นั่งนิ่งด้วยอยากฟังต่อ เรื่องนี้จึงจบลงด้วยการพูดย้ำตักเตือนจากคนเฒ่าคนแก่หลายคนว่า
“กลางคืนดึกดื่นถ้ามีเสียงใครเรียก อย่าเพิ่งขานตอบรับเด็ดขาด ต้องนิ่งฟังก่อน ถ้าผีเรียกเอาขวัญมันจะเรียกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากใครขานรับมัน ‘ขวัญ’ หรือ ‘จิต’ จะติดตามมันไปทันทีและก็จบลงด้วยการตายโดยที่ไม่รู้ตัว!”
“ถ้าเรียกหลายๆ ครั้งล่ะยาย” เพื่อนของผู้เล่าคนหนึ่งถาม
“ก็เหมือนกัน อย่าเพิ่งตอบออกไปเผื่อเป็นผู้ร้ายจะมาปล้นมาฆ่าเราเอาได้ ต้องระมัดระวังตัวไว้ก่อน จำไว้นะ!” พวกเราชาวเด็กๆ พยักหน้ารับคำพลางมองตากันไปมา
เรื่องนี้มีตัวอย่างจากเหตุการณ์ในหมู่บ้านหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้แค่ข้ามฟากห้วยทุ่งกุลาถัดไปนี่เอง เรื่องมีอยู่ว่า ‘ทิดดำ’ ได้พาครอบครัวอันมีเมียและลูกๆ ที่ยังเด็กอยู่สองคนออกไปนอนที่นากลางทุ่งเพื่อเก็บเกี่ยวข้าวแล้วนำมาขึ้นลานเพื่อตีหรือนวดข้าว จนเกือบเดือนจวนจะเสร็จสิ้นอยู่แล้วก็เกิดเรื่องเสียก่อน ปีนั้นข้าวที่นาทิดดำได้ผลผลิตดีมาก นวดตีแล้วได้กองสูงมหึมาจนเป็นที่เล่าลือกันไปทั่ว คืนเกิดเรื่องหลังจากนวดข้าวแล้วเกือบถึงเที่ยงคืนทิดดำก็เข้าไปนอนในซุ้มฟางตามปกติ จนกระทั่งเกือบตีสองก็มีเสียงเรียก “ทิดดำ” ตอนแรกแกสะดุ้งตื่นและนิ่งฟัง จนมีเสียงเรียกอีกครั้งที่สองตามมาจึงขานตอบรับไปแล้วลุกออกไปดู ทันใดนั้นก็มีโจรใช้ผ้าพันปิดใบหน้าเห็นแต่ตาจำนวนห้าหกคนในมือถือปืนวิ่งเข้ามาจับตัวทิดดำกดให้ล้มลงติดพื้น พลางขู่ว่าให้อยู่นิ่งๆ อย่าขัดขืนเป็นอันขาดแล้วใช้เชือกมัดมือมัดเท้าทิดดำเอาไว้ ตอนนั้นทิดดำห่วงลูกกับเมียมากกลัวโจรจะทำร้ายจึงได้แต่อ้าปากร้องว่า
“จะเอาอะไรก็เอาไปเลย ขอแต่อย่าทำร้ายลูกกับเมียผมเลย!” โจรพวกนั้นมันไม่พูดอะไรอีก แต่เหมือนให้สัญญาณอะไรกันสักอย่าง ไม่นานก็มีรถหกล้อวิ่งเข้ามาในลานข้าว พวกมันพากันขนข้าวเปลือกขึ้นใส่รถจนเกือบหมดทั้งกอง แล้วรีบบึ่งรถหนีหายลับไปในความมืดกลางทุ่งกุลานั้น จวบรุ่งเช้าข่าวทิดดำถูกโจรปล้นข้าวจึงแพร่สะพัดมาถึงหมู่บ้านผู้เล่า ช่วงนั้นดูเหมือนจะมีเหตุการณ์น่ากลัวหลายอย่างเกิดขึ้นหลายอย่างทั้งเรื่อง ผีแม่หม้าย โรคนอนไหลตาย เรื่องโจรปล้นข้าว ทำให้ชาวบ้านชาวตำบลแถวนั้นนอนกันไม่ค่อยหลับไปเป็นปีทีเดียว แต่เรื่องเสียงเรียกดูจะเป็นเรื่องที่ผู้เล่าจำติดตาติดหูได้มากที่สุดเพราะได้เกิดขึ้นกับตัวเองในคืนวันหนึ่งถัดจากนั้นไม่นาน
