ดงหนองแสง

ดงหนองแสง

โดย : ทรรศิตา

Loading

อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา

แสงสีส้มเรืองๆ ที่มองเห็นวิบวับจากที่ไกลนั้นส่องทะลุผ่านดงไม้อันมืดคลึ้มออกมา เมื่อเดินใกล้เข้าไปเรื่อยๆ ก็พลันพบเรือนไม้มุงหญ้าคาหลังหนึ่งตั้งอยู่กลางลานใต้ต้นไม้ใหญ่อันยืนต้นตระหง่านอยู่ในท่ามกลางความมืดมิด แสงที่เห็นวิบวับเมื่อครู่บัดนี้พบว่าเป็นแสงใต้ที่กำลังลุกโชนอันถูกปักไว้ข้างเสาเรือน และกลางพื้นชานเรือนนั้นปรากฏร่างของหญิงสาวผมยาวสลวยนางหนึ่งกำลังนั่งปั่นฝ้ายอยู่อย่างเงียบๆ

ดงหนองแสง” ก่อนที่จะถูกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๑๙ ตัดผ่านนั้น เดิมเป็นดงไม้ใหญ่รกไปด้วยหมู่ต้นยาง กระบาก สะแบงและไม้ป่าอื่นๆ ยืนต้นเบียดเสียดกันอยู่อย่างหนาแน่นเป็นบริเวณกว้าง กลางดงนั้นมีหนองน้ำลึกใสขนาดกว้างพอสมควรอยู่ซึ่งชาวบ้านแถวนั้นเรียกกันว่า “หนองแสง

ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 219 อันตัดผ่านบุรีรัมย์ไปยังมหาสารคามในอดีตนั้น เดิมเป็นเพียงทางเกวียนเก่าแก่ที่ผู้คนใช้สัญจรไปมาเพื่อติดต่อค้าขายกันระหว่างหมู่บ้านและอำเภอจนเข้าไปสู่จังหวัด โดยเฉพาะพ่อค้าชาวจีนที่ล่องเรือตามลำน้ำมูลมาขึ้นที่ท่าเมืองสตึกเพื่อค้าขายน้ำปลาและน้ำตาลอ้อยตลอดจนสินค้าอื่นๆ เนื่องจากพ่อค้าเหล่านี้มีจำนวนไม่มากนักส่วนใหญ่จึงเป็นที่รู้จักของชาวบ้านแถบเส้นทางนี้กันแทบทุกคน

ในการเดินทางสัญจรตามเส้นทางเกวียนเก่าแก่สายนี้ มีข้อห้ามอย่างหนึ่งที่ทุกคนรู้กันดีคือ ห้ามเดินทางในเวลากลางคืน หากใกล้ค่ำที่ใดให้หาที่พักตามหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนจนถึงรุ่งเช้าจึงค่อยออกเดินทางต่อ และหากจำเป็นต้องเดินทางในเวลากลางคืนจริงๆ จะต้องมีสติมั่นคงห้ามขานตอบหากมีเสียงเรียก หรือห้ามละแยกออกจากเส้นทางเดิมเด็ดขาด!

จีนสง หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า เจ็กสง ก็เป็นพ่อค้าอีกคนหนึ่งที่ชาวบ้านแถบนั้นรู้จักกันดี แกมักเดินทาง มาค้าขายกับลูกชายสองคนเดือนละครั้งบ้างสองเดือนต่อครั้งบ้าง  โดยอาศัยพักนอนตามหมู่บ้านต่างๆ เรื่อยไปจนกระทั่งไปสิ้นสุดในอำเภอหรือในจังหวัดแล้วแต่ว่าสินค้านั้นเป็นอะไร มากน้อยเพียงใด

