เปรตดงตาลสามต้น

เปรตดงตาลสามต้น

โดย : ทรรศิตา

Loading

อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา

“เณร..เณรน้อยเฮย!”

แว่วเสียงหลวงปู่เรียกดังออกมาจากใต้ถุนศาลาใหญ่ในยามพลบค่ำรำไร เมื่อหมาวัดสิบกว่าตัวส่งเสียงทั้งเห่าทั้งหอนเป็นเวลานานหลายนาทีสิ้นสุดลง ผู้เล่ากับสามเณรตี๋ซึ่งเพิ่งบวชเป็นสามเณรด้วยกันมาได้ไม่ถึงปีรีบลุกขึ้นขานรับคำ แล้วต่างคนต่างรีบวิ่งลงจากกุฎีไม้ตรงไปหาหลวงปู่ทันที “ไปเอาข้าวก้นบาตรพระที่เหลือไปวางไว้ที่ป่าข้างกำแพงหน่อยนะ เปรตมันหิวข้าว!” สิ้นคำหลวงปู่ ผู้เล่ากับเณรตี๋ถึงกับสะดุ้งมองหน้ากันโดยมิได้นัดหมายแล้วต่างก็หันเพ่งมองไปยังสถานที่ที่หลวงปู่บอกทันที!

ด้านทิศเหนือของชุมชนบ้านเมืองเก่าของผู้เล่า ในอดีตเคยเป็นทางเข้าประตูเมืองอีกประตูหนึ่งในจำนวนทั้งหมด ๕ ประตูมีดงป่าตาลขึ้นอยู่เต็มจึงเรียกว่าทางดงตาล ต่อมาจะด้วยเหตุผลใดกลมิทราบดงตาลเหล่านั้นก็พากันล้มต้นตายไปจนเกือบหมดหลงเหลืออยู่เพียงสามต้นเท่านั้นยังคงยืนต้นสูงตระหง่านอยู่ริมทางให้เป็นที่หวาดกลัวของชาวบ้านผู้ต้องต้องสัญจรไปมายามค่ำคืน ไม่ใช่กลัวต้นตาลสามต้น หากแต่กลัวสิ่งที่แฝงร่างมากับต้นตาลนั้นต่างหาก ซึ่งต่างก็เรียกกันว่า “ผีเปรตดงตาลสามต้น”

ลุงดอน เป็นมัคคนายกวัดมาหลายสิบปีไม่เจอเหตุการณ์ใดที่ทำให้แกขวัญหนีดีแตกกระเจิดกระเจิงได้ถึงเพียงนี้ เล่ากันว่า ในคืนวันเพ็ญออกพรรษาปีนั้น ลุงดอนกับอุบาสกอุบาสิกาพ่อขาวแม่ขาวหลายสิบคนได้ไปจำศีลอุโบสถที่วัดซึ่งได้พากันปฏิบัติเป็นประจำทุกปีตลอดช่วงเข้าพรรษา โดยจะพากันไปรับศีลอุโบสถในวันพระเแล้ว นอนที่วัดจนรุ่งเช้าวันต่อมาจึงพร้อมกันรับศีลห้าจากหลวงพ่อแล้วกลับบ้านใครบ้านมัน เกือบค่อนรุ่งคืนวันนั้นลุงดอนรีบตื่นลุกมาก่อนใครๆ ด้วยแกจะรีบเดินทางไปทำธุระต่างหมู่บ้านซึ่งค่อนข้างอยู่ไกล หากขืนมัวช้าอยู่ก็จะไม่ทันกาล กลัวจะค่ำกลางทางเสียก่อนถึงจุดหมาย

ลุงดอน รีบลงมาล้างหน้าล้างตาแล้วขึ้นไปกราบพระประธานที่ศาลาการเปรียญก่อนจะหอบผ้าห่มสะพายย่ามใบเก่าลงศาลารีบเร่งเดินออกจากวัดมาตามทางเดินอันเป็นดินทรายผสมหินกรวดแดงที่ชาวบ้านเรียกกันว่า หินแห่ แกเดินโดยอาศัยแสงสลัวของพระจันทร์ยามค่อนรุ่งมาจนถึงทางแยก ซึ่งทางหนึ่งต้องเดินอ้อมไปตามริมสระหนองกำแพงเก่าจนถึงปากทางเข้าหมู่บ้านซึ่งสะดวกกว่าแต่ไกลต้องใช้เวลานาน  ส่วนอีกทางหนึ่งนั้นใกล้กว่าแต่ต้องเดินทางผ่านดงป่าที่ค่อนข้างรกและต้องผ่านดงตาลสามต้นที่มีเสียงเล่าลือมานานว่ามี ผีเปรต!