หน้าหนาวปีนั้นข้าวออกรวงดกได้ผลผลิตมากกว่าทุกๆ ปี พ่อจึงชวนพี่เขยและพี่ชายคนโตออกไปนอนที่นากลางทุ่งกุลาเพื่อเก็บเกี่ยวและทำลานตีนวดข้าวให้เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงค่อยว่าจ้างรถหกล้อขนข้าวเปลือกขึ้นมาใส่ยุ้งฉางที่บ้าน โดยผู้เล่ามีหน้าที่ต้อนวัวสิบตัวออกไปนอนที่นาด้วย ส่วนแม่และพี่สาวจะเดินทางไปแล้วกลับคืนทุกวันเพราะไม่มีใครดูแลบ้าน
ลานนวดข้าวปีนี้พ่อทำกว้างมากเพราะได้ข้าวเยอะ เมื่อนวดข้าวจนได้ฟางมากพอสมควรแล้วก็นำมาทำซุ้มฟางสำหรับนอน โดยตัดกิ่งไม้มาทำโครงแล้วใช้ฟางมุงทำเป็นหลังคาและฝาล้อมทั้งสามด้าน ส่วนด้านหน้านั้นใช้ไม้ไผ่สานขัดกันเป็นบานประตูสี่เหลี่ยมประกบกันโดยใช้ต้นฟางข้าวปูเป็นแผ่นอยู่ตรงกลางเวลาจะเข้าหรือออกจากซุ้มก็สามารถยกหรือเลื่อนได้โดยง่าย ผู้เล่านอนนาอยู่กับพ่อ พี่ชายและพี่เขยอยู่นานเกือบเดือนจนจวนจะนวดข้าวหมดสิ้นแล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นมา
ค่ำนั้นผู้เล่าได้นำวัวมาผูกล่ามไว้ใกล้ลานนวดข้าวตามปกติที่เคยทำมา หลังจากตีนวดข้าวจนเกือบถึงเที่ยงคืนก็จึงพากันเข้านอน ประมาณเกือบตีหนึ่งก็มีเสียงนกชนิดหนึ่งร้องดังแควก! มาจากทางด้านหนึ่งของทุ่งนาพร้อมกับเหมือนมีเสียงอะไรสักอย่างวิ่งระฝ่าตอฟางข้าวเข้ามาที่ลาน ทำให้วัวทั้งสิบตัวตกใจจนดึงเชือกที่มัดผูกกับตอฟางไว้ขาดกระจุย แล้วพากันกระโจนวิ่งหายลับไปในความมืดของทุ่งกุลา พ่อกับพี่เขยและพี่ชายรีบลุกคว้าเอาไฟฉายและสะพายปืนบนบ่าเพื่อรีบไปตามวัวทั้งฝูง พ่อหันมาสั่งผู้เล่าว่า
“นอนเฝ้าลานข้าวอยู่นี้นะ ใครมาเรียกอย่าขานตอบเด็ดขาดให้ดูก่อน พ่อไปตามวัวแล้วจะรีบกลับมา!” ผู้เล่ารับคำ ยืนดูพ่อ พี่ชายและพี่เขยเดินเร่งรีบไปตามทิศทางที่วัววิ่งหายไป แล้วพลันได้สติว่า ตนเองกำลังยืนหนาวอยู่คนเดียวบนลานข้าวท่ามกลางความมืดมืดของทุ่งกุลาอันกว้างใหญ่ไพศาล เหลียวมองไปด้านใดก็มืดสนิทและเงียบวังเวงจนน่ากลัว ฟ้าสีอำพันที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวนับพันนั้น บัดนี้ดูเหมือนกับว่ามีดวงตาหลายคู่จ้องมองลงมาอยู่ เมื่อความเยือกเย็นบางอย่างพุ่งเข้ามาในอกผู้เล่ารีบมุดเข้าไปในซุ้มกองฟางทันที คลุมผ้าห่มนอนนิ่งฟังเสียงลมหนาวภายนอกซุ้มพัดตอฟางข้าวอยู่นานจนเคลิ้มๆ จะหลับไปแต่แล้วก็ต้องพลันสะดุ้ง!
“น้อย!”