วันหนึ่งจีนสงเดินทางมาค้าขายเหมือนเช่นเคยกับลูกชายคนเล็ก โดยลูกชายคนโตนั้นให้อยู่เฝ้าสินค้าที่ท่าเรือ เมื่อมาถึงหมู่บ้านของผู้เล่าจีนสงเกิดป่วยไม่สบาย จึงขอพักที่บ้านกำนันแล้วให้ลูกชายนำสินค้าขึ้นเกวียนไปส่งในอำเภอเพียงคนเดียว ซึ่งอำเภอที่ว่านี้อยู่ห่างจากหมู่บ้านของผู้เล่าประมาณยี่สิบกว่ากิโลเมตรซึ่งต้องเดินผ่านป่าดงไม้ใหญ่ไปและที่สำคัญต้องผ่านดงหนองแสงอีกด้วย  ก่อนออกเดินทางจีนสงสั่งคำกำชับลูกชายนักหนาว่า “ให้รีบไปรีบมา อย่ามัวเถลไถลไปหลงเล่นเที่ยวเตร่กับลูกเพื่อนๆ พ่อค้าในเมืองเพราะกลัวจะมืดค่ำ หรือหากค่ำก็ให้พักในเมืองเสียก่อน ต่อรุ่งเช้าจึงค่อยกลับมา” ลูกชายรับคำเป็นมั่นเหมาะแล้วก็ออกเกวียนไป

ลูกชายจีนสงเมื่อส่งสินค้าเสร็จแล้วก็เกือบค่ำ จึงได้แวะไปเที่ยวหาเพื่อนๆ มิตรสหายที่รู้จักมักคุ้นกันในตัวอำเภอเพื่อขอพักด้วยสักคืน ธรรมดาชายหนุ่มวัยรุ่นเมื่อได้พบเจอกันก็ย่อมมีความสุขสนุกสนานสังสรรค์เพลิดเพลินกันไปจนลืมวันเวลา เมื่อมานึกขึ้นได้ก็เป็นเวลาเลยบ่ายของอีกวันแล้ว ลูกชายจีนสงจึงได้รีบจัดซื้อหาสิ่งของจำเป็นที่พ่อสั่งไว้นำขึ้นเกวียนแล้วร่ำลาเพื่อนสหายเพื่อเดินทางกลับ

ในระหว่างเดินทางกลับมานั้น เมื่อเข้าเขตดงหนองแสงก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ดงหนองแสงนั้นเต็มไปด้วยดงป่าไม้หนาทึบจึงมืดครึ้มไปหมดทั่วทั้งดง ในเวลากลางวันว่าเงียบสงัดวังเวงจนดูน่ากลัวแล้ว กลางคืนกลับยิ่งน่ากลัวกว่าเพราะมองไปรอบๆ ทิศทางใดก็มืดสนิทไปเสียสิ้น ลูกชายจีนสงจึงทำได้แต่เพียงเร่งเกวียนให้เร็วขึ้นกว่าเดิม แต่ยิ่งเร่งมากขึ้นเท่าใดก็ดูเหมือนหนทางยิ่งทอดยาวออกไปไม่ถึงหมู่บ้านสักที จนกระทั่งทั้งคนทั้งวัวเหนื่อยอ่อนล้าไปตามๆ กัน ตอนนั้นลูกชายจีนสงคิดว่า ตนเองคงหลงทางเสียแล้วได้จึงหยุดพักเกวียนและคิดหาหนทางแก้ไขอยู่ ทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มก็พลันหันไปเห็นแสงไฟดวงหนึ่งวิบวับอยู่ไกลๆ ส่องทะลุออกมาจากดงไม้ข้างทาง คิดว่าน่าจะเป็นแสงไฟจากเรือนของผู้คนในหมู่บ้านจึงได้เลี้ยวเกวียนออกจากทางตรงเข้าไป

