สังขละบุรีในตำนาน (ตอนที่ 1)

สังขละบุรีในตำนาน (ตอนที่ 1)

โดย : ภัทรภร

Loading

อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา

วันก่อน มีน้องๆ ถามเรื่องผีที่เรามักจะเจอเวลาไปที่แปลกๆ เลยนึกขึ้นได้ว่า สมัยที่ไปทำงานแถวชายแดน เราเจออะไรแบบนี้บ่อยมาก มีเรื่องหนึ่งที่จำแม่นมากๆ ไม่เคยลืม คือที่สังขละบุรี  จังหวัดกาญจนบุรี

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อนานมากแล้ว ตอนนั้นเราทำงานองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งจะมีกฎของการเข้าพัก คือ แต่ละห้องให้พักคนเดียว

ด้วยความที่เจ้าหน้าที่ส่วนมากเป็นชาวต่างประเทศ ซึ่งต้องการความเป็นส่วนตัวสูงมาก แต่เจ้าหน้าที่ไทยอย่างฉัน คือไม่ชอบกฎนี้เลย เพราะกลัวผีขึ้นสมอง แล้วเวลาต้องมาที่พื้นที่นี้ทีไร ก็แทบไม่เคยพลาดเลยซักแมทช์…เจอประจำ

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่ไม่ได้พักที่พักประจำ เพราะที่พักเต็ม ทางออฟฟิศก็เลยต้องไปจองโรงแรมอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงแรมดั้งเดิมของท้องถิ่น ห้องพักก็จะเป็นห้องเตียงคู่ ที่ผนังห้องใช้หินแกรนิตมาก่อ สีดำๆ มืดๆ หน่อย เฟอร์นิเจอร์ในห้องทำจากไม้หนาๆ แบบโบราณ มีโต๊ะเครื่องแป้งที่มีกระจกบานใหญ่ๆ กรอบไม้แกะสลักอยู่ปลายเท้า ตรงกลางระหว่างสองเตียง

ห้องที่ฉันพัก เป็นห้องแอร์แบบมีกระจกที่เปิดไม่ได้ มีแอร์ติดอยู่เหนือราวผ้าม่านบนหัวนอน ซึ่งผ้าม่านก็จะเก่าๆ หนาๆ หนักๆ ผืนใหญ่ยาวลงมาเกือบถึงที่นอน และน่าจะมีโซ่หรืออะไรซักอย่างใส่ถ่วงที่ขอบด้านล่างเพื่อให้ทิ้งตัว ทำให้ห้องมันดูมืดๆ ชื้นๆ เข้าไปอีก

พอเห็นเตียงคู่ ฉันก็ต้องจัดการตามสูตรคือ เอากระเป๋าวางบนเตียงข้างๆ กันคนมานอนด้วย

เราเลือกนอนเตียงซ้ายมือของห้อง เพราะปลายเท้าเตียงทางขวาใกล้กับประตู ความเสี่ยงสูงกว่า แล้วก็เอากระเป๋าทั้งหมดไปกองไว้บนเตียงนั้นแทน ส่วนกระจกที่อยู่ปลายเท้านี่ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยเอากระเป๋าใบเล็กไปวางบังๆ ไว้ ให้พอมองไปจากเตียงแล้วไม่เห็นกระจกเต็มบาน

ปกติเวลาไปนอนห้องที่ไม่คุ้น เราจะเปิดไฟไว้สลัวๆ พอเห็นทาง เผื่อตื่นไปห้องน้ำ กับเปิดทีวีไว้แบบไม่มีเสียง เพราะเคยมีคนบอกว่า คลื่นไฟฟ้าจากทีวี จะไปทำลายคลื่นพลังงานลึกลับต่างๆ ไม่ให้รวมตัวกันได้ เราก็จะรอดปลอดภัย แต่โรงแรมนี้ดันไม่มีทีวี ก็เลยใช้วิธีเปิดไฟสว่างไว้ตรงหน้าห้องน้ำแทน

