ถนนสายนี้…ผีดุ (ภาค 2)

ถนนสายนี้…ผีดุ (ภาค 2)

โดย : ทรรศิตา

Loading

อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา

เรื่องที่ถูกเล่ากันมาและจัดได้ว่า “เฮี้ยนที่สุด” อีกเรื่องหนึ่งของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๑๙ คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี ๒๕๒๐

การคมนาคมของผู้คนในชุมชนชาวบ้านผู้เล่าเองในอดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบันซึ่งดูจะเป็นที่นิยมกันมากที่สุด คือ “รถสี่ล้อเขียว” เพราะสามารถวิ่งเข้าออกในแต่ละหมู่บ้านที่อยู่ห่างจากถนนหลวงสายหลักได้ดีและสะดวกสบาย แตกต่างจากรถบัสโดยสารประจำทางระหว่างอำเภอหรือจังหวัดซึ่งจะสามารถจอดรับส่งผู้โดยสารได้เพียงตรงทางเข้าหมู่บ้านเท่านั้น ยิ่งหมู่บ้านใดตั้งอยู่กลางทุ่งกุลาร้องไห้และไกลจากถนนหลวงมากเท่าไร ก็จะลำบากต่อการเดินทางเข้าไปในอำเภอมากเท่านั้น ดังนั้นการใช้บริการรถสี่ล้อเขียวจึงเป็นที่นิยมมากเพราะเหตุดังกล่าว

“ทิดสง” ได้ออกรถโดยสารสี่ล้อเขียวคันหนึ่ง โดยแกกับหลานชายวัยรุ่นวิ่งรถรับส่งชาวบ้านตามหมู่บ้านแถบนั้นเป็นประจำจนเป็นที่รู้จักของชาวบ้านทั่วไป ทิดสงเป็นคนขับ หลานชายเป็นกระเป๋ารถคอยเก็บเงินค่าโดยสาร ห้าบาทสิบบาทตามระยะทางใกล้ไกล ทิดสงมักออกรถโดยสารเข้าอำเภอช่วงเช้าประมาณแปดโมงเช้า ขากลับมาช่วงเที่ยงวัน ออกอีกทีบ่ายหนึ่งโมง และกลับประมาณบ่ายสี่ถึงหกโมงเย็น อาจจะมีรับงานพิเศษบ้างช่วงเทศกาลต่างๆ เช่น ช่วงสงกรานต์ ช่วงปีใหม่ เพราะจะต้องออกรถไปรับผู้โดยสารผู้ซี่งกลับคืนมาบ้านเกิด ซึ่งบางทีอาจเป็นเวลากลางค่ำกลางคืนจนถึงดึกดื่นเลยก็มี

ในสงกรานต์ปีนั้นเอง คืนวันหนึ่งทิดสงกับหลายชายได้ออกไปรับผู้โดยสารที่กลับมาจากกรุงเทพจากสถานีขนส่งประจำอำเภอไปส่งยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งกว่าจะไปถึงหมู่บ้านนั้นก็ใช้เวลานานเป็นชั่วโมงทีเดียว เพราะถนนหนทางแต่ละหมู่บ้านในสมัยนั้นมักเป็นทางเกวียนเสียส่วนใหญ่ ดังนั้นเมื่อทั้งน้าหลานส่งผู้โดยสารถึงที่เสร็จเรียบร้อยเวลาก็ปาเข้าไปจนเกือบเที่ยงคืนแล้ว

ระหว่างขับรถขากลับ หลานชายได้ขึ้นมานั่งด้านหน้าคู่กันกับทิดสง เพื่อพอจะเป็นเพื่อนคุยกันให้หายวังเวงลงบ้าง  ด้วยถนนหนทางกลางทุ่งกุลาฯ ในเวลากลางคืนนั้นสองข้างทางมืดสนิทเงียบวังเวงจนดูน่ากลัว แสงไฟหน้ารถสาดส่องไปตามถนนอันทอดยาวหายลับไปในความมืดเบื้องหน้า เมื่อรถเลี้ยวขึ้นบนถนนหลวง ฉับพลันนั้นเอง! แสงไฟจากหน้ารถก็สาดไปปะทะเข้ากับบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ริมทาง ใกล้กับศาลารอรถประจำทางหน้าหมู่บ้านพอดี  และเมื่อเข้าไปใกล้ๆ ก็พบว่าเป็นร่างของชายหญิงคู่หนึ่งยืนสะพายกระเป๋าโบกมือไหวๆ อยู่ ลักษณะท่าทางการแต่งเนื้อแต่งตัวเหมือนเพิ่งกลับมาจากกรุงเทพ ทิดสงจึงจอดรถถามว่า…

“จะไปไหนกันรึ? ” ผู้หญิงที่ยืนอยู่ใกล้กว่าตอบเบาๆ ว่า … “จะไปอำเภอ…พวกฉันขออาศัยไปด้วยได้ไหมจ้ะ?”