เมื่อลูกชายจีนสงเข้าไปถึงใกล้ๆ ก็พบว่าเป็นแสงไฟจากเรือนหลังหนึ่งอันตั้งอยู่นอกหมู่บ้านและบนเรือนหลังนั้นมีหญิงสาวชาวบ้านนางหนึ่งหน้าตาผิวพรรณสวยงามมีผมยาวสลวยจนถึงเอวกำลังนั่งปั่นฝ้ายอยู่  เมื่อลูกชายจีนสงไปถึงนางก็ลุกขึ้นออกมาเรียกให้ขึ้นไปบนเรือนแล้วหาน้ำมาให้ดื่มพร้อมถามไถ่ เมื่อทราบว่าลูกชายจีนสงหลงทางอยู่ หญิงสาวชาวบ้านนางนั้นก็บอกให้พักที่เรือนนางก่อนจนถึงรุ่งเช้าค่อยออกไป แรกๆ ลูกชายจีนสงปฏิเสธเพราะเกรงใจ อีกอย่างหญิงสาวคนนั้นก็อยู่ตัวคนเดียวกลัวจะเป็นที่ครหานินทาของชาวบ้านคนอื่นๆ ได้ แต่นางก็บอกว่าไม่เป็นไร ดีเสียอีกที่นางจะได้มีเพื่อนคุยไม่เหงาเหมือนทุกวันที่ผ่านมา จะด้วยเหตุผลกลอันใดก็มิทราบ แทนที่ลูกชายจีนสงจะได้หลับนอนพักผ่อน ก็กลับกลายเป็นว่าติดอกติดใจมานั่งคุยกับหญิงสาวชาวบ้านนางนั้นจนเผลอเลยตกร่องปล่องชิ้นได้เสียน้ำเสียเนื้อเป็นผัวเมียกันไปเสียแล้วทั้งคืน

สองวันผ่านไป นายจีนสงแปลกใจว่า ทำไมลูกชายไม่กลับมาเสียทีซึ่งปกติน่าจะกลับมาถึงแล้ว อีกอย่างลูกชายของตนก็ไม่ใช่คนที่มีนิสัยเกเรเถลไถลออกนอกลู่นอกทาง ด้วยความเป็นห่วงลูกจึงได้ปรึกษากับกำนันและชาวบ้านเพราะกลัวว่าลูกชายจะโดนปล้นหรือเป็นอันตรายไปเสียก่อนในระหว่างทางด้วยเหตุอันใดอันหนึ่ง ในที่สุดก็ได้พากันออกเดินทางไปตามหา เมื่อไปถึงกลางดงหนองแสงก็พบเกวียนและวัวจอดอยู่ห่างออกจากทางเกวียนเส้นเดิมลงไปจนถึงหนองแสงประมาณห้าร้อยเมตร จีนสงและชาวบ้านต่างพากันกู่ร้องเรียกหาลูกชายจีนสง แต่ไม่ว่าจะร้องเรียกสักเท่าใดก็เงียบกริบไม่มีเสียงขานตอบรับกลับมา แต่ทันใดนั้นเองสายตาของจีนสงก็พลันเหลือบมองขึ้นไปพบบางสิ่งบางอย่างที่ค้างอยู่บนคาคบต้นไม้ใหญ่อันรกครึ้มด้วยเถาวัลย์หนาอยู่อีกฟากของหนองแสง และเมื่อเข้าไปใกล้ๆ ก็พบว่าเป็นร่างลูกชายของตนกำลังนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่ จึงช่วยกันปีนไต่ขึ้นไปนำลงมา และช่วยกันแก้ไขจนฟื้นได้สติแล้วพากลับคืนมาที่หมู่บ้าน ให้คนเฒ่าคนแก่ทำพิธีเรียกขวัญเพื่อดึงขวัญลูกชายจีนสงให้กลับคืนสู่ร่างของตนเหมือนเดิม

ตาทวดของผู้เล่าซึ่งมีอายุยืนถึงร้อยยี่สิบปีได้เล่าให้ฟังว่า “ดีนะที่พบภายในสองวัน เพราะถ้าเกินเจ็ดวันไปแล้วก็คงได้แค่หามซากศพกลับคืนมา!

 

Don`t copy text!