เสียงเรียกดังมาจากนอกซุ้ม เป็นเสียงคล้ายๆ เสียงพ่อหากต่ำกว่า จะว่าดังมาจากที่ไกลก็ไม่ใช่ ใกล้ก็ไม่ใช่ เพียงเสี้ยวนาทีสั้นๆ ครั้งเดียวเท่านั้นแล้วหายเงียบกริบไปเลย ผู้เล่าเกือบขานรับไปแล้วด้วยความดีใจ เพราะคิดว่าพ่อและพี่ชายพี่เขยพบฝูงวัวแล้วเพิ่งกลับมาถึงลาน แต่นึกถึงคำที่พ่อสั่งไว้ก่อนไปและคำที่คนเฒ่าคนแก่เคยเตือนเลยปิดปากนิ่งไว้ก่อน และก็เป็นจริงอย่างที่คิดกลัว เสียงนั่น! เงียบหายไปเลย “ผีเรียกขวัญ”แน่นอน!
คิดได้แค่นี้ความกลัวก็วิ่งเข้ามาจู่โจมจนสั่นสะท้านขนลุกชันไปหมดทั่วทั้งตัว เย็นเยือกไปตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่กล้ากระดิกตัวกลัวผีจะได้ยินแล้วแหวกซุ้มฟางเข้ามาหา ผู้เล่านอนคลุมโปงนิ่งค้างอย่างนั้นอยู่นาน จนกระทั่งได้ยินเสียงคนเดินฝ่าตอฟางข้าวใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ พร้อมแสงไฟฉายส่องตรงมาที่ลาน
“น้อย ๆ อยู่ไหน?” จำได้ว่าเป็นเสียงลุงคนหนึ่งที่อยู่ลานข้าวของนาถัดไป ซึ่งอยู่ไกลพอสมควร ผู้เล่าใจชื่นขึ้นมาทันทีรีบส่งเสียงขานรับแล้วรีบลุกขึ้นเปิดประซุ้มออกไปหา ลุงบอกว่า “พ่อเดินผ่านนาแล้วแวะไปขอให้ลุงมาอยู่เป็นเพื่อนเพราะเป็นห่วง”
จนกระทั่งรุ่งสางพ่อ พี่เขยและพี่ชายจึงกลับมาแต่ไม่มีฝูงวัวกลับมาด้วย พ่อบอกว่าตามรอยวัวที่วิ่งเตลิดไปจนถึงบ้าน และพบว่าแม่ต้อนวัวทั้งสิบตัวเข้าไปไว้ในคอกใต้ถุนเรือนเรียบร้อยแล้วด้วยความงุนงงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เดือนต่อมาพอขนเข้าขึ้นยุ้งฉางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พ่อจึงนิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์ทำบุญบ้าน นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกเลย ผู้เล่าเองต่อให้สงสัยสักเพียงใดก็ไม่เคยกล้าถามผู้ใหญ่ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในคืนนั้น แต่เสียงคนเรียกในคืนนั้นยังคงดังก้องติดอยู่ในมโนสำนึก เสียงนั่น เสียง “ผีเรียกขวัญ!”
- READ ทุ่งกุลากับเสียงเรียกในยามวิกาล
- READ ดอนปู่ตา
- READ ผีไล่ควาย
- READ ผีต้นบากใหญ่
- READ วิญญาณออนไลน์
- READ เหตุเกิดที่ทองผาภูมิ #3
- READ โรงเรียนวิญญาณหลอน
- READ ผีสางนางน้ำบ่อ
- READ เหตุเกิดที่ทองผาภูมิ #2
- READ เหตุเกิดที่ทองผาภูมิ #1
- READ ว่านผีโพง
- READ ร่างวิญญาณ
- READ ปอบผีสาว
- READ เปรตหนองขี้ทูด
- READ ดงหนองแสง
- READ ถนนสายนี้...ผีดุ (ภาค 2)
- READ ถนนสายนี้...ผีดุ (ภาค 1)
- READ บึงผีพราย
- READ คืนไล่ผีปอบ
- READ โรงแรมเด็กหัวโต
- READ สังขละบุรีในตำนาน (ตอนที่ 2)
- READ สังขละบุรีในตำนาน (ตอนที่ 1)
- READ หาดใหญ่ทัก...(แบบเบาๆ)
- READ สาวน้อยในห้องน้ำ