
ผีนัดหลังเที่ยงคืน
โดย : ทรรศิตา
อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา
เชียงใหม่ในช่วงปี 2542 นั้นยังไม่เจริญมากนัก บ้านเมืองยังเป็นป่าดงโอบล้อมตัวเมืองอยู่ โดยเฉพาะชุมชนบริเวณโดยรอบเชิงดอยสุเทพ ธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพร ห้วยแก้ว ภูผา น้ำตก ยังมีความอุดมสมบูรณ์รื่นรมย์น่าเที่ยวพักผ่อน ในขณะเดียวกันก็มีอีกหลายสถานที่ที่ธรรมชาติสวยงามแต่ก็ไม่น่าไปเท่าใดนัก เพราะสถานที่เหล่านั้นเคยมีเหตุการณ์สยดสยองเกิดขึ้นจนไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าไปเฉียดใกล้มากนักหากไม่จำเป็น อย่างเช่น ผาเงิบและวังบัวบาน เป็นต้น
ผู้เล่าได้ขึ้นมาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ ซึ่งไม่ไกลจากดอยสุเทพมากนักโดยเข้าศึกษาในคณะครุศาสตร์ และก็ได้รู้จักเพื่อนร่วมคณะเดียวกันและต่างคณะหลายคน แต่ที่สนิทที่สุดเห็นเป็นเหล่ามิตรสหายคณะปรัชญา ด้วยคณะนี้มีนักพูดและมีผู้มีความรู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับศาสตร์ต่างๆหลายท่าน โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับศาสตร์ลี้ลับภูติผีปีศาจวิญญาณต่างๆ เป็นต้น ซึ่งเป็นที่สนใจของตัวผู้เล่าเองเป็นอย่างยิ่ง
สมเด็จ เป็นเพื่อนอีกคนหนึ่งที่ถือว่าสนิทกันที่สุด เพื่อนร่วมคณะมักเรียกเขาว่า“ท่านสมเด็จ”เพราะลักษณะนิสัยใจคอหน้าตาท่าทางการพูดการจาดูทรงภูมิน่าเกรงขามสมกับภูมิความรู้ความสนใจที่มีเกี่ยวกับเรื่องลึกลับ ไสยศาสตร์และคาถาอาคม จนเป็นที่ยอมรับของเหล่าผองเพื่อนที่ได้รู้จักมักคุ้น
วันหนึ่งสมเด็จได้เข้ามาหาผู้เล่าถึงห้องเรียนและพูดว่า“เสาร์ อาทิตย์นี้ว่างไหม? จะชวนไปแอ่ววังบัวบาน”ผู้เล่าสนใจทันทีเพราะได้ยินแต่ชื่อมานานหากไม่เคยไปเห็นด้วยตาตนเองเลยสักครั้งจึงถามว่า…
“มีใครไปบ้าง? แล้วรายชื่อมิตรสหายที่คุ้นเคยกันหน้าเดิมๆ ก็ถูกเอ่ยออกมาอันมี สุจิต สายวัน พนา ฤกษ์ พินิจ ราชัน แก้วลุนและสายชล รวมทั้งผู้เล่ากับสมเด็จอีกก็รวมเป็นสิบคนพอดี จึงถามต่อว่า…
“จะนัดเจอกันที่ไหน เวลาใดและไปอย่างไร?” หากคำตอบที่ได้ก็ถึงกับทำให้ผู้เล่าสะดุ้ง
“วันเสาร์ เวลาหกโมงเย็นตรงทางลัดขึ้นเชิงดอยสุเทพ…โอเค”
“อ้าว? ไม่โอเค..ทำไมต้องไปเวลาเย็น มันมืดแล้วนา” ผู้เล่าสงสัย หากคำตอบที่ได้ยิ่งทำให้สะดุ้งโหยงตกใจหนักกว่าเดิม!
