พรายหนองโหง

พรายหนองโหง

โดย : ทรรศิตา

Loading

อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา

“หนองหูง”หรือ “หนองโหง” เป็นหนองน้ำโบราณมีขนาดกว้างพอสมควรตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของหมู่บ้านตำบลเมืองเก่า มีเรื่องราวเล่าลือกันมานานว่ามีพรายผีน้ำสิงอาศัยอยู่และมักปรากฏให้ผู้คนเห็นเรื่อยมา จนไม่ค่อยมีผู้คนกล้าเข้าไปใกล้แถวนั้นนักหากไม่จำเป็น หรือหากมีใครเกิดเผลอไปเห็นกันเข้า ก็แกล้งทำไม่รู้ไม่เห็นกันไปเสีย เรียกว่า ทำตัวเป็นคนใบ้หูหนวกตาบอดกันไปเลยพร้อมกับเร่งรีบหลีกหนีไปโดยเร็ว

เมื่อสมัยที่ ผู้เล่า ยังอยู่ในวัยเด็กจำได้ว่า รอบหนองโหงนั้นเต็มไปด้วยพงป่ารก ริมฝั่งหนองโดยรอบมีกอหญ้าขึ้นเต็มไปหมด หากในหนองกลับเต็มไปด้วยหมู่บัวหลวงชูอวดดอกทั้งตูมทั้งบานส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเกษรฟุ้งตลบอบอวนไปทั่วทั้งบริเวณหนองนั้น อีกฟากหนึ่งของหนองโหงอยู่ชิดกับแนวสันกำแพงดินรอบนอกของเมืองเก่า ซึ่งตรงนั้นเป็นทางเกวียนที่ใช้เดินทางติดต่อกันระหว่างหมู่บ้านต่างๆ ในแถบนั้น บางปีฝนดีมากทำให้หนองน้ำมีขนาดกว้างขึ้นกว่าเดิมจนท่วมมาถึงบริเวณทางเกวียนตรงแนวกำแพงดินเมืองเก่า ใครจะเดินทางสัญจรไปมาระหว่างหมู่บ้านดังกล่าวก็จำต้องเดินลุยน้ำข้ามไป ไม่มีใครกล้าหาญเดินขึ้นไปบนสันกำแพงเมืองเก่าเพราะเต็มไปด้วยป่าไม้พงหนามและป่าหญ้าคารกอีกทั้งยังสูงชันด้วย ต่อมาชาวบ้านจึงได้ช่วยกันสร้างสะพานแบบง่ายๆ ไว้ให้เดินข้าม สะพานที่ว่านี้ทำจากต้นตาลสองต้นวางเรียงกันขนานยาวไปกับแนวกำแพงดิน ตรงด้านฝั่งที่เป็นหนองน้ำทำราวไม้ไผ่ไว้ให้จับเวลาเดินข้าม เมื่อนึกถึงหนองโหงครั้งใด ผู้เล่าก็มักมองเห็นภาพสะพานนี้ผุดขึ้นมาในความทรงจำทุกครั้ง

มีอยู่ครั้งหนึ่ง แม่หาบตะกร้าพาผู้เล่าในวัยเด็กไปเก็บใบหม่อนในสวนของป้าเพื่อนำมาเลี้ยงตัวไหม สวนของป้านั้นอยู่นอกหมู่บ้านติดกับดงโคกใหญ่และจะต้องเดินผ่านหนองโหงนี้ด้วย ผู้เล่าจำได้ว่าเมื่อเดินมาถึงตรงสะพานที่จะข้ามหนองโหง แม่ให้ผู้เล่าเดินออกหน้าส่วนแม่เดินหาบตะกร้าตามหลัง เดินไปด้วยคอยดันหลังให้ผู้เล่าเดินไปข้างหน้าด้วยเพราะนิสัยผู้เล่ามักจะสนใจสิ่งที่อยู่รอบข้างเสมอเวลาเดินทางไปไหนมาไหนจึงทำให้เดินช้า ขณะที่เดินข้ามสะพานไปนั้นสายตาบังเอิญเหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่กลางบึง มองคล้ายๆ เป็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่งกำลังโผล่หัวขึ้นมาจากน้ำแล้วหักก้านดอกบัวอยู่ ผู้เล่าสะดุดชะงักนิดหนึ่งกำลังจะหยุดดูหากแม่ผลักให้รีบเดินข้ามไปเสียก่อน