ก่อนนอนก็สวดมนต์ไปยาวพอควรกว่าจะหลับ แต่พอเคลิ้มๆ หลับไปได้นิดนึง ก็รู้สึกเหมือนผ้าม่านตรงหัวนอนพัดมาโดนหัวเรา แล้วไปกระแทกเตียงอีกที เสียงดังแกร่กๆๆ

เราก็เลย เอ๊ะๆๆ ห้องนี้มันเปิดหน้าต่างไม่ได้ แล้วลมมาจากไหน ม่านถึงปลิวมาโดนเราหว่า ก็เลยจะลืมตาขึ้นไปมอง แต่ไม่รู้ว่าด้วยความง่วง หรือด้วยอะไร พยายามจะหันตัวไปก็หันไม่ได้ เหมือนโดนอะไรกดไว้ ก็เริ่มสำเหนียกละว่ามีอะไรแปลกๆ มาแน่ๆ ละ ตอนนั้นคือ ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ แล้ว แต่ขยับตัวไม่ได้ ตาก็เปิดได้ครึ่งเดียว

ม่านทางหัวเตียงด้านซ้ายมือ ก็ปลิวเพยิบพยาบอยู่ เหมือนมีลมพัดมาแรงๆ เราเลยพยายามเหลือบตาไปมอง แล้วก็เห็นเหมือนมีอะไรกระโดดเข้ามาจากหน้าต่าง มานั่งยองๆ บนกระเป๋าที่วางไว้บนเตียง ถ้าตาไม่ฝาดนะ เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ป้อมๆ ใส่ชุดสีชมพู  เหมือนชุดนอนที่เป็นชุดเสื้อแขนสั้นกางเกงขาสั้นอ่ะ ผมบ๊อบตัดสั้นประมาณติ่งหูเหมือนทรงนักเรียนหญิง

เค้านั่งยองๆ บนกระเป๋าแบบหันข้างให้เรา แขนสองข้างยกอยู่ประมาณหน้าอก เหมือนจะไว้ช่วยทรงตัว ก้มหน้าหน่อยๆ (คิดภาพท่านั่งแบบกอลลั่มนั่นแหละ)

ระหว่างที่เรากำลังเหวออ้าปากค้าง นางก็ค่อยๆ เอียงหน้าหันมาทางเรา ด้วยความที่ผมปรกหน้าอยู่ซีกนึง ก็เลยเห็นหน้าไม่ชัด รู้แต่ว่า ตาแหลมๆ เป็นขีดๆ เหมือนตัวกัปปะ

นางแสยะยิ้มมุมปากแต่ไม่เห็นฟัน เหมือนจะทักทายเราอ่ะนะ

คงจะแบบ “หวัดดีเธอ! เห็นชั้นด้วยเหรอ??? ชั้นขอผ่านทางหน่อยนะ” แล้วนางก็กระโดดหายแว้บบบบบ เข้าไปในกระจกที่ปลายเตียงเลย

ตอนนั้นคือ ฉันตกใจสุดๆ จิกมือตัวเองแน่นมาก  แบบว่า นี่หลับฝันหรือตื่นอยู่วะ จะกรี๊ดก็กรี๊ดไม่ออก ถ้าฝันก็ฝันน่ากลัวชิบอ๋าย หรือถ้าตื่นอยู่ นางก็เป็นผีที่น่ากลัวโคตรๆ

หันไปดูนาฬิกาแล้วประมาณตีสามกว่าๆ เกือบตีสี่ เลยสวดมนต์ๆๆ จนได้ยินเสียงระฆังเช้าจากวัดที่อีกฝั่งแม่น้ำ ก็เลยค่อยยังชั่ว

ซักพักพอเริ่มเห็นแสงอาทิตย์ลอดมาจากกระจกหน้าต่างเบาๆ ก็ยิ่งโล่งอก แล้วเลยน็อคหลับไปแบบง่วงถึงขีดสุดแล้ว….

 

// ไว้มาเล่าต่อนะ…เรื่องนี้ยังไม่จบ..

Don`t copy text!