“ผมจะพาไปพิสูจน์ผี ว่ามีจริงไหม? เห็นคนเขาลือกันนักหนาว่า วังบัวบานผีดุ!” เมื่อผู้เล่าได้ฟังแล้วก็รีบปฏิเสธทันที ไม่ใช่เพราะกลัวผีเรื่องกลัวผีเป็นเรื่องธรรมดา แค่ไม่อยากเห็นไม่อยากรู้จักกันเท่านั้นเอง แต่เรื่องที่ใหญ่กว่านั้นคือ กลัวสิงสาราสัตว์มากกว่าเพราะเวลากลางคืนตกอยู่ในท่ามกลางป่าดงลึกย่อมไม่น่าอภิรมย์มากนัก ยิ่งแถวนั้นอยู่ใกล้กับสวนสัตว์เชียงใหม่และข่าวว่ามีสัตว์หลุดออกมาเดินนอกสวนสัตว์บ่อยๆ อีกต่างหากโดยเฉพาะงูทุกชนิดผู้เล่าจะรู้สึกกลัวและขยะแขยงเป็นพิเศษ
“ได้เรื่องยังไง ก็มาเล่าให้กันฟังหน่อยนะ” ผู้เล่าพูดทิ้งท้ายก่อนจะแยกจากกันหลังจากที่โดนรบเร้าชักชวนอีกสองสามครั้งแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะผู้เล่าไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยงนั่นเอง
จนกระทั่ง วันจันทร์ของสัปดาห์ต่อมาเมื่อได้พบหน้าของเหล่านักพิสูจน์ผีอีกครั้งผู้เล่ายิงถามทันทีด้วยความอยากรู้
“เป็นไงบ้างล่ะ เจอผีไหม?” ทุกคนส่ายหน้าด้วยท่าทางอิดโรยดูท่าจะไม่ได้นอนกันมาเกือบทั้งคืน
“แสดงว่าผีไม่มีจริง…เห็นไหมล่ะ เสียเวลาเปล่า” ผู้เล่าว่ายังไม่ทันจบ สุจิตก็พูดขึ้นต่อทันทีว่า…
“ผีมันมีแน่นอนอยู่แล้ว แต่คนไม่ยอมเจอผีน่ะสิ!” ผู้เล่าถึงกับงง เลยขอให้สุจิตเล่าให้ฟังโดยละเอียดจึงได้ทราบเรื่องอันชวนระทึกและเขย่าขวัญดังจะเล่าต่อไปนี้
วันเสาร์เวลาหกโมงเย็น นักพิสูจน์ผีทั้งเก้าคนอันมีท่านสมเด็จเป็นหัวหน้าทีมได้พากันหอบสัมภาระในการเดินป่า พากันเดินยกโขยงตามทางลัดขึ้นไปที่วังบัวบานซึ่งใช้เวลาไม่นานนักก็ถึงบริเวณสถานที่ดังกล่าว จึงได้พากันเลือกลานดินที่ค่อนข้างห่างจากวังน้ำมาอีกฟากด้านหนึ่งซึ่งดูเงียบสงัดจากผู้คนเพื่อกางเต็นท์นอน คืนนั้นเป็นคืนวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง แสงจันทร์อันทอแสงตั้งแต่แรกค่ำไปจนกระทั่งถึงยามดึกเป็นรัศมีสีเงินเรื่อเรืองทำให้ตรงหน้าผา ลานหินและป่าบริเวณแถวนั้นดูวังเวงและน่ากลัวยิ่งดึกยิ่งเงียบสงัดเข้าไปอีก ทั้งเก้าคนพากันนั่งก่อไฟกองเล็กๆ ต้มชาและกาแฟดื่มพลางคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยๆทั้งเรื่องวิชาการ เรื่องประสบการณ์ส่วนตัวแต่ละคน จนกระทั่งถึงเรื่องเกจิอาจารย์วัดดังต่างๆ จนเกือบถึงเที่ยงคืน สมเด็จ หัวหน้าทีมจึงเอ่ยขึ้นว่า…
“เล่นผีถ้วยแก้วกันไหม? ผมเตรียมอุปกรณ์มาพร้อมแล้ว”สมาชิกเกือบทุกคนพยักหน้าเหมือนรู้อยู่แล้ว มีสุจิตคนเดียวเท่านั้นยังที่งงอยู่เพราะไม่รู้มาก่อน แต่ก็จำต้องยอมเล่นไปด้วยไหนๆ ก็ได้มาแล้ว อีกอย่างทุกคนต่างก็เคยเล่นมาแล้ว เพียงแต่ไม่ใช่กลางป่ากลางดอยเช่นนี้
สมเด็จนำแผ่นกระดาษขนาดใหญ่ประมาณหนึ่งตารางเมตรที่ถูกตีตารางเขียนอักษรตั้งแต่ ก ไปจนถึง ฮ พร้อมทั้งสระไทยทุกตัว และตัวเลขจาก 1 ถึง 9 ปรากฏอยู่เอาไว้ ทั้งหมดนี้ถูกเขียนแวดล้อมวงกลมที่มีแก้วน้ำใสวางอยู่ตรงกลางกระดาษ ใต้วงกลมมีเส้นตีคู่ขนานเป็นช่องออกมาจนถึงขอบด้านล่างและเขียนว่า ทางออก
เมื่อทุกคนพร้อม สมเด็จ ลุกขึ้นไปจุดธูปเทียนว่าบริกรรมคาถาพึมพำๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วปักลงที่ลานดินตรงหน้า ก่อนเดินกลับมาหยิบเหรียญเงินสตางค์โบราณออกจากย่ามแล้ววางไว้บนก้นแก้วที่คว่ำอยู่บนวงกลมกลางกระดาษ พลางพยักหน้าให้ทุกคนเอามือขวามาวางทับกันบนแก้ว เมื่อเสร็จแล้วก็กล่าวคำเชิญผีที่อยู่แถวนั้นมาเข้าสิงแก้วทันที และทันทีที่กล่าวจบแก้วใบนั้นก็สั่นและเคลื่อนไหว! ทุกคนถึงกับใจเต้นแรงและตัวสั่นด้วยความกลัว หากก็ไม่กล้าปล่อยมือเพราะหากมี ใคร สักคนปล่อยมือออกจากแก้ว ผีในถ้วยแก้วจะเข้าสิงทันทีซึ่งอาจจะทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต!
“คุณชื่ออะไร..เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย?”สมเด็จถาม แก้วนั้นไหลเคลื่อนไหวไปตามอักษรและสระต่างๆ บนกระดาษรวมประโยคได้ว่า..
“กูชื่อ หอม เป็นหญิง กูถูกฆ่าตายมานานแล้ว พวกมึงมารบกวนกูทำไม!” เท่านั้นเองขวัญของทุกคนก็ถึงกับหวาดผวาดกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง แต่สมเด็จดูจะคุมสติได้ดีกว่าใคร จึงพูดว่า..
“พวกลูกกราบขอโทษ..ลูกแค่อยากจะมาพิสูจน์ว่า วิญญาณ ผี มีจริงไหมเท่านั้นเอง ลูกไม่เคยคิดจะมารบกวนท่านเลย”
“ถ้ามึงอยากพบกูนัก กูจะมาให้พวกมึงเห็นตอนตีสาม!”พอถึงตอนนี้ทุกคนต่างขนลุกเกรียวหนาวสั่นยะเยือกไปตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ต่างหันขึ้นมาสบตากันมีเสียงใครสักคนในกลุ่มเชิญผีกลับคืนด้วยเสียงอันสั่นเทา ฉับพลันแก้วนั้นก็เคลื่อนไหลตรงไปที่ทางออกทันที และทันทีที่ถึงทางออกทุกคนต่างดึงมือของตนกลับมา บางคนถึงกลับหงายหลังล้มลงนอนกับพื้นดินด้วยความหมดแรงเพราะกลัวจนเกร็งไปหมด เมื่อผ่านไปสักครู่จึงหันมาพูดกันเบาๆ ว่า..
“เอาไงดีพวกเรา จะอยู่หรือกลับ”พนาถาม สุจิตและคนอื่นๆ อีกหลายเสียงตอบว่า..