เมื่อหันมาดูอีกทีก็ไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นเสียแล้วไม่รู้หายไปไหน เมื่อเดินผ่านมาไกลสักระยะหนึ่งได้หันไปดูอีกครั้ง ก็เห็นผู้หญิงคนนั้นเหมือนกำลังเดินตามมาอยู่ลิบๆ จนกระทั่งมาถึงสวนแม่ได้ให้พูดเล่าไปนั่งเล่นอยู่ใต้ร่มไม้ริมสวนหม่อน ส่วนแม่เข้าไปเก็บใบหม่อนในสวน ผู้เล่ามองออกไปนอกสวนเห็นร่างของหญิงนั้นนั่งนิ่งเป็นเงาดำๆ อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมทางอันไกลออกไปเหมือนกำลังจ้องมองตรงมายังผู้เล่านั่งอยู่  หากตอนนั้นก็ไม่ได้คิดหวาดกลัวอะไรมากนัก ได้แต่เล่นซนตามประสาเด็กอยู่คนเดียวสลับกับการมองไปดูร่างหญิงนั้นไปด้วย จนกระทั่งบ่ายแม่จึงได้พากลับออกมาจากสวน เมื่อเดินไปถึงต้นไม้ริมทางที่เคยมีร่างหญิงนั้นนั่งอยู่กลับไม่พบสิ่งใด ครั้นมาถึงบ้านเหมือนแม่จะสังเกตรู้ จึงได้นำเอาน้ำมนต์ที่เคยได้จากวัดมาประพรมและล้างหน้าให้

พอผู้เล่าโตขึ้นจนเข้าเรียนชั้นประถม จึงได้รู้เรื่องราวของหนองโหงจากคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านที่ได้เล่าให้ฟังว่า แต่ก่อนหนองโหงนั้นมีน้ำเย็นใสสะอาดมากกว่านี้มากนักและทั่วทั้งบริเวณหนองยังเต็มไปด้วยดอกบัวหลวงอันเบ่งบานส่งกลิ่นหอมตลบอบอวนตลอดทั้งปี หากแต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น เมื่อมีหญิงต่างถิ่นคนหนึ่งเดินทางมาเยี่ยมญาติในหมู่บ้าน ตอนขากลับหญิงนางนั้นได้เดินผ่านหนองโหงแล้วเกิดอยากได้ดอกบัวจึงลงไปเก็บแล้วก็มิได้ขึ้นมาอีกเลย

สองวันผ่านไปสามีของนางจึงมาตามถึงหมู่บ้าน เมื่อได้ทราบจากญาติของนางว่า นางได้กลับไปแล้วตั้งแต่วันก่อนก็ตกใจ จึงพากันออกตามหาจนไปพบศพที่ลอยขึ้นมาติดกอบัวตรงกลางหนองโหงนั้นเอง สามีของหญิงนั้นก็ถึงกับเข่าอ่อนเป็นลมล้มลงกับพื้นสลบไป เพราะผู้หญิงคนนั้นกำลังตั้งท้องได้สามเดือน เรียกว่า ตายโหงแบบผีตายทั้งกลม ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าไปแถวหนองโหงนั้นอีกเลยเพราะมีเสียงเล่าลือกันว่า ผีตายทั้งกลมนางนั้นเฮี้ยนนัก และมักปรากฏร่างให้คนเห็นเรื่อยมาไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน!

คนที่เคยเจอเหตุการณ์สยองนี้มาโดยตรงเป็นหนุ่มวัยรุ่นในหมู่บ้านของผู้เล่าเอง ชื่อว่า “อ้ายจัน” แต่พี่แกไม่ได้มาเล่าให้ฟังโดยตรง ผู้เล่าได้ฟังจากเพื่อนแกอีกที

ในยุคสมัยก่อนนั้นยังไม่มีทีวี มือถือ ที่มีสื่อบันเทิงมากมายให้เลือกดูอย่างมีความสุขเหมือนยุคสมัยนี้ ผู้คนชาวบ้านจึงต้องรอชมจากมหรสพประเภทหนังกลางแปลง หมอลำ ลิเก หรือรำวงที่จัดขึ้นจากงานกฐิน ผ้าป่า หรืองานทำบุญสมโภชต่างๆ ในแต่ละปีเท่านั้น หากหมู่บ้านใดมีงานบุญและมีมหรสพมาให้ดูให้ชมดังกล่าว ก็มักจะเต็มไปด้วยผู้คนมากมายทั้งในหมู่บ้านและต่างบ้านอันอยู่ใกล้เคียงเดินทางมาดูกันอย่างคึกคัก ปีนั้นมีหมอลำคณะดังมาเล่นฉลองสมโภชงานบุญผ้าป่าของบ้านดงยางซึ่งอยู่ถัดจากหมู่บ้านของผู้เล่าออกไปไกลพอสมควร เพียงเดินข้ามดงโคกใหญ่ไปประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึง  และการเดินทางตามทางเกวียนไปในช่วงหัวค่ำนั้นไม่ถือว่าเป็นเรื่องลำบากอะไร หากแต่ต้องเดินข้ามสะพานหนองโหงไปนี้สิเป็นเรื่องที่ไม่น่าบันเทิงใจนัก!  แต่ชาวบ้านก็พากันไปได้ตามปกติโดยพากันเดินไปเป็นกลุ่มเป็นพวกในแต่คุ้มบ้านทั้งขาไปขากลับ เมื่อมีคนมากจึงไม่ค่อยน่ากลัวนัก กลับได้เดินคุยหยอกล้อสนุกสนานกันไปตลอดทาง