ลุงดอน ตัดสินใจเลือกไปทางดงตาลสามต้นเพราะใกล้กว่า แกจ้ำเดินด้วยความเร่งรีบ ปากก็บ่นคาถาที่เคยได้ยินมา ส่วนตาก็เพ่งมองไปยังหนทางข้างหน้าและป่าสองข้างทางด้วยความหวาดระแวงว่าจะมีสิ่งใดโผล่พรวดออกมาขวางหน้าแก ยิ่งเดินก็ยิ่งเงียบลึกลงไปเรื่อยๆ ความรู้สึกของลุงดอนในขณะนั้นเหมือนกับว่าทางที่แกกำลังเดินไปอยู่นั้นมันกำลังขยายยืดยาวให้ไกลออกไปไม่มีที่สิ้นสุดลงสักที เล่นเอาลุงดอนแกรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ กันเลยทีเดียว จนกระทั่งใกล้จะถึงดงต้นตาลสามต้นลุงดอนก็ถึงค่อยๆ เดินช้าลงเมื่อมองเห็นยอดตาลทั้งสามต้นโผล่พ้นเหนือแมกไม้อันมืดสลัวขึ้นมาให้เห็นตรงหน้า

ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ ต้นตาลทั้งสามต้นนั้นก็เหมือนจะยืดลำต้นให้เหยียดสูงเสียดฟ้าขึ้นไปเรื่อยๆ ราวกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นมาดึงขึ้นไป ลุงดอนแกเดินเพ่งดูถนนหนทางไปด้วย แหงนดูต้นตาลไปด้วยจนกระทั่งมาถึงปากทางแยกเข้าหมู่บ้านอันมีต้นตาลสามต้นยืนเรียงกันสูงตระหง่าน ปลายยอดใบตาลแผ่เบียนบังดวงจันทร์สีแดงยามค่อนรุ่งจนลับหาย แกก้มมองที่พื้นดินเห็นเงาต้นตาลทอดเงายาวไปตามทางเดินจนหายลับไปในความมืด

ฉับพลัน! สายลมแรงวูบหนึ่งพัดกระโชกเข้ามาจนแมกไม้ปลายตาลไหววูบวาบ นำกลิ่นสาบสางบางอย่างเข้ามาปะทะจมูกจนลุงดอนชะงักเท้าหยุดเดิน ลางสังหรณ์ใจบางอย่างผุดวาบเข้ามาจนขนลุกชันไปทั้งตัว เงาต้นตาลที่แกมองดูเมื่อสักครู่ไม่ได้มีแค่สามต้นอย่างที่คิด มีลำต้นที่สี่แฝงเข้ามาด้วยที่สำคัญมันกำลังเคลื่อนลำต้นออกมาด้านข้างอีกด้านอย่างช้าๆ ลุงดอนหันกลับเงยหน้าขึ้นไปดูทันที และทันทีที่สายตาลุงดอนหันขึ้นไปประสานกับสิ่งนั้นแกก็ถึงกับหงายหลังล้มตึงลงกับพื้นดิน!

ร่างผอมดำทะมึนสูงกว่าต้นตาลตาสีมันแดงก่ำเรื่อเรืองในความมืดสลัว ปากเป็นรูคล้ายจุดวงกลมเล็กๆ ส่งเสียงร้อง วี้ดๆ อยู่ตรงหน้าลุงดอนผู้ที่กำลังตกตะลึงอ้าปากตาค้างอยู่ พอได้สติลุงดอนก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นวิ่งเข้าหมู่บ้านไปพร้อมกับเสียงแหกปากตะโกนฟังแทบไม่เป็นภาษามนุษย์ “ผีเปรต! โว้ย ผีเปรต!”

ข่าวลุงดอนมัคคนายกแห่งวัดเมืองเก่าดังทะลุทะลวงไปทั้งตำบลชั่วข้ามวัน เสียงเล่าลือว่าลุงแกเป็นไข้จับสั่นไปตั้งสามวัน จนกระทั่งวันที่สี่จึงได้มารดน้ำมนต์จากหลวงพ่อที่วัด มีคนเล่าว่าแกไม่ยอมเดินผ่านไปทางต้นตาลสามต้นนั่นอีกเลย หากจำเป็นต้องไปทางนั้นแกก็จะลงทุนออกแรงเดินอ้อมสระกำแพงไปอีกด้านของหมู่บ้าน แม้จะไกลแต่ก็ปลอดภัยจากภาพจำที่สยดสยองแกว่างั้น

ต่อจากนั้นผ่านมาอีกหลายปี เมื่อชุมชนเจริญขึ้นตามยุคสมัยใหม่ ต้นตาลสามต้นก็ถูกโค่นล้มลงเพื่อพัฒนาเป็นถนนหนทางเข้าหมู่บ้านให้มีความสะดวกสบายกว้างขวางมากขึ้น ปิดตำนานเปรตดงตาลสามต้นให้ลบเลือนจางหายไปในที่สุด เมื่อปีที่ผ่านมาผู้เล่าได้เดินทางไปที่บ้านเกิดอีกครั้งเพื่อสักการะเจดีย์ที่บรรจุอัฐิหลวงปู่และได้ไปดูบริเวณที่เคยมีต้นตาลสามต้นขึ้นอยู่ พบเพียงอาคารบ้านเรือนที่ถูกปลูกสร้างขึ้นมาทับรอยอดีตจนไม่เหลือเค้าเดิม ลองถามผู้คนที่อาศัยอยู่แถวนั้นว่า “เคยเจออะไรแปลกๆ เกิดขึ้นบ้างหรือไม่?”

ทุกคนได้แต่ส่ายหน้าหัวเราะขำพลางบอกว่า “ถ้าเจอและมีจริงก็ดีนะซี จะได้ปักธูปขอหวยซะเลย”

 

Don`t copy text!