“กลับเถอะ! ไม่ไหวแล้ว”ยังไม่ทันได้ตกลงกันดีนัก ทันใดนั้นจู่ๆ ก็มีลมพายุพัดมาวูบหนึ่งเหวี่ยงไกวกิ่งไม้กระทบกันดังเกรียวกราว ลมแรงจนฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ แต่ที่น่ากลัวที่สุดจนทุกคนต้องมายืนเกาะกลุ่มกันทันทีก็คือ กลิ่น! มีกลิ่นสาบธูปแรงมากพัดมากับลมพายุจนทุกคนในที่นั้นถึงกับเอามือปิดจมูกไว้ และในทันทีที่ลมสงบลงราวกับนัดกันไว้ ทุกคนต่างก็รีบเก็บข้าวของสัมภาระที่นำมาโดยไม่ต้องบอก แล้วพากันส่องไฟฉายเร่งรีบเดินลงจากดอยทันทีเรียกว่า ถอยกลับอย่างไม่เป็นขบวน
“แสดงว่า เจอแบบไม่จัง”ผู้เล่าสรุปเอาง่ายๆ เมื่อสุจิตเล่าจบ
“ขืนอยู่ต่อไปคงมีอะไรที่สยองๆ กว่านี้เกิดขึ้นแน่ๆ!”สุจิตว่า ผู้เล่าถามเรื่องราวเพิ่มอีกหลายอย่างด้วยความสนใจแล้วจึงแยกย้ายกันเข้าห้องเรียน หากเหตุการณ์วันนั้นกลับไม่จบเพียงเท่านั้น เมื่อมีข่าวขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ประจำวันนั้นพาดว่า พบศพชายแขวนคอตายในที่ใกล้บริเวณวังบัวบาน คาดว่าจะเป็นการฆาตกรรมอำพราง!
เมื่อได้อ่านข่าวผู้เล่ารีบตรงไปถาม สุจิต ทันทีว่า “อยู่ตรงนั้นไม่เห็นอะไรเลยหรือ?” สุจิตนิ่งคิดไปนาน ก่อนพูดเบาๆ ว่า..
“เหมือนช่วงตอนหัวค่ำคล้ายๆ จะเห็นมีผู้ชายคนหนึ่งมายืนเหม่อลอยอยู่ริมผา..แต่อยู่ค่อนข้างไกลและค่ำแล้วจึงมองเห็นค่อยไม่ชัดแต่ไม่นานก็หายไป คิดว่าน่าจะเป็นชาวบ้านที่อยู่ใกล้แถวนั้นจึงไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก”เมื่อเพื่อนพูดจบหากผู้เล่ายังไม่จบกลับคิดไปไกลกว่านั้น..บางที อาจจะเป็นวิญญาณของคนตายที่ไม่รู้ว่าตนเองตายไปแล้วก็ได้ เหตุที่ผู้เล่ากล้าปักใจเชื่อได้มากถึงเพียงนี้ก็เพราะว่า รูปพรรณสัณฐานตลอดจนเสื้อผ้าของศพที่พบในข่าวตรงกับที่เพื่อนเล่าให้ฟังทุกอย่างนั้นเอง!
- READ ผีนัดหลังเที่ยงคืน
- READ หลวงพระบางรำลึก ตอน "เงามืดปริศนา"
- READ จิตสังหรณ์
- READ ปอบซูดหมู
- READ ผีกลิ้งไห
- READ หนองบัวแดง
- READ อย่าลืมฉัน
- READ ทุ่งกุลากับเสียงเรียกในยามวิกาล
- READ ดอนปู่ตา
- READ พรายหนองโหง
- READ วิญญาณออนไลน์
- READ ผีไล่ควาย
- READ ร่างวิญญาณ
- READ ผีต้นบากใหญ่
- READ ปอบผีสาว
- READ เปรตหนองขี้ทูด
- READ ดงหนองแสง
- READ ถนนสายนี้...ผีดุ (ภาค 2)
- READ ถนนสายนี้...ผีดุ (ภาค 1)
- READ บึงผีพราย
- READ คืนไล่ผีปอบ
- READ โรงแรมเด็กหัวโต
- READ สังขละบุรีในตำนาน (ตอนที่ 2)
- READ สังขละบุรีในตำนาน (ตอนที่ 1)
- READ หาดใหญ่ทัก...(แบบเบาๆ)
- READ สาวน้อยในห้องน้ำ
- READ เหตุเกิดที่ทองผาภูมิ #3
- READ โรงเรียนวิญญาณหลอน
- READ ผีสางนางน้ำบ่อ
- READ เหตุเกิดที่ทองผาภูมิ #2
- READ เหตุเกิดที่ทองผาภูมิ #1
- READ ว่านผีโพง