อ้ายจัน ก็ได้ไปงานบุญดังกล่าวพร้อมกับกลุ่มเพื่อนหนุ่มๆ ในหมู่บ้าน ได้อยู่ชมการแสดงหมอลำไปจนกระทั่งถึงเที่ยงคืน เพื่อนๆ ของอ้ายจันก็ได้ชักชวนกันไปส่งสาวๆ ของอีกหมู่บ้านหนึ่งซึ่งกำลังจะกลับคืนบ้าน แต่อ้ายจันกลับขอตัวไม่ไปด้วยเพราะกำลังสนุกอยู่กับการดูหมอลำ หนุ่มๆ เพื่อนของอ้ายจันเมื่อส่งสาวกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้วต่างก็พากันกลับมาที่หมู่บ้านของตนเองเลยไม่ได้หวนคืนกลับไปหาอ้ายจันที่งาน เป็นเหตุให้อ้ายจันต้องเดินทางกลับมาบ้านตนเองเพียงลำพังซึ่งเวลานั้นก็เกือบตีสองแล้ว

อ้ายจันอาศัยแสงสว่างจากดวงจันทร์เดินกลับมาตามทางเกวียนจนกระทั่งถึงหนองโหง ในขณะที่กำลังไต่สะพานข้ามหนองอยู่นั้นก็พลันได้ยินเสียงหนึ่งเรียกขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงัด

“อ้ายๆ มาช่วยหน่อย!” เสียงนั้นเป็นเสียงผู้หญิงดังมาแผ่วๆ ราวกับไม่มีแรง ต้นเสียงดังมาจากกลางหนอง เมื่อเพ่งมองลงไปอ้ายจันก็เห็นร่างของผู้หญิงผมยาวคนหนึ่งโผล่หัวขึ้นมาจากน้ำท่ามกลางกอบัว ตอนแรกอ้ายจันกำลังจะถามว่า “ใครไปทำอะไรอยู่ตรงนั้น ?” หากก็มาฉุกคิดได้ว่า ร่างนั้นคงไม่ใช่คนแน่นอน เพราะคนดีๆ ที่ไหนจะลงไปเก็บดอกบัวคนเดียวกลางดึกแบบนี้ อีกทั้งยังเคยได้ยินคำเล่าลือของคนที่เจอเหตุการณ์เช่นนี้มาบ้าง เท่านั้นเอง อ้ายจันก็รู้ทันทีว่าตนได้เจอดีเข้าเสียแล้วได้แต่ตะลึงตกใจจนขนลุกซู่ตั้งแต่หัวจดปลายเท้า ขาแทบจะก้าววิ่งไม่ออก

ขณะที่อ้ายจันกำลังจะออกวิ่งไปนั้น ร่างผู้หญิงที่อยู่กลางหนองก็ค่อยๆ ยืดสูงขึ้นเรื่อยๆ อ้ายจันหรือจะรอช้าโกยอ้าววิ่งอย่างไม่คิดชีวิตปากก็ร้องตะโกนไปด้วยว่า ผีหลอก! ผีหลอก! จนกระทั่งเข้าไปในหมู่บ้านทำให้คนที่กำลังหลับอยู่ก็ถึงกับตกใจตื่นขึ้นออกมาดู จนรุ่งเช้าวันต่อมาข่าวว่าอ้ายจันเจอผีที่หนองโหงหลอกจนนอนซมจับไข้หัวโกร๋นก็แพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้าน นั่นเองยิ่งทำให้หนองโหงยิ่งทวีความน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ หลายปีต่อมาชาวบ้านได้นิมนต์พระไปเจริญพระพุทธมนต์ทำบุญตักบาตรให้เหตุการณ์น่ากลัวต่างๆ จึงค่อยๆ สงบลง

เมื่อผู้เล่าได้กลับไปที่หมู่บ้านเดิมอีกครั้งก็พบว่า หนองโหงในปัจจุบันได้ตื้นเขินจนบางส่วนถูกชาวบ้านนำดินมาถมทำเป็นสวนปลูกผลไม้เหลือเพียงส่วนเสี้ยวหนองเล็กๆ ที่ยังพอมีบัวหลวงขึ้นให้เห็นอยู่บ้าง แต่คิดว่าอีกไม่ช้านานก็คงหายกลายสภาพเป็นสวนไปหมดแน่ คงจะเหลือทิ้งไว้แต่ร่องรอยชื่ออันเคยถูกเล่าขานไว้เท่านั้นเอง

 

Don`t copy text!