น้าทิดสงมองหน้าหลายชายเป็นเชิงถามก่อนตัดสินใจตอบไปว่า…ได้ แล้วร่างของชายหญิงทั้งคู่ก็ค่อยๆ เดินไปที่ท้ายรถแล้วขึ้นบันไดรถไปนั่งตรงเบาะริมท้ายสุดคนละฟากและก้มหน้านิ่งอยู่ไม่พูดไม่จาสิ่งใดอีกเลย!

ระหว่างขับรถอยู่นั้น ทิดสงฉุกคิดได้ว่า ทำไมชายหญิงทั้งคู่ไม่ยอมสบตาใครเลย เสียงผู้หญิงพูดก็ดูลอยๆ อย่างไรชอบกล โดยเฉพาะผู้ชายนั้นไม่พูดอะไรเลยสักคำเอาแต่ก้มหน้านิ่ง หลานชายทิดสงก้มมาพูดเบาๆข้างหูว่า

“น้าทิด…สังเกตเห็นอะไรผิดปกติไหม? ผมว่า มันยังงัยๆ อยู่นา?” ยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย รถก็มาถึงตรงที่เรียกว่า “ดงโนนสูง”เสียก่อน สาเหตุที่ชาวบ้านแถวนั้นเรียกว่า ดงโนนสูง เพราะพื้นที่ตรงนั้นเป็นเนินสูงรกหนาทึบไปด้วยดงป่าไผ่และไม้จำพวกต้นยาง สะแบงและพันธุ์ไม้ป่าอื่นๆ กลางวันยังดูมืดครึ้มจนดูน่ากลัว กลางคืนนั้นไม่ต้องพูดถึง โดยเฉพาะต้นขนวนใหญ่อันตั้งอยู่สูงสุดตรงกลางเนินนั้น เขาลือกันว่า ผีดุนัก!

ทิดสงเร่งรถให้เร็วขึ้นอีก เหมือนต้องการจะให้พ้นออกจากดงโนนสูงเร็วๆ หลานชายก็ถึงกับขยับเข้ามานั่งชิดตัวทิดสงโดยทันที แล้วทันใดนั้นเอง! ทั้งคู่ก็เกิดอาการถึงกับสะดุ้ง เมื่อจมูกปะทะเข้ากับกลิ่นสาบสางชนิดหนึ่ง ทั้งเหม็นทั้งคาวเหมือนซากสัตว์เน่า นั่นยิ่งเหมือนเป็นการเร่งให้น้าทิดสงบึ่งรถเต็มที่จนกระทั่งพ้นจากดงโนนสูงมาแล้ว จึงผ่อนรถให้เป็นปกติ และเมื่อใกล้จะเข้าเขตอำเภอ จู่ๆ หลายชายทิดสงก็ร้องออกมาเสียงอันดังพร้อมกับจับแขนแกเขย่าแรงๆ ว่า

“น้าๆ จอดก่อนๆ จอดรถเร็ว! คนที่ขึ้นรถเราทั้งสองคนเมื่อครู่หายไปไหนแล้ว! ” พอขาดคำของหลานชายทิดสงรีบหยุดรถทันที ทั้งน้าหลานรีบลงรถไปดูก็พบว่าเบาะผู้โดยสารทั้งสองฟากว่างเปล่า ทั้งคู่มองหน้ากันด้วยอาการมึนงง เป็นไปได้อย่างไรที่คนทั้งคู่จะหายไปเฉยๆ เพราะถ้าตกรถลงไปก็ต้องได้ยินเสียงกันบ้าง แต่นี่เหมือนไม่มีร่องรอยคนเคยนั่งอยู่เลย!

รุ่งเช้าวันต่อมานั้นเองทิดสงและหลานชายก็ถึงกับขนหัวลุกชันด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินข่าวว่า มีชายหญิงคู่หนึ่งถูกฆ่าปาดคอชิงทรัพย์ตายทั้งคู่ และศพถูกฆาตรกรใจเหี้ยมนำไปทิ้งหมกข้างป่าตรงดงโนนสูงนั่นเอง!

 

Don`